Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
23 มิ.ย. 2021 เวลา 04:13 • นิยาย เรื่องสั้น
4.17. ทายาทกำมะลอ
เตียวหยุน เตียวเลี้ยว เตียวคับ สามยอดยุทธ์สัตตดารา
การเดินทางไปส่งเตียวสงที่ชายแดนเขตเสฉวนนั้นไม่ยากเย็นกระไรนัก หากแต่จูล่งกลับเอ่ยปากชักชวนให้เตียวหุยเดินทางต่อไปยังเมืองฮันต๋งกันตามลำพังสองคน โดยอ้างว่า เป็นโอกาสที่จะได้เก็บเกี่ยวข้อมูลภูมิประเทศ และจุดยุทธศาสตร์ในการทำสงครามในอนาคต
ทั้งสองจึงปล่อยให้ขบวนเตียวสงเดินทางต่อไปตามทางเข้าเมืองเสฉวน และสองคนค่อยแยกทางปลอมตัวเป็นพ่อค้าขี่ม้าเดินทางขึ้นไปทางเมืองฮันต๋งแทน
จากข้อมูลที่ได้จากม้าเจ๊ก ซึ่งประสานงานกันกับม้าเลี้ยงที่อยู่ภายในเมือง ม้าหยุนลู่น่าจะถูกควบคุมตัวอยู่ในจวนที่พักของเตียวล่อนั่นเอง จูล่งจึงได้แต่ต้องหาทางลอบเข้าจวนเจ้าเมืองในยามค่ำคืนเสียแล้ว
…
ระยะหลังนี้ ป้อมปราการเมืองฮันต๋งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อในเรื่องการออกแบบชัยภูมิเป็นที่สุด ตำแหน่งที่ตั้งกำแพงถูกปรับแต่งใหม่ตามหลักฮวงจุ้ยเมื่อไม่กี่ปีก่อน ให้ไปอยู่ในจุดคับขันล่อแหลม ยากแก่การจู่โจม โดยเตียวล่อ เจ้าเมือง เป็นผู้ร่างแผน เดินสำรวจทั้งหมดด้วยตนเอง
ฝั่งตะวันออก ขยายเข้าไปให้ใกล้กับแนวเทือกเขาสูง ทำให้ไม่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอให้เคลื่อนกองทัพเข้าประชิด ด้านเหนือจรดตะวันตก พาดผ่านเนินผาลาดชัน สามารถมองเห็นศัตรูได้ในระยะไกล และง่ายต่อการใช้ท่อนซุง ก้อนหิน ทำลายกองทัพใดๆ มีแต่ด้านใต้ที่ถูกออกแบบให้เข้าออกได้สะดวกที่สุด แต่ก่อสร้างหอธนูสูงขวางไว้ จะมีกองกำลังพลส่วนใหญ่อยู่ประจำการรบตลอดเวลา จึงกลายเป็นสะดวกต่อการป้องกันมากขึ้น
นอกจากการจัดวางแนวกำแพงเมืองแล้ว ด้านนอกกำแพง ยังขุดเป็นหลุมกว้างขวางกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง เหลือเป็นเพียงช่องเส้นทางเข้าออกเป็นแนวยาวพอให้สัญจรได้สะดวก ประตูเมืองซึ่งมักเป็นจุดหมายในการโจมตีด้วยท่อนไม้ซุงทลายด่าน ถูกสร้างเสริมด้วยเหล็กหนาพิเศษ มิหนำซ้ำ กำแพงเมืองยังถูกเสริมให้สูงกว่าปกติขึ้นไปอีกหนึ่งวา ยิ่งยากต่อการปีนป่ายด้วยบันไดไต่เมฆาเป็นทวีคูณ ด้านบน กองทหารรักษาการยังมีเกาทัณฑ์ ก้อนหิน ท่อนไม้ เศษโลหะ กองไว้เพื่อใช้ทิ้งทำลายจังหวะรบ และที่พิเศษคือ หม้อใบใหญ่สำหรับต้มน้ำร้อน เพื่อไว้ราดใส่ข้าศึกได้อีกด้วย
เท่าที่ผ่านมา เตียวล่อจึงอยู่รอดปลอดภัยจากการยึดครอง ทั้งๆที่อยู่ใกล้กับเมืองเสเหลียงที่ขึ้นชื่อในเรื่องการรบเป็นที่สุด แต่เดิม อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคฟ้าเหลือง ต่อมา ยึดกุมจิตใจผู้คนเป็นหนึ่งเดียว จนไม่คุ้มค่าที่ใครจะมาต่อกรแย่งชิงพื้นที่ และสุดท้าย ถึงกับปรับปรุงประสิทธิภาพโลหะจนแกร่งกล้า และพัฒนาปราการจนยากจะรุกราน
เพราะมีการป้องกันเมืองถูกจัดเตรียมไว้ลึกซึ้งเช่นนี้นี่เอง ม้าเท้ง ม้าเลี้ยงจึงพยายามคิดหาจุดอ่อน จนมีความคิดสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า สมควรใช้วิธีแทรกแซงจากภายใน จึงจะสำเร็จได้มากกว่า
…
ตกดึกของค่ำคืนนั้น เงาดำสองสายกระโดดลงจากหลังคากำแพงเข้าไปทางห้องหนังสือของเตียวล่อที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของจวนเจ้าเมืองฮันต๋ง จนลอบเข้าไปถึงห้องหนังสือ ลูบคลำหาประตูลับ กลับกระทบกลไกใต้หิ้งหนังสือโดยบังเอิญ
ฉับพลัน หิ้งหนังสือขนาดใหญ่คล้ายพลิกเคลื่อนมาทางด้านหน้าโดยเร็ว บังคับให้ทั้งสองซวนเซ ตกลงไปในหลุมกว้างขนาดใหญ่ที่เปิดรับขึ้นมาพร้อมแท่งไม้แหลมจำนวนมากปักรออยู่ แต่ทั้งสองก็อาศัยจังหวะสุดท้าย ส่งทวนยาวในมือค้ำยันไปที่ข้างหลุม ดันตัวขึ้นมาได้ก่อนที่จะร่วงหล่นลงไปสู่กับดักมรณะนั้น
ด้านนอก แสงสว่างของคบเพลิงก็ปรากฏไปทั่วทั้งลานกว้าง กองทหารจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งเตียวล่อ และสามองครักษ์เผ่าเกี๋ยง ล้วนปรากฏตัวขึ้น คล้ายเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อกลไกเคลื่อนไหว พวกมันก็พร้อมจะออกมาจัดการกับผู้บุกรุกได้ทันที
“คนร้ายทั้งสอง จงออกมาได้แล้ว พวกเราล้อมสถานที่ไว้จนหมดสิ้น ถึงมีปีก เจ้าก็หนีไม่พ้นแล้ว” เตียวล่อประกาศก้อง
เป็นชายชุดดำร่างสูงใหญ่ใช้ผ้าคลุมหน้าสองคนก้าวออกมาจากห้องหนังสืออย่างอาจหาญพร้อมทวนคู่มือ หนึ่งในนั้นล้วงหยิบป้ายหยกห้อยคอรูปเมฆขาวออกมานอกเสื้อ เหมือนจงใจแสดงให้เห็นถนัดตาในยามค่ำคืน
เตียวล่อเบิกตากว้างคล้ายไม่ทันคาดคิด แต่รีบเรียกคืนสติกลับมา แสร้งทำเป็นไม่สนใจ “ที่แท้ก็เป็นเศษสวะเดนตาย พวกเรา สังหารให้หมดสิ้น”
เตียวล่อโบกมือให้สัญญาณกับสามองครักษ์เผ่าเกี๋ยง เป็นการย้ำเตือนอีกครั้ง แสดงว่า เตียวล่อชั่งใจประเมินแล้ว ยังคงเชื่อมั่นในฝีมือของสามองครักษ์เป็นอย่างมาก
สามองครักษ์พุ่งวาบเข้าหาชายชุดดำทันที สองกระบี่และหนึ่งทวนรวดเร็วว่องไว และเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต แต่ฝ่ายตรงข้ามก็มีฝีมือไม่น้อย สามารถปะทะเอาไว้ได้อย่างไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน กองทหารทั้งหลายจึงได้แต่ถือคบไฟส่องแสงให้กับสถานที่แล้ว
เสียงต่อสู้ดังวุ่นวาย จนดึงดูดให้คนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในจวน ออกมาดูเหตุการณ์ รวมทั้งม้าเฉียวและพวกด้วย ม้าต้ายมองดูการต่อสู้ กลับสะดุดลงที่ป้ายห้อยคอรูปเมฆขาวที่ดูคุ้นตาว่าเคยเห็นมาจากที่ใด ก่อนจะกระซิบบอกกับม้าเฉียวเพียงคนเดียว
เตียวล่อคล้ายขัดใจที่สามองครักษ์ไม่สามารถพิชิตคนร้ายได้ในเวลาอันสั้น จึงขยับจะสั่งการให้ม้าเฉียว ม้าต้ายร่วมลงมือด้วย แต่ม้าเฉียวส่งสัญญาณมือปฏิเสธ หากให้พวกมันลงมือ สามองครักษ์ต้องถอยออกมาก่อน ทำให้เตียวล่อลังเล เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีฝีมือใกล้เคียงกับพวกม้าเฉียว ขืนปล่อยให้สู้กันตามลำพัง อาจจะเป็นการปล่อยให้เสือเข้าป่าได้
ทันใดนั้น มันคล้ายฉุกคิดขึ้นได้เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รีบเพ่งมองวิธีการจับทวนยาวของคนที่มีป้ายคล้องคอ เป็นการจับทวนแบบธรรมดาสามัญ ผิดแผกไปจากกระบวนท่่าที่ตนเองเคยจดจำไว้ และทำให้สังเกตพบรอยแผลเป็นที่หลังมือของคนชุดดำอีกคนหนึ่ง จึงแสร้งตวาดขึ้น “เตียวคี เจ้าลูกไม่มีพ่อ จงรีบหยุดมือ”
เตียวล่อเห็นไหล่ของชายชุดดำกระตุกขึ้นเบาๆคราหนึ่ง ยิ่งทำให้แน่ใจว่าหลงกลแล้ว มีแต่เตียวคีเท่านั้นที่จะกระตุกไหล่ด้วยความเคยชินเช่นนี้ จึงกล่าวกับสามองครักษ์โดยเร็ว “พวกเจ้าทั้งสาม จงถอนตัว ปล่อยให้คุณชายม้าดูแลทางด้านนี้แทน”
สามองครักษ์โดดถอยหลังออกมา ปล่อยให้ม้าเฉียวและบังเต๊ก สองยอดฝีมือจากตระกูลม้า สลับเข้าแทนที่ ประกบคู่กับชายชุดดำทั้งสองแทน โดยมีม้าต้ายยืนคุมเชิงอยู่รอบนอกอีกคน การต่อสู้ช่วงต้นยังคงสูสีก้ำกึ่งอยู่ แต่พวกสกุลม้าก็หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ไม่คิดใช้พวกมากกลุ้มรุม
เตียวล่อกรอกตาวูบ จึงส่งสัญญาณใบ้ให้สามองครักษ์รีบติดตามมันออกไปทางสวนดอกไม้ด้านหลังทันที ปล่อยให้ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊กเฝ้าดูการต่อสู้ต่อไปแทนอย่างกระวนกระวายใจ เพราะม้าเฉียวกับบ้งเต๊ก กลับต่อสู้กับคนชุดดำทั้งสองแบบไม่ยั้งมือ ผิดไปจากแผนการที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ที่เพียงต้องการล่อหลอก ถ่วงดึงเวลาเท่านั้น
…
จูล่ง เตียวหุย ในชุดดำคลุมหน้าเฉกเช่นกันกับสองผู้บุกรุกเมื่อครู่ กำลังแนบตัวชิดกับภูเขาจำลองภายในสวนดอกไม้ ม้าเจ๊กแจ้งว่า ภูเขาจำลองนี้ มีประตูลับซ่อนอยู่ แผนส่งเสียงซ้าย จู่โจมขวา จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้
มันนัดแนะให้เตียวเลี้ยว เตียวคับ หรือ เตียวคีเดิม สวมใส่ป้ายเมฆขาวที่มันคล้องคอเป็นประจำ ปลอมตัวไปทางห้องหนังสือ เพื่อให้เตียวล่อหลงกล เสียเวลาอยู่ทางด้านนั้น หากเตียวล่อยังจงรักภักดี พบเห็นป้ายสัญลักษณ์ สมควรจะต้องหยุดมือ ยินยอมเดินทางมาพบโดยดี แต่หากมิใช่ เสียงการต่อสู้จะเป็นเสมือนสัญญาณให้พวกมันเริ่มลงมือทางด้านนี้ทันที ไม่ให้เสียเวลา
และแล้ว เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นตามที่คาดคิดไว้จริงๆ เตียวล่อทรยศแล้ว มันจึงได้แต่พึ่งพาเตียวหุย เจ้าคนทรยศที่พัวพันในคดีฆ่าท่านพ่อเตียวก๊กเมื่อหลายปีก่อนให้ช่วยม้าหยุนลู่ คนรัก ออกมาจากที่คุมขังเสียก่อน
จูล่งผลักดันประตูลับให้เปิดออก แล้วพยักหน้าให้เตียวหุยก้าวตามมันเข้าไป ภายในเป็นทางแคบเล็กวกวนคดเคี้ยว แต่มีแสงตะเกียงส่องทางอยู่เป็นระยะ จนโผล่เข้าไปถึงห้องพักภายในจนได้
เห็นคนรักม้าหยุนลู่คล้ายหลับไหล นอนสงบอยู่บนเตียงนอน โดยมีหญิงชนเผ่าวัยสามสิบปีต้นๆแต่งตัวคล้ายเป็นคนรับใช้นั่งสับปะหงกอยู่ด้านข้าง นอกนั้น ไม่พบเห็นกลไกใดๆคุ้มกันปกป้องเชลยอีก
จูล่งรีบพุ่งตัวเข้าไปหมายประคองตัวคนรัก และเป็นดั่งคาด นางคงโดนยามอมเมา ทำให้ไม่ได้สติรับรู้เหตุการณ์ใดๆ ทันใดนั้น ประกายโลหะสะท้อนขึ้นวูบหนึ่งทางด้านข้าง กลับมีวัตถุเล็กๆพุ่งวาบเข้าใส่ที่ตำแหน่งหว่างคิ้วในระยะกระชั้นชิด
เสียงเคร้งเบาๆดังขึ้น เป็นเตียวหุยแสดงฝีมือสูงส่ง สะบัดทวนใส่เข็มเย็บผ้าเล่มน้อยได้ทันเวลา ช่วยชีวิตของมันได้อีกครั้งหนึ่ง
และแล้ว หญิงรับใช้ก็ดีดตัวลุกขึ้น ดีดกระบี่คู่ออกมาจากแขนเสื้อ ต่อสู้กันกับเตียวหุยด้วยฝีมือที่ไม่เลวทีเดียว นี่คงเป็นองครักษ์เผ่าเกี๋ยงอันดับแรกสุดที่ไม่เคยปรากฏโฉมให้ใครเห็น ที่แท้ ถึงกับเป็นหญิงชนเผ่าที่ปลอมตัวเป็นคนรับใช้ในจวนที่พักนี่เอง
จูล่งจึงโอบอุ้มม้าหยุนลู่ ชิงล่วงหน้าออกมาตามทางคดเคี้ยว จนถึงด้านนอกภูเขาจำลอง พอดีกันกับที่เตียวล่อ และสามองครักษ์มาถึง มันจึงก้าวเข้าสู่วงล้อมของสามองครักษ์แล้วโดยปริยาย
เตียวล่อที่สูงอายุมากแล้ว และไม่ใช่คนมีพลังยุทธ์อันใด จึงหยุดพักหายใจค่อยกล่าว “นายน้อย ไม่น่าจะทำให้พวกเราต้องยุ่งยากเลย นางผู้นี้มีความสำคัญต่อข้าน้อยอย่างย่ิง เหตุไรท่านจึงต้องมาสอดมือยุ่งเกี่ยวเล่า”
จูล่งพาลกระชากผ้าคลุมหน้าออก แล้วตอบคำอดีตลูกน้องคนสนิท “ท่านอา นางผู้นี้คือคนรักของข้า หากคิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ก็จงหยุดมือเถิด”
“อ้อ ที่แท้ ท่านคิดจะเป็นเขยขวัญของตระกูลม้านี่เอง ไม่เลว ไม่เลว” เตียวล่อกล่าว “น่าเสียดายที่ตอนนี้ ตระกูลม้าไร้สิ้นอำนาจทางการทหาร เสียเมืองเสเหลียง เทียนซุยให้กับโจโฉไปแล้ว หมากตานี้ของท่านคงจะสูญเปล่า แต่ตัวข้ามีทั้งเมืองฮันต๋ง ทั้งเมืองเสฉวนก็อยู่ในกำมือแล้ว เพียงแต่ขาดนายทหารมีฝีมือเพื่อต่อกรกับพวกโจโฉ เล่าปี่ ซุนกวนเท่านั้นเอง คุณชายตระกูลม้าทั้งหมดจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่าต่อตัวข้ามากกว่าของท่านแล้ว เอาเช่นนี้เถิด”
เตียวล่อเล่าถึงแผนการต่อ “ขอเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน ให้ตัวข้าเปิดศึกเอาชัยโจโฉทางเหนือ และยึดครองเสฉวนทางใต้ สร้างฐานอำนาจและชื่อเสียงให้ลือเลื่องขึ้นก่อน จากนั้น ค่อยบุกตะวันออก กวาดล้างเล่าปี่ เมืองเกงจิ๋ว แล้วค่อยบุกสองทาง บีบให้โจโฉพ่ายแพ้ ยึดอำนาจแผ่นดินฮั่นให้จงได้ ส่วนซุนกวน และเมืองที่เหลือ ก็ไม่ยากแล้ว”
“แผนการของเจ้าไม่เลว แต่น่าเสียดายที่อำมหิตเกินไป การบีบบังคับผู้อื่นให้ยอมสยบนั้น อย่างไรก็ไม่ได้ใจของผู้คนหรอก” จูล่งยังตอบโต้ด้วยคล้ายไม่ยินยอม “จะอย่างไร เจ้าก็เคยเป็นลูกน้องเก่าคนสนิทของท่านพ่อและตัวเรา จึงไม่สมควรจะมากระทำการหักหลังกันเช่นนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หากท่านเป็นทายาทที่แท้จริงของท่านเตียวก๊ก เราคงยินยอมอ่อนข้อ แต่นี่เจ้าก็เป็นเพียงลูกเลี้ยงที่โผล่เข้ามาโดยบังเอิญ แต่ก็เพราะเจ้าสูญเสียความทรงจำจนหมดสิ้น จึงจำอะไรไม่ได้ คนเก่าแก่ของพรรคล้วนรู้กันดีว่า ทายาทที่แท้จริงของเตียวก๊กมีเพียงหนึ่งเดียว คือ คุณหนูเตียวเฟิงเท่านั้น”
เตียวล่อคล้ายรำลึกถึงความหลัง กล่าวคำต่อไป “วันนั้น ท่ามกลางที่ประชุมของพรรคฟ้าเหลือง ร่างของเจ้าค่อยๆปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศธาตุ พร้อมกับดาบเล่มใหญ่ในมือ พวกเราคิดว่า เจ้าคือศัตรูลอบบุกเข้ามา จึงช่วยกันรุมล้อมจับตัว แต่ไม่มีคนใดจัดการกับเจ้าได้สักคน
ฝีมือของเจ้าสูงส่งไม่น้อย เมื่อผนวกกับดาบใหญ่ที่แข็งแกร่งเสริมกัน ทำให้พวกเราบาดเจ็บกันถ้วนหน้า จนท่านประมุขเตียวก๊ก และน้องทั้งสอง ต้องลงมือด้วยตนเอง ร่วมกันฟาดฝ่ามือเข้าที่ขมับซ้ายขวาของเจ้าจนหมดสติ จึงจับตัวไว้ได้สำเร็จ แต่เหมือนกับเจ้าสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดด้วยแรงกระแทกนั้น จดจำได้เพียงว่า ตนเองแซ่เตียว เราเห็นแก่ฝีมือของเจ้า จึงชักจูงให้ประมุขเลี้ยงดูเจ้าไว้
ต่อมา ประมุขให้เจ้าจดจำว่าเป็นลูกต่างมารดากับเตียวเฟิง ถึงกับยกให้เป็นทายาทอันดับหนึ่งตามลำดับอาวุโสขึ้นแทนที่เตียวหุย ตั้งชื่อเจ้าเป็นเตียวหยุน ก้อนเมฆ เพื่อระลึกถึงตัวเจ้าที่ปรากฏขึ้นอย่างไร้ร่องรอย และสอดคล้องกับหลักการสามผู้ค้ำจุน เมฆา - สายลม - โบยบิน โดยเก็บดาบของเจ้าซ่อนไว้ในขุมทรัพย์ประจำพรรค อย่างน้อย หากเจ้าเกิดจำเหตุการณ์อะไรได้ จึงจะไม่เป็นภัยต่อพรรคเกินควบคุมไว้ได้
การกระทำของท่านเตียวก๊ก เป็นเรื่องที่เรายากจะเข้าใจ หากแต่ท่านเอ่ยปาก คิดว่าเจ้าอาจจะเกี่ยวพันโยงใยกับอาจารย์ผู้วิเศษของท่านที่หายตัวไปแบบไร้ร่องรอยเช่นนี้เหมือนกัน พวกเราไม่เห็นด้วย แต่ก็สุดที่จะทัดทาน และพวกเราก็ได้แต่มองดูเจ้าที่เป็นทายาทอันดับหนึ่งด้วยความไม่ไว้วางใจมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเตียวหุยมีความพัวพันกับการตายของท่านเตียวก๊กในเวลาต่อมา แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน พวกเราในใจจึงยังคงเห็นใจที่มันถูกเจ้าเบียดบัง ชิงตำแหน่งสำคัญไป รวมทั้งยังคลางแคลงใจต่อตัวเจ้าอยู่ พวกเราจึงไม่ได้เคลื่อนไหวก่อการใดๆทั้งช่วยเหลือหรือขัดแย้งกับเจ้า ปล่อยให้เจ้าวุ่นวายโดดเดี่ยวเรื่อยมา เพียงเพื่อรอคอยจังหวะที่จะกำจัดตัวเจ้าที่เป็นส่วนเกินของพรรค ซึ่งครั้งนี้ ก็เป็นเจ้าเองที่วางแผนเดินทางเข้ามาหาที่ตายเช่นนี้”
จูล่งตกตะลึงลานไปกับคำบอกเล่าของเตียวล่อ มิน่าเล่า ขุมกำลังสัตตดาราจึงเหมือนง่อยเปลี้ย ไม่มีใครชี้แนะหรือช่วยเหลือมันมาเนิ่นนาน ได้แต่รอคอยรับคำสั่งจากมันเท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เตียวล่อไม่จำเป็นต้องปั้นแต่งเรื่องราวที่พิสดารมาหลอกลวงมันเลย ดังนั้น หากเป็นจริงดังที่เล่ามา ตัวมันคือใครกันแน่
ประมุขพรรคฟ้าเหลือง และหัวหน้าขุมกำลังสัตตดารา เป็นเพียงตำแหน่งหัวโขนที่ว่างเปล่า ที่จริง คนในพรรคมิได้ยอมรับมันเลย เพียงใช้มันเป็นเบี้ยหมาก เพื่อส่งเสริมเตียวเสี้ยน หรือ เตียวเฟิง ทายาทที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของพรรคฟ้าเหลือง
…
ฝ่ายเตียวหุยที่ฉวยโอกาสใช้ความได้เปรียบในที่แคบเล็ก หมุนตัวฟันฝ่ามือใส่องครักษ์หญิงที่ปลอมเป็นสาวรับใช้จนหมดสติ แล้วรีบติดตามจูล่งออกมา พอดีได้รับฟังเนื้อหาที่เตียวล่อเล่าถึงอดีตอันพิสดารของเตียวหยุน-เตียวจูล่ง
นางแอ่น-เตียวหุยประเมินเรื่องราว ทางหนึ่ง อดประหลาดใจไม่ได้กับการที่จูล่งปรากฏกายได้อย่างไร้ร่องรอยเหมือนกับพวกตนที่เป็นนักเดินทางผ่านกาลเวลา แต่ในเมื่อมันสูญสิ้นความทรงจำไปหมดสิ้น ดาบใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในขุมทรัพย์ อาจจะเป็นกุญแจไขปริศนาในครั้งนี้ แต่อีกทางหนึ่ง เรื่องเฉพาะหน้าก็คือ มันกับจูล่งจะหลบหนีออกจากวงล้อมองครักษ์ทั้งสามได้อย่างไร
เนิ่นนานยิ่งรัดแน่น มิสู้ เร่งรีบฟันฝ่าออกไป เตียวหุยจึงกระชากผ้าคลุมหน้า ดีดตัวออกมาจากภูเขาจำลอง ขว้างระเบิดควันหลายลูกไปข้างหน้าโดยรอบ พร้อมตะโกนด้วยเสียงอันดังตามหลักวิชาราชสีห์คำราม ปลุกให้จูล่งคืนสติกลับมาสู่ปัจจุบัน และทำให้ฝ่ายตรงข้ามถอยหลังด้วยความตระหนก เปิดช่องให้เตียวหุยคว้าแขนจูล่งที่ยังคงประคองม้าหยุนลู่ให้รีบวิ่งหนีไปทางด้านห้องหนังสือ เพื่อหวังสมทบกับพรรคพวก
เตียวล่อได้สติ จึงรีบสั่งความให้สามองครักษ์กับหญิงรับใช้ องครักษ์คนที่สี่ซึ่งเพิ่งโผล่ตามออกมาจากภูเขาจำลอง ให้รีบติดตามคนร้ายโดยเร็ว
…
เตียวหุย จูล่ง พร้อมกับนางม้าหยุนลู่ที่ยังไม่ได้สติ มาถึงลานกว้างหน้าห้องหนังสือฝั่งตะวันออก พบเห็นเตียวเลี้ยว เตียวคับในคราบคนชุดดำ ยังต่อสู้อยู่กับม้าเฉียว บังเต๊ก อย่างดุเดือด โดยมีม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก ม้าต้ายและกองทหารที่รายล้อมพร้อมอาวุธครบมือ จึงพอคาดเดาได้ว่า เหตุการณ์ด้านนี้วุ่นวายเกินกว่าแผนการที่วางไว้เสียแล้ว
ยังดีที่พวกมันไม่ได้บอกรายละเอียดของแผนการชิงตัวว่ามีคนอื่นร่วมลงมือด้วย พวกตระกูลม้าคงคิดว่าชายชุดดำทั้งสองเป็นคนร้ายหลักที่บุกจวนเจ้าเมืองจริงๆ แต่หากปล่อยให้จูล่งเปิดเผยตัวตนว่าเป็นพวกเดียวกันกับชายชุดดำทั้งสอง อาจจะทำให้เรื่องราวยืดเยื้อ เตียวหุยจึงชิงประกาศ “จูล่งได้ตัวม้าหยุนลู่มาแล้ว พวกเรารีบหนีก่อนเถิด”
ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊ก และม้าต้าย หันมาตามเสียงเรียก จึงรีบเข้ามารวมกลุ่ม ม้าเลี้ยงดูอาการของน้องสาว ส่วนม้าเจ๊กรีบแจ้งว่า “พวกเราพบเบาะแสคนที่เคยลอบสังหารท่านพ่อ พี่ใหญ่จึงลงมือจัดการจนติดพันอยู่ ฝีมือพวกมันทั้งสองร้ายกาจยิ่งนัก”
เตียวหุยพลันเข้าใจเรื่องราวว่า สาเหตุที่พวกสกุลม้าลงมือหนักหน่วง ก็เพราะคิดหมายแก้แค้นให้กับบิดาผู้ล่วงลับ โดยที่ไม่รับรู้ว่า ที่แท้ ม้าเท้งผู้พ่อยังไม่ตายจริง แต่จนใจไม่อาจบอกเล่าในเวลาอันสั้นได้
นางแอ่นเหลียวมองดู จูล่งยังดูมึนงงเซื่องซึม อาจจะเป็นเพราะชาติกำเนิดที่พลิกผันไป และเตียวล่อกับสี่องครักษ์ก็โผล่มาให้เห็นไกลๆแล้ว หากเตียวล่อตะโกนสั่งการให้พวกทหารทั้งหลายที่ยืนล้อมอยู่ หันอาวุธมาจัดการพวกมัน ก็คงจะย่ำแย่ยิ่งขึ้น
นางแอ่น-เตียวหุยจึงตัดสินใจตะโกนเรียกม้าเฉียวด้วยเสียงอันดัง “ข้ารู้ว่ามันทั้งสองคือใคร ท่านม้าเฉียวรีบถอนตัวก่อนเถิด สถานการณ์คับขันยิ่งนัก ค่อยตามไปแก้แค้นภายหลังยังไม่สาย รีบไป รีบไป”
ม้าเฉียวยอมหยุดมือดั่งคาด ทำให้บังเต๊กพลอยถอยหลังมาด้วยเช่นกัน ความคิดของคนทั้งสองก็คือ ฝ่ายตรงข้ามคือใครกันจึงได้ตึงมือเช่นนี้ สมควรต้องเป็นนักรบมีชื่อแน่นอน
ส่วนเตียวเลี้ยว เตียวคับ พบพานประมุขยืนตะลึงลานอยู่เคียงข้างกับเตียวหุย ไม่อาจล่วงรู้ความนัย จึงได้แต่รั้งเท้า พยายามสบตาอ่านท่าทีของผู้นำอยู่เช่นกัน
คงมีแต่เตียวล่อกับพวกที่ดูตื่นตัวเกินกว่ากลุ่มอื่น สั่งความให้สี่องครักษ์และทหารพร้อมอาวุธครบมือ รายล้อมศัตรูเป็นชั้นๆ พอโบกมือวูบ ด้านบนหลังคากลับมีกองทัพพลธนูนับร้อย เล็งยิงเข้ามายังเป้าหมายตรงกลาง คราวนี้ ถึงกับไม่ละเว้นพวกสกุลม้าไปด้วย ทำให้ม้าเลี้ยง ม้าเจ๊กเริ่มกังวล เพราะกลายเป็นตัวถ่วงในการต่อสู้ประจัญบานกันเช่นนี้
…
นายทหารรักษาการยืนตรวจตราอยู่บนกำแพงเมืองฮันต๋งฝั่งเหนือ มองฝ่าความมืดออกไปทางด้านนอก แนวลาดชันเบื้องหน้ายังคงขาวโพลน เต็มไปด้วยหิมะหนาทีบ มองไม่เห็นผู้คนหรือฝูงสัตว์แม้สักตัวเดียวด้วยว่าเป็นฤดูหนาวที่ยาวนานไม่จบสิ้น แต่มันกลับรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับภาพทุ่งหิมะทางด้านหน้ามีการเคลื่อนไหวช้าๆ
มันได้ข้อมูลมาว่า นอกจากกำแพงด้านใต้แล้ว แนวรับอีกสามด้านจะรักษาได้ง่าย ไม่ค่อยเป็นเป้าหมายในการบุกรุก ที่จริงแล้ว มันเองมิได้มีใจรักการสู้รบ หากแต่เพียงเพื่อต้องการสร้างเสริมบารมีในระดับท้องถิ่น อีกไม่กี่วันข้างหน้า มันก็จะลาออก กลับไปเสวยสุขกับครอบครัว ใช้ชีวิตตามประสาพ่อค้าวานิชแล้ว
แต่การเคลื่อนไหวด้านหน้าที่มันกังวลอยู่เมื่อครู่นั้น กลับกลายเป็นภัยร้ายที่มันเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนเสียแล้ว เพียงพริบตาเดียว ฉากทุ่งหิมะสีขาวที่ดูเงียบสงบกลับเปลี่ยนสภาพเป็นกองกำลังทางทหาร และเครื่องมือการรบที่น่าสะพรึงกลัวจากฝ่ายรัฐบาล เป็นกองทัพรถฟ้าลั่นอันลือชื่อ กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
มันหันหลังหมายตีกลองส่งสัญญาณเตือนภัย แต่แล้ว ลูกเกาทัณฑ์พลันทะลุผ่านลำคอ กระชากวิญญาณของมันไปแล้ว
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย