Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
24 มิ.ย. 2021 เวลา 01:22 • นิยาย เรื่องสั้น
4.18. วิหคผู้เสียสละ
หมันทอง เจ้าเมืองฮูโต๋ - เอียวตัน ตุลาการใหญ่ - ซินเหียนเอ๋ง สตรีเจ้าปัญญา
เสียงอื้ออึงของเหล่าทหารประจำการดังมาจากกำแพงเมืองฝั่งด้านเหนือ พร้อมกับก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยละลิ่วมาตกที่ตัวเมือง และกลางลานกว้างของจวนเจ้าเมือง อันเป็นสัญญาณแสดงว่า กองทัพของโจโฉเร่ิมโจมตีท่ามกลางฤดูหนาวอย่างเหนือความคาดหมาย และถึงกับเลือกเส้นทางพิสดาร บุกฝ่ามาทางแนวรับด้านเหนือซึ่งสมควรปกป้องรักษาได้อย่างเข้มแข็งง่ายดายด้วยปราการทางธรรมชาติ
หากแต่การโจมตีในยามราตรีช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ กลับทำให้เหล่าทหารฝั่งตั้งรับเฉื่อยชาประมาทไปบ้าง ยุทโธปกรณ์บางอย่างที่ตระเตรียมเอาไว้ เช่น หม้อน้ำเดือด ทุ่นหอกดาบคม วางเรียงรายไว้จำนวนมาก แต่ไม่อาจใช้การได้
ในทางกลับกัน ฝั่งกองทัพของโจโฉกลับเตรียมการล่วงหน้ามาอย่างดี คราวนี้ กองทัพฟ้าลั่น ดัดแปลงตามสภาพภูมิอากาศ เลือกใช้ก้อนน้ำแข็งที่มีน้ำหนักเบากว่าแทนก้อนหินปกติ เมื่อระดมยิงข้ามกำแพงเมือง ลอยละลิ่วเข้ามาได้ไกลกว่าเดิมหลายเท่า ถึงกับลอยมาถึงจวนเจ้าเมืองที่ใจกลางตัวเมืองเลยทีเดียว
ก้อนน้ำแข็งหลายสิบก้อนลอยฝ่าอากาศ กระจัดกระจายมาเต็มท้องฟ้าในยามค่ำคืน ขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง ราวกับพายุลูกเห็บขนาดใหญ่ ยากแก่การหลบหลีก ทำเอานักสู้ทั้งหมดที่อยู่ในลานกว้างกลางแจ้ง รีบหลบเข้าข้างอาคาร หาที่กำบังเฉพาะหน้าไปก่อน ภายหลัง พอก้อนน้ำแข็งค่อยขาดช่วงลงบ้าง ถึงกับมีชิ้นส่วนเศษซากหมูซากวัวแข็งทื่อ ลอยปะปนมาด้วย
เหล่าทหารฮันต๋งด้อยฝีมือ ถูกพายุก้อนน้ำแข็งกระแทกใส่บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แม้แต่ยอดฝีมือระดับม้าเฉียว ม้าต้าย ก็ยังได้รับบาดเจ็บผิวกายเล็กน้อย แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ก็คือ บังเต๊กที่ถูกก้อนน้ำแข็งกระแทกใส่กลางขม่อมจนหมดสติไปตั้งแต่แรก และเจ้าเมืองเตียวล่อที่ถูกซากขาหมูกระแทกเข้ากลางอกเต็มแรง ต่างล้มฟุบแน่นิ่งลงไปกับพื้นดิน ปะปนไปกับเหล่าทหาร ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เพราะยังมีก้อนนำ้แข็งและเศษซากสัตว์ตกกระแทกซ้ำตามร่างกายไปอีกหลายก้อน
ที่จริง ม้าเฉียวก็เกือบจะโดนเศษซากวัวกระแทกใส่ซ้ำเติม แต่เตียวหุยตาไว คว้าตัวให้หลบได้ทัน จนทั้งสองกลิ้งลงไปกับพื้นหลายทอด เมื่อทั้งสองลุกขึ้นหลบพ้นแล้ว ม้าเฉียวได้แต่กล่าวคำขอบคุณ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้แนะนำตัวให้รู้จักกัน แต่ก็เหมือนทั้งสองรับรู้ได้ทันทีด้วยบุคลิกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองฝ่าย
อันที่จริง คนทั้งสองเคยพบพานและร่วมมือกันต่อสู้ศัตรูมาแล้วคราหนึ่ง นั่นคือ การลอบสังหารกระสา-อ้วนเสี้ยวบนเนินผาสูง หากแต่ครั้งนั้น นางแอ่น-เตียวหุยปลอมตัวอยู่ในคราบของกระยาจกอ้วนสุด ม้าเฉียวซึ่งมุ่งมั่นแต่การล้างแค้น จึงจดจำไม่ได้ แต่นางแอ่นย่อมเป็นฝ่ายที่ล่วงรู้กระจ่าง และจับตาคอยให้ความช่วยเหลืออยู่
ฉับพลัน เสียงการโห่ร้องเข่นฆ่าสังหารระหว่างกองทหารก็ดังขึ้นจากกำแพงทั้งฝั่งเหนือ และฝั่งตะวันตก แสดงว่า กองทัพโจโฉคงแบ่งเป็นสองทาง บุกเข้าโจมตี ซึ่งก็น่าแปลกใจ เพราะทั้งสองฝั่งมีลักษณะเป็นป้อมปราการสูง พื้นที่บุกรุกจำกัด ทำให้จำนวนทหารที่ป้องกันก็พลอยลดน้อยลงกว่าด้านอื่นไปด้วย แสดงว่า กองทัพโจโฉเตรียมการณ์มาอย่างดี ถึงกับหาทางปีนป่ายขึ้นมา โจมตีที่จุดอ่อนโดยไม่ให้ทันรู้ตัว
พายุก้อนน้ำแข็ง และซากสัตว์เริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงการต่อสู้ดังใกล้เข้ามาทุกที แสดงถึงสถานการณ์การทหารที่คับขันยิ่งนัก การรบคืบหน้าแบบประชิดตัวทำให้การโจมตีระยะไกลต้องหยุดลงไปโดยปริยาย เพื่อไม่ให้ทำร้ายกันเอง แต่ถึงขณะนี้ แสดงว่า กองทัพโจโฉสามารถทลายประตูเมือง บุกเข้ามาถึงภายในตัวเมืองแล้ว
ถึงอยู่ก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง กลับจะเป็นการเปิดเผยตัวเองจนเสียแผน เตียวเลี้ยว เตียวคับในชุดดำรัดกุม จึงอาศัยความชุลมุนหนีหายออกไปก่อน เช่นเดียวกันกับสี่องครักษ์เผ่าเกี๋ยงที่คล้ายละทิ้งเจ้านายซึ่งหมดสภาพนอนรอความตายไปแล้ว ทางด้านคุณชายตระกูลม้าเป็นห่วงน้องสาว จึงผลักดันกันหลบหนีไปอีกทาง และลากเอาตัวจูล่งที่ยังซึมเซาไปด้วย หลงเหลือแต่นางแอ่น-เตียวหุยที่ขยับจะติดตามไปด้วยเช่นกัน
…
“พี่นางแอ่น ช้าก่อน” เสียงที่อ่อนแรงกระทบโสตประสาทหูของเตียวหุย เมื่อหันมองหาที่มาของเสียง กลับดังมาจากปากของเตียวล่อที่นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่กับพื้น เตียวหุยสงสัย จึงรีบลากตัวให้หลบออกมาจากลานกว้าง เพื่อไต่ถามเรื่องราวในที่ปลอดภัย
เตียวหุยมองเห็นใบหน้าซูบผอมของเตียวล่อ มีร่องรอยฉีกขาดคล้ายสวมใส่หน้ากากอยู่ จึงเค้นถาม “ที่แท้ เจ้าคือใครกันแน่”
เตียวล่อค่อยๆเลื่อนมือฉีกดึงหน้ากากออก เห็นเป็นชายชราที่มีอายุมากขึ้นกว่าเตียวล่อคนเดิมเสียอีก แต่มีแผลเป็นคล้ายรอยไฟไหม้ และรอยกรีดขาดยับเยินอยู่ครึ่งค่อนใบหน้า เตียวหุยมองดูเค้าหน้าที่คุ้นตา แต่ยังคงนึกไม่ออกว่าคือผู้ใด “เป็นเราเอง หัวขวาน นักประดิษฐ์แห่งหน่วยปักษาสวรรค์”
เตียวหุยขมวดคิ้วแน่น หัวขวาน ชายหนุ่มที่จากกันเมื่อไม่นานมานี้ จะกลายมาเป็นตาเฒ่าเสียโฉมตรงหน้าได้อย่างไรกัน แต่เตียวล่อเหมือนเดาใจได้ รีบเฉลยความต่อ “เรื่องนี้ต้องโทษจูล่งกับม้าเฉียวที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ พี่นางแอ่นโปรดฟังข้าก่อน”
“จากวันนี้ไปอีกไม่นาน การร่วมมือกันของขุนพลชื่อดังทั้งสอง ภายใต้คำบงการของม้าเท้งที่ปลอมเป็นโจโฉ จะกลายเป็นมหันตภัยครั้งใหญ่ของแผ่นดิน กลุ่มคนมีชื่อสมัยโบราณล้วนตกตายไปกว่าครึ่งค่อนแผ่นดิน พวกโจ เล่า ซุน ไม่อาจต่อต้านแผนร้ายของคนสกุลม้าและขุมกำลังสัตตดาราได้เลย ขุมกำลังลับและเครือข่ายสุมาก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น แม้แต่พวกเราหน่วยปักษาสวรรค์พยายามหาทางขัดขวาง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะพวกมันกล้าแข็งเกินไป กลอกกลิ้งเกินไป จนในที่สุด ก็เหลือเพียงข้าคนเดียวที่มีชีวิตรอดอยู่ เพราะเป็นคนอ่อนด้อย ไร้วิทยายุทธ์ จึงไม่เป็นที่น่ากังวลใจใดๆ”
มาถึงตอนนี้ เตียวล่อ หรือ หัวขวาน ดูคล้ายปิดบังเรื่องราวบางอย่าง หรือสะทกสะท้อนต่อชีวิตในอดีตของตนเอง แต่นี่คืออนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นของช่วงเวลานี้ เตียวหุยพยายามจับใจความสำคัญ จึงไม่กล้าสอดแทรกให้เสียจังหวะความคิด แต่พอจะเข้าใจได้ว่า หัวขวานเป็นอัจฉริยะนักประดิษฐ์ สามารถคิดค้นอุปกรณ์พิสดารมากมาย แต่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้วางแผน จึงกลายเป็นคนเดียวที่จับตัวเป็นเชลย ต้องทนอยู่อย่างคับแค้นมาโดยตลอด
เตียวล่อกล่าวต่อ “พวกมันต้องการใช้ความรู้ความสามารถด้านการช่างของข้า จึงเก็บข้าไว้ใช้งาน พัฒนาอาวุธอุปกรณ์การศึกต่อไปภายใต้การควบคุมตัวอย่างเข้มงวด ยังดีที่ข้าค้นพบเครื่องย้อนเวลาที่ถูกทุบทำลายจากซากศพของพี่ใหญ่ จึงใช้เวลาซ่อมเครื่องอยู่หลายปีจนใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง
วันนั้น ข้าจึงตัดสินใจใช้มันย้อนกลับมาแก้ไขอดีตก่อนที่จะลุกลามเป็นหายนะครั้งใหญ่ แต่ด้วยข้อจำกัดในการซ่อมแซม เครื่องย้อนเวลาจึงส่งตัวข้าย้อนเลยกลับไปถึงยุคสมัยที่พรรคฟ้าเหลืองยังคงรุ่งเรือง ข้าจึงจำเป็นต้องเล่นตามน้ำ เลือกที่จะใช้แผ่นหน้ากากพิสดาร แฝงตัวเข้าแทนที่เตียวล่อ คนไร้ฝีมือการต่อสู้เช่นเดียวกันกับตัวข้า และเป็นคนที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในครั้งนั้น
ตัวข้ารอคอยโอกาสมานานหลายสิบปี ใจหนึ่งไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอดีตอื่นๆให้เกิดผลกระทบซ้ำซ้อนวุ่นวาย เพียงเพื่อมุ่งหวังจะแก้ไขเฉพาะวิกฤติการณ์ครั้งนี้ อีกใจหนึ่งก็หวาดระแวง เกรงว่าจูล่งหรือคนอื่นจะพบความลับ และทำร้ายต่อคนที่ไร้ฝีมือเช่นตัวข้าจนเสียแผนการใหญ่ ตัวข้าจึงต้องพยายามถนอมตัวให้อยู่รอดมาจนถึงวันนี้ วันที่ข้าจะมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง”
ที่จริง หัวขวานอาจจะมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนยิ่งกว่านี้ วันเวลาผ่านมาเหตุไรจึงไม่พยายามติดต่อกับคนในหน่วย และกลับสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมาเพื่อยึดครองฮันต๋ง เสฉวนเสียเอง รวมทั้ง บาดแผลบนใบหน้ามาได้เช่นไร หัวขวานต้องเผชิญชะตากรรมมาไม่น้อยกว่าจะผ่านวันเวลาเหล่านี้ไปได้ เตียวหุยฉุกคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ หากแต่หัวขวานไม่บอกออกมา ใครเล่าจะล่วงรู้เหตุผลที่แท้จริงได้
เตียวล่อสรุปปมสำคัญว่า “วันนี้ในอดีต คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่เตียวล่อร่วมมือกันกับจูล่ง สังหารขุนพลคนสำคัญ และยึดครองเสฉวน ก่อตั้งพรรคฟ้าเหลืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ต่อรองร่วมมือกับตระกูลม้า โจมตีเกงจิ๋ว กังตั๋งราบเรียบไปหมดสิ้นภายในปีเดียว ด้วยความพิสดารของขุมกำลังสัตตดาราที่แฝงตัวอยู่ในขุมกำลังต่างๆ
แต่ในวันนี้ เตียวล่อคนนี้กลับเปิดโปงความเป็นมาอันลึกลับของเตียวหยุน และทำลายความเชื่อมั่นที่มันมีต่อพวกสัตตดารามาโดยตลอด จนสูญเสียความฮีกเหิมไปหมดสิ้นแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า สะใจข้านัก คนไร้สิ้นฝีมือวิทยายุทธ์คนนี้ ได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของแผ่นดินไปด้วยประโยคคำพูดเพียงไม่กี่คำ ให้เวลาเป็นบทพิสูจน์ตัวมันเถิด”
เตียวหุยขยับจะสอบถามถึงความเป็นมาของจูล่งที่ยังติดใจสงสัย แต่หัวขวานผู้เฒ่ากลับคล้ายทนพิษบาดแผลไม่ไหว พยายามล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อคล้ายจะหยิบฉวยสิ่งของอันใด แต่ขาดใจตายไปเสียก่อน ทิ้งความเป็นจริงอีกมากมายไว้ให้ค้นหากันเอง แม้แต่เบาะแสการติดต่อกับนกฮูก กระตั้ว นกยูง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ยังไม่ทันได้อธิบาย
เสียงทหารโห่ร้องดังเข้ามาใกล้ เมืองฮันต๋งคงจะสูญเสียให้แก่ฝ่ายโจโฉเสียแล้ว เตียวหุยรีบล้วงมือเข้าไปควานหาสิ่งของในอกเสื้อของเตียวล่อ-หัวขวาน กระทบถูกแท่งโลหะทรงกระบอก ขนาดใกล้เคียงกับฝ่ามือเพียงสิ่งเดียว
บังเอิญปลายหางตา เหลือบเห็นม้าต้ายวิ่งย้อนกลับมาตามหาตัวมัน จึงขยับฝ่ามือฟาดใส่หน้าอกของซากศพเตียวล่อ หรือหัวขวานผู้เฒ่าไปอีกคราหนึ่ง ให้ดูเหมือนว่าเพิ่งปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้าม แล้วรีบซุกซ่อนแท่งโลหะไว้ในอกเสื้อ พยักหน้าติดตามม้าต้ายหลบหนีออกจากเมืองทันที
…
ที่ด่านหน้าเมืองฮันต๋ง แม่ทัพสมุหกลาโหม แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน และโจหอง มองดูความเรียบร้อยในการบุกยึดเมืองในครั้งนี้ แม้ไม่พบซากศพของเจ้าเมืองเตียวล่อ แต่จากการบอกเล่าของคนฝ่ายตรงข้าม เตียวล่อคงตายไปแล้วในการจู่โจมระยะไกล ดังนั้น จึงพร้อมใจชมเชยกุนซือน้องใหม่ไฟแรงนาม เอียวสิ้ว
“ท่านกุนซือลึกซึ้งยิ่งนัก ถึงกับใช้แป้งอาหารสีขาวอำพรางร่องรอยผู้คนและสิ่งของให้กลมกลืนกับหิมะสะท้อนแสงจันทร์ยามราตรีในการเดินทาง ฉีกกฏเกณฑ์การเดินทัพยามค่ำคืน และใช้ความหนาวเย็นของฤดูหนาว ผนวกกับขาหมู ขาวัวที่ตัดสดๆ ประกบเข้ากับกำแพงจนเลือดแข็งตัว ยึดติดกันแน่น กลายเป็นบันไดสวรรค์ในการปีนป้อมปราการที่สูงชัน นำทหารเข้าจู่โจมได้โดยง่าย อีกทั้งยังดัดแปลงกองทัพฟ้าลั่นจากก้อนหิน ลูกไฟ มาเป็นก้อนน้ำแข็งและซากหมูซากวัว ถล่มใส่ผู้คนจากฟากฟ้า การปราบเตียวล่ออย่างกระทันหันครั้งนี้ ความชอบสูงสุดควรตกอยู่กับท่านกุนซือแล้ว”
เอียวสิ้วแย้มยิ้ม พลางตอบ “ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน เพียงแต่พวกท่านต้องช่วยกันขอโทษต่อวุยก๋งด้วย ที่พวกเราเปิดฉากรบโดยพลการเช่นนี้ จากการตั้งรับและสอดแนมหาข่าวในช่วงที่ท่านวุยก๋งไม่อยู่ กลับฉวยจังหวะรุกเข้าจู่โจม หวังว่าเมื่อท่านกลับมาจากเมืองหลวง คงจะพอเข้าใจได้”
ที่แท้ ในช่วงที่ม้าเท้ง-โจโฉย้อนกลับไปทำภารกิจลับที่เมืองหลวง ได้สั่งความกำชับให้กองทัพปราบตะวันตก น่ิงเฉยรอคอย เพราะพวกสกุลม้ามีวาระซ่อนเร้น หวังแทรกซึมและใช้สกุลม้าสร้างชื่อ แต่แล้ว กุนซือเอียวสิ้วกลับสอดแทรกเสนอแผน ทำให้บรรดาขุนพลแนวหน้าฝ่าฝืนคำสั่ง บุกยึดเมืองฮันต๋งก่อนถึงเวลาอันสมควร
“แน่นอน การชนะศึกยึดเมืองฝ่ายตรงข้ามย่อมเป็นจุดประสงค์ของการทำสงครามอยู่แล้ว ท่านวุยก๋งคงมีแต่จะยินดีในผลลัพธ์อันสุดยอดครั้งนี้” โจหองกล่าวด้วยความยินดีที่มีส่วนร่วมในการสร้างผลงาน เพราะตนเองมีชนักติดหลังที่เคยเสียเมืองเตียงอัน เป็นทัณฑ์บนอยู่ก่อนหน้าด้วย จึงเป็นคนแรกๆที่ให้การสนับสนุนแผนการบ้าระห่ำเช่นนี้
“และที่ยิ่งดีไปอีก ก็คือ เรายังได้ตัวบังเต๊ก ขุนพลฝีมือดีของพวกม้าเฉียวมาเป็นเชลยด้วยอีกคนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า” แฮหัวเอี๋ยนเสริมขึ้น รอบนี้ มันเป็นกองหน้านำมือเกาทัณฑ์ปิดปากคนเฝ้ากำแพงเมือง จึงเข้าเมืองมาเป็นกลุ่มแรกเริ่ม จนสำรวจพบบังเต๊กที่โดนก้อนน้ำแข็งยังไม่ตาย และจับกุมตัวไว้เป็นเชลยศึกไปแล้ว
“เอาเถิด พวกเราส่งข่าวรายงานต่อท่านวุยก๋งดีกว่า พี่ใหญ่จะได้คลายกังวลสักที” แฮหัวตุ้น ขุนพลตาเดียวกล่าวสรุปด้วยความรอบคอบ
เอียวสิ้วซ่อนยิ้มในพัดจีบ นึกยินดีที่ตนเองฉกฉวยแผนการสำคัญนี้มาจากสุมาอี้ กุนซือใหญ่ได้ ภาพร่างของบันไดสวรรค์และเครื่องยิงก้อนน้ำแข็งล้วนเป็นผลงานสร้างสรรค์ของสุมาอี้ที่ทำงานด้านกองเสบียงอยู่หลายเดือน ทดลองสิ่งประดิษฐ์จนใช้ได้จริง และร่างแบบวาดนำเสนอให้กับวุยก๋งตามสายการบังคับบัญชา
แต่เนื่องจากวุยก๋งไม่อยู่ เพราะลอบเดินทางกลับไปสะสางงานที่เมืองหลวง เอียวสิ้วอยู่โยงดูแลงานหนังสือเข้าออก บังเอิญพบเห็นแบบวาดในกองหนังสือก่อน จึงนำมาสร้างเป็นผลงานของตนเองในครั้งนี้ ส่วนการใช้แป้งอาหารปิดบังร่องรอยกองทัพ และซากหมูซากวัวที่ถูกใช้เป็นกระสุนแทนก้อนน้ำแข็งนั้น จึงเป็นผลงานที่แท้จริงของมัน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในการกำจัดซากสัตว์ที่ถูกตัดขาไปแล้วเท่านั้น
“ชิงลงมือก่อน ย่อมได้เปรียบ สุมาอี้ งานนี้ ท่านช้าเกินไปแล้ว” เอียวสิ้วเยาะเย้ยในใจ พลางนึกเชื่อมโยงความสำเร็จหน้าศึกเข้ากับแผนการที่กำลังดำเนินอยู่ในเมืองหลวง
…
ที่กระโจมกองเสบียงใกล้เมืองเตียงอัน สุมาอี้รับทราบข่าวศึกฮันต๋งด้วยความยินดี เอียวสิ้วเป็นคนฉลาด แต่อวดดีเกินไป พอมันต้องการสร้างความวุ่นวายในเมืองฮันต๋ง เพื่อเปิดทางให้เตียวเลี้ยว สายลับสองหน้าของเครือข่ายสุมา ถอยหนีได้สะดวก จึงเพียงแค่เปิดช่องว่างโดยให้ลกซุนแสร้งเคลื่อนย้ายกำลังพลฝั่งกังตั๋ง ดึงเอาตัวโจโฉออกไปจากสนามรบก่อน แล้วให้เอียวสิ้วเห็นประโยชน์ส่วนตน ฉวยโอกาสเสี่ยงสร้างผลงาน
และแล้ว ปลาหนุ่มก็งับเหยื่อล่อเข้าตามที่คาดไว้ โดยที่มันเพียงใช้กระดาษแผ่นเดียวเป็นหลุมพราง สร้างเงื่อนให้รอเวลารัดคอกุนซือปากไวในอนาคต
เรื่องแรก ความวุ่นวายหน้าศึกจะช่วยเปิดทางให้สายลับสองหน้าเตียวเลี้ยวหลบหนีได้อย่างปลอดภัยจากเมืองฮันต๋ง และมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลต่อจูล่งในการกลับสู่ฐานที่มั่นเมืองหับป๋า เรื่องที่สอง เอียวสิ้วชักชวนเหล่าขุนพลไปรบทัพจับศึกโดยพลการ มีหรือที่คนขี้ระแวงอย่างวุยก๋งจะพึงพอใจ จะมากจะน้อย ย่อมไม่เป็นผลดีต่ออนาคตของกุนซือมือใหม่เป็นแน่ แค่สองเรื่องนี้ มันก็พอใจในแผนการนี้แล้ว ส่วนการยึดเมืองฮันต๋ง ได้หรือไม่ได้นั้น เป็นเพียงผลพลอยได้ต่อแผนระยะยาวของมันเท่านั้น
ปณิธานของท่านพ่อสุมาเต๊กโชยังคงต้องสานต่อในระยะยาว มันจึงไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ล่าช้าต่อคนที่อาจจะเป็นอันตราย เฉกเช่นเมื่อหลายเดือนก่อนที่มันบงการให้กษัตริย์เหี้ยนเต้ยอมเสียสละฮกอ้วนพ่อลูก สังเวยต่อเหตุการณ์ขบถครั้งล่าสุด โดยอาศัยปากคำของอองลอง ประมุขสำนักหอสมุดใต้หล้า เพื่อไม่ให้การสืบสวนลุกลามมาถึงองค์กษัตริย์
แต่เดิม มันกับตันก๋ง ร่วมกันเกาะกุมความลับฮ่องเต้ในคดีขบถตังสิน แต่จนกระทั่งตันก๋งแปรพักตร์สิ้นชีพ ตันฮกหายสาบสูญ ตัวมันก็ยังไม่ได้ใช้องคฺ์กษัตริย์ให้เกิดประโยชน์อันใด ได้แต่ช่วยประคับประคองฮ่องเต้ให้อยู่รอดปลอดภัยบนบัลลังก์ไปพลางๆก่อน เพราะดูเหมือนเหี้ยนเต้จะไม่ยอมหยุดยั้งความพยายามในการช่วยเหลือกลุ่มอำนาจเก่าโค่นล้มโจโฉ ฟื้นฟูศักดิ์ศรีให้กับราชวงศ์ให้จงได้
มันจับตามองแผนการใต้ดินของกลุ่มอำนาจเก่า ตั้งแต่ ฮกอ้วน อองลอง อ้วนยู ฮัวหิม ซุนต่ำ สือฮิว เล่าจิน และเล่าสือ อย่างลับๆมาโดยตลอด บางคนคือทายาทขุนนางเก่าสายสกุลอ้วน บางคนเชื่อมโยงเชื้อพระวงศ์สกุลเล่า และบางคนถึงกับมีสายสัมพันธ์ลับต่อพวกสกุลซุน ล้วนมาจากตระกูลเก่าแก่ที่เคยมีชื่อเสียงทางการเมืองทั้งสิ้น
ยังมี สายสืบของมันค้นพบความลับยิ่งใหญ่มาสองเรื่อง คือ เรื่องแรก ฮกอ้วนเป็นเครือญาติฝ่ายภรรยาที่เกี่ยวดองกับบิดาของซุนเกี๋ยนอีกชั้นหนึ่ง เส้นทางการเจริญรุ่งเรืองของขุนนางฮกอ้วน อาลักษณ์สือฮิวและขงหยง ผู้นำสำนักหอสมุดใต้หล้านั้นส่วนหนึ่ง กลับเป็นผลงานสนับสนุนของกุนซือค้างคาว ซุนฮก นั่นเอง
เรื่องที่สอง นอกจากสกุลเล่า สกุลอ้วน และสกุลซุนที่มีสายสัมพันธ์โยงใยไปมากันแล้ว ยังมีสกุลเอียวเป็นอีกหนึ่งพวกที่เข้าร่วมขบวนการอยู่ด้วย นั่นคือ ตุลาการใหญ่เอียวตัน ลูกเอียวปิด คือ ลูกเขยของฮัวหิม หรือ อดีตซินผี และกุนซือเอียวสิ้ว ซึ่งเป็นลูกของเอียวปิวกับฮูหยินแซ่อ้วน อย่างที่ใครๆก็ล่วงรู้กัน คนสกุลเอียวทั้งสองยังนับเป็นห่วงโซ่ประสานเชื่อมโยงคนในกองทัพและแวดวงขุนนางมาโดยตลอด
เหตุการณ์ขบถฮกอ้วนที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ดูเปลือกนอก โจโฉลงมือหนักหน่วงต่อฮกอ้วนและพวก แต่มันกลับเชื่อมั่นว่า เรื่องราวดังกล่าว ไม่ควรง่ายดายเกินไป สมควรยังมีเงื่อนงำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าของปราชญ์เฒ่าอองลอง ดังนั้น เพื่อเส้นทางอันยิ่งใหญ่ของสกุลสุมา สุมาอี้ย่อมต้องหาทางกำจัดขุมกำลังอำนาจเก่าเหล่านี้ให้สิ้นซาก โดยยืมมือของโจโฉมาจัดการแทน เมื่อมีโอกาสเหมาะสม
…
วุยก๋ง โจโฉ หรือม้าเท้ง ทราบข่าวการยึดเมืองฮันต๋งด้วยความตระหนกตกใจ ด้วยเกรงว่าพวกม้าเฉียวจะเป็นอันตรายในการต่อสู้ จึงรีบจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น แล้วเร่งเดินทางออกจากเมืองหลวงในทันที หมายจะกลับไปควบคุมสถานการณ์เมืองฮันต๋งโดยเร็ว
เนื่องจากพวกมันเดินทางเป็นการลับ ไม่อาจนำทหารองครักษ์มามากมาย จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้า อาศัยรถม้าสามคันเดินทางออกจากประตูเมืองในยามค่ำ ฝ่าความมืดและอากาศที่หนาวเย็นไปตามเส้นทางหลวง จนเข้าสู่พื้นที่ชายป่า มิคาดคิด รถม้าคันแรกพลันเกิดระเบิดขึ้นจนไฟลุกท่วม คล้ายเป็นผลงานของเพลิงทมิฬที่ถูกยิงมาจากรถฟ้าลั่น
รถม้าสองคันหลังไม่ยอมหยุดเท้า สารถีรีบขับอ้อมซากรถม้าที่กำลังลุกไหม้ รับรู้ว่ากำลังถูกซุ่มโจมตี หากแต่ไม่นาน รถม้าคันที่สองพลันร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางกว้างใหญ่ เสียงแตกหักของรถม้าดังสนั่น พร้อมกับเสียงโอดโอยสักพักก็ขาดหายไป
เหลือเพียงรถม้าคันที่สาม รีรออยู่พักใหญ่ ถึงกับยอมล่าถอย ย้อนเส้นทางเดิมกลับมา หมายพึ่งพาความช่วยเหลือที่เมืองหลวง หากแต่ครานี้ กลุ่มมือสังหารในชุดรัดกุมสีดำ ใช้ผ้าปิดหน้า จำนวนนับร้อยกลับยืนแถวล้อมรอบพร้อมเกาทัณฑ์ครบมือ มิอาจฝืนวิ่งรถฝ่าต่อไปได้ ได้แต่รั้งม้าหยุดไว้กลางป่าเขา ยินยอมให้จับกุมเสียแล้ว
หัวหน้ามือสังหารโบกมือส่งสัญญาณวูบ รถม้าคันที่สามพลันถูกโจมตีด้วยลูกเกาทัณฑ์นับร้อยดอก ทะลุผ่านรถม้าและสารถี แสดงถึงการสังหารอย่างไม่ละเว้นชีวิตเป้าหมาย
เวลาผ่านไป สมุนค่อยเข้ามารายงานผล “รถม้าทั้งสามล้วนมีแต่ร่างของสารถีคนขับเท่านั้น ไม่มีซากร่างที่สองในรถม้าแม้แต่คันเดียว นายท่าน พวกเราหลงกลเสียแล้ว”
เสียงโห่ร้องดังมาจากรอบด้าน กองทัพองครักษ์สกุลโจพลันรายล้อมกลุ่มมือสังหารแล้วไล่สังหารในทันที แสดงว่า แผนการรั่วไหล เป้าหมายวางแผนซ้อนแผนแล้ว
หัวหน้ามือสังหารรีบหลบหนี แต่กลับตึงวูบที่ต้นคอ ที่แท้ โดนองครักษ์หมีทมิฬ เคาทู ลอยตัวมาคว้าจับเสียแล้ว มันรับรู้ว่า มิอาจมีชีวิตรอด จึงเสี่ยงชีวิต ตวัดกระบี่ใส่ข้อมือฝ่ายตรงข้าม พลันได้ยินเสียงกร๊อบดังสนั่น เป็นเสียงสุดท้ายก่อนวิญญาณหลุดลอย
มือสังหารร่วมร้อยคนถูกสังหารหมดสิ้นภายในเวลาเพียงชั่วหนึ่งก้านธูป เคาทูลากตัวหัวหน้ามาโยนลงต่อหน้าม้าเท้ง-โจโฉ และแฮหัวป๋า ผู้นำสกุลรุ่นสอง เห็นเป็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย เป็นเจ้าเมืองฮูโต๋ หมันทอง ซึ่งมักถูกขุมกำลังลับฝ่ายต่างๆหลอกลวงให้ทำงานผิดพลาด ทำร้ายพวกเดียวกันเองครั้งแล้วครั้งเล่า
ม้าเท้ง-โจโฉงงงันวูบหนึ่ง ความจงรักภักดีของหมันทองต่อโจโฉนับว่าใช้ได้ ด้วยข้อมูลดั้งเดิมที่ขุนพลซิหลงและกุนซือเงาปีศาจกาเซี่ยงเคยให้การรับรองมาก่อน ครั้งนี้ จึงยากจะคาดเดาว่า เจ้าเมืองฮูโต๋ตกเป็นเหยื่อถูกล่อลวงให้ทำร้ายกันเองอีกครั้ง หรือ ล่วงรู้ว่า มันคือ โจโฉตัวปลอม จึงหมายลงมือสังหาร สร้างผลงาน กันแน่
ในเวลานี้ นอกจากหันซุย ม้าเลี้ยง ที่เพิ่งได้ติดต่อไปแล้ว คนที่ล่วงรู้แผนการปลอมตัวก็มีแต่นางเปียนสีเพียงคนเดียว หรือว่า ครั้งนี้ เป็นนางที่แพร่งพรายความลับออกไปให้คนอื่นช่วยลงมือ เช่นนี้เกรงว่า สถานะของมันก็ไม่อาจไว้วางใจได้อีกต่อไป สมควรดึงตัวคนที่ไว้วางใจได้เข้ามาช่วยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดบ้างแล้ว
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย