18 มิ.ย. 2021 เวลา 16:22 • ประวัติศาสตร์
ภาพนี้มีเรื่องเล่า ตอน ปฏิบัติการลงทัณฑ์จากพระเจ้า และข้าวหมกไก่กู้ชาติ ตอนที่ 1
2
ถ้าทุกคนลองสังเกตภาพด้านบนจะเห็นอะไรกันบ้างครับ ผมมั่นใจว่าทุกคนน่าจะตอบว่าก็หน้าของคนกลุ่มหนึ่งที่มีหน้าตาออกไปทางตะวันออกกลางหน่อย ๆ แต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน คงยากที่จะตอบได้
4
ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม 1972 ที่มหกรรมกีฬาโอลิมปิคที่จัดขึ้นที่กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมัน เกิดเหตุการณ์ช๊อคโลกขึ้นเมื่อนักกีฬาอิสราเอลทั้งหมด 9 คน โดนจับเป็นตัวประกัน โดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย Black September ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่ม PLO กองกำลังแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ ที่ต้องการยึดดินแดนคืนจากอิสราเอล
1
ภาพของสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย Black September ที่บริเวณระเบียง ที่ข้างในมีนักกีฬาของอิสราเอลโดนจับเป็นตัวประกันอยู่ ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงมิวนิค (Source: Pinterest)
การเจรจาดำเนินไปเป็นเวลานาน มีความพยายามที่จะชิงตัวประกันถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งสุดท้ายปฏิบัติการชิงตัวประกันครั้งที่ 3 ที่สนามบินก็จบลง ด้วยเสียงปืน ความชุลมุน และการเสียชีวิตของนักกีฬาอิสราเอลรวม 11 คน ส่วนสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายนั้นเหลือรอดเพียง 3 คนจาก 8 คน
3
ทั้งสามถูกคุมตัวโดยทางการเยอรมัน และอีก 1 เดือนต่อมา เกิดการจี้เครื่องบินของสายการบิน Lufthansa ขึ้น ทำให้ทางการเยอรมันต้องยอมปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายทั้ง 3 คนให้ลี้ภัยไปยังประเทศลิเบีย ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการสังหารหมู่กลางกีฬาโอลิมปิคในครั้งนี้ สามารถไปตามอ่านกันได้ที่
สภาพห้องที่ใช้กุมขังนักกีฬาชาวอิสราเอล ในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงมิวนิค (Source: Wikipedia)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่ม PLO กระทำการก่อการร้ายขึ้นกับอิสราเอล มีการจี้เครื่องบินที่เดินทางมาอิสราเอลหลายครั้ง มีการยิงจรวดเข้ามาถล่มบ้านเมืองของประชาชนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าการกระทำทั้งหมดของกลุ่ม PLO นั้น นอกจากจะเป็นการหยามหน้าอิสราเอลแล้ว ยังนำมาซึ่งคำถามที่ว่าชาวยิวทั่วโลก จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
2
การก่อการร้ายที่มิวนิคเป็นเสมือนดั่งฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลอิสราเอลตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอะไรซะอย่างเพื่อจะหยุดยั้งการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอล และชาวยิวทั่วโลก และเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ที่มิวนิค
2
เหตุการณ์จี้เครื่องบินของสายการบิน Sabena ที่เดินทางจากเวียนนา มายังกรุงเทล อาวีฟในอิสราเอล หนึ่งในการจี้เครื่องบินหลายครั้งของกลุ่ม PLO (Source: https://www.timesofisrael.com)
ปฏิบัติการพิเศษจึงถูกวางแผนขึ้น และนี่คือเรื่องราวของปฏิบัติการนั้น ซึ่งประเทศไทยต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย จนเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ข้าวหมกไก่กู้ชาติ" ขึ้นในปี 1972 มาร่วมเดินทางไปกับปฏิบัติการครั้งนี้กับ Kang’s Journal กันครับ "Operation Wrath of God : ปฏิบัติการลงทัณฑ์จากพระเจ้า และข้าวหมกไก่กู้ชาติ"
1
*Wrath จริง ๆ แล้วแปลว่าความโกรธเกรี้ยว แต่เพื่อความลื่นไหลของบทความ ขอใช้คำว่าลงทัณฑ์แทนนะครับ*
2
ตำรวจไทย ล้อมรอบสถานฑูตอิสราเอล ในเหตุการณ์ "ข้าวหมกไก่กู้ชาติ" (Source: https://www.silpa-mag.com)
เหตุการณ์ก่อนหน้า
หลังการสังหารหมู่นักกีฬาอิสราเอลที่มหกรรมกีฬาโอลิมปิคในเดือนกันยายน 1972 ทางการอิสราเอลส่งกองทัพอากาศไปถล่มฐานที่มั่นของกลุ่ม PLO ในประเทศซีเรียและเลบานอนทันที ส่งผลให้มีบ้านเรือนกว่า 100 หลังคาเรือนได้รับความเสียหาย
ในวันที่ร่างไร้วิญญาณของนักกีฬาทั้ง 11 คนเดินทางกลับมาถึงอิสราเอล มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ นักข่าวมากมายต่างพากันมาทำข่าว และหนึ่งในกลุ่มคนที่มาร่วมงานคือ แม่ม่าย 7 คนที่ต้องเสียคนรัก และเด็ก 14 คนที่ต้องกำพร้าพ่อของพวกเขาไปตลอดกาล ซึ่งเรื่องที่หลายคนอาจไม่รู้คือนายกรัฐมนตรี Golda Meir เดินเข้าไปหาพวกเขาและบอกกับพวกเขาว่า “ฉันสัญญาว่าการเสียชีวิตของพวกเขา จะต้องไม่สูญเปล่า”
โลงศพที่บรรจุร่างไร้วิญญาณของนักกีฬาอิสราเอลทั้ง 11 คน ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงมิวนิค (Source: Pinterest)
ไม่นานหลังจากพิธีศพ ทางรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการ X หรือ Committee X ขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งมีเป้าหมายในการจัดการกับผู้ก่อการร้ายที่มุ่งหวังทำลายชาติอิสราเอล โดยคณะกรรมการประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้น Golda Meir รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Moshe Dayan และที่สำคัญที่สุดคือหัวหน้าของหน่วยงาน MOSSAD นามว่า Zvi Zamir
ก่อนอื่นต้องอธิบายซักเล็กน้อยว่า MOSSAD คือใคร MOSSAD มีชื่อในภาษาอังกฤษคือ The Insitute for Intelligence and Special Operations ถูกตั้งขึ้นในปี 1949 ซึ่งมีหน้าที่หลัก ๆ คือการรวบรวมข่าวกรอง และปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย รวมถึงปฏิบัติการอื่น ๆ ที่ได้รับคำสั่งมา (ลักษณะคล้าย ๆ กับหน่วยงาน CIA ของอเมริกา หรือ Mi-6 ของอังกฤษ) แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ MOSSAD เป็นองค์กรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของอิสราเอล ดังนั้นพวกเขาจะสามารถปฏิบัติการอะไรก็ได้ และจะรับคำสั่งตรงจากนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น
2
Golda Meir (ขวา) นกยารัฐมนตรี และ Moshe Dayan (ซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ในปี 1972 (Source: https://www.haaretz.com)
จากมติที่ประชุมของคณะกรรมการ X สรุปใจความได้ว่า อิสราเอลมีความจำเป็นที่จะต้องสังหารบุคคลทั้งหมดที่มีความเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่กรุงมิวนิค เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายกับชาวอิสราเอลทั่วโลกอีก พูดง่าย ๆ ก็คือคณะกรรมการ X ตัดสินใจลงโทษผู้กระทำผิดด้วยตนเอง แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และปฏิบัติการนี้ก็ถูกตั้งชื่อว่า “Operation Wrath of God : ปฏิบัติการลงทัณฑ์จากพระเจ้า” หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “Operation Bayonet : ปฏิบัติการดาบปลายปืน” และผู้ที่เป็นแกนหลักในการดำเนินการปฏิบัติการในครั้งนี้คือหน่วย MOSSAD ซึ่งจะทำงานประสานกับหน่วยข่าวกรอง และกองทัพของอิสราเอล
1
Zvi Zamir หัวหน้าของหน่วย MOSSAD (Source: https://alchetron.com)
ก่อนการสังหาร
1
ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงมิวนิคก่อน มีการส่งรายชื่อมาจากแหล่งข่าวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากสายของ MOSSAD ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่ม PLO และจากหน่วยข่าวกรองต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป แม้จะไม่เคยมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ คาดการณ์กันว่าในบัญชีสังหารนั้นมีสมาชิกของกลุ่ม PLO อยู่ประมาณ 20-35 คน
ขั้นตอนที่สองคือ การหาเป้าหมายที่อยู่ในบัญชีสังหารให้เจอ และทำการ “ลงทัณฑ์” คนเหล่านั้นซะ และที่ใช้คำว่าลงทัณฑ์นั้นเป็นเพราะว่า เป้าหมายของปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการสังหารธรรมดา
1
สัญลักษณ์ของกลุ่ม MOSSAD รอบๆสัญลักษณ์เชิงเทียน จะเขียนเป็นภาษาฮีบรูว่า " ถ้าไม่มีที่ปรึกษา ประชาชนจะพินาศ แต่ถ้ามีกลุ่มที่ปรึกษาความปลอดภัยก็จะบังเกิด" (Source: Wikipedia)
จากการสัมภาษณ์อดีตรองหัวหน้า MOSSAD เขากล่าวว่า “ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การล้างแค้น แต่เราต้องการที่จะสร้างความหวาดกลัวให้ฝังอยู่ในใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายมากกว่า เราต้องการให้พวกเขารู้สึกว่ามีคนกำลังตามล่าพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการยิงพวกเขาทิ้งกลางถนนธรรมดา ๆ มันอาจจะง่ายเกินไป” พูดง่าย ๆ ก็คือปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายเสริมก็เพื่อให้กลุ่มก่อการร้ายกลายเป็นโรคหวาดระแวงที่ต้องคอยระวังคนที่จะมาสังหารตลอดเวลานั่นเอง
3
ว่ากันว่าหนึ่งในวิธีที่ MOSSAD ใช้ในการสร้างความตื่นตระหนกให้กับเป้าหมายคือ ก่อนการสังหารประมาณ 2-3 ชั่วโมง ครอบครัวของเป้าหมายเช่นภรรยา หรือลูก จะได้รับการ์ดที่เขียนไว้ว่า “เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าเราไม่เคยลืม” หรือบางทีอาจจะมีการลงข่าวการเสียชีวิตของเป้าหมายในหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่
5
MOSSAD หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของอิสราเอล (Source: https://www.albawaba.com)
ขั้นตอนที่สามคือ การทำให้การสังหารทุกครั้ง ไม่สามารถเชื่อมโยงกลับมาที่รัฐบาลอิสราเอลได้ และจะต้องไม่พึ่งพารัฐบาลต่างชาติในการช่วยเหลือใดใดทั้งสิ้น ดังนั้นการจัดทีมงานสังหารที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญมาก
1
เนื่องจากปฏิบัติการทั้งหมดเป็นความลับ ในปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าการจัดทีมปฏิบัติการเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่จากการรวบรวมข้อมูลโดยสังเขปพบว่า ทีมที่เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ทีม โดยในหนึ่งทีมจะประกอบไปด้วยสมาชิก 12-15 คน ซึ่งแต่ละคนจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป
1
เริ่มจาก Kidon หรือ มือสังหารที่จะมีประมาณทีมละ 2-3 คน (คำว่า Kidon ในภาษาฮีบรู แปลว่า กริช และหน่วย Kidon เป็นหน่วยที่ในปัจจุบันก็ยังเป็นความลับอยู่ และแทบจะไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเลย) จากนั้นจะมีผู้ช่วยของ Kidon อีก 2 คน ที่จะทำหน้าที่คุ้มกันอีกทีหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่จัดการทั่วไปอีก 2 คนที่จะทำหน้าที่จองโรงแรม หารถ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ มีเจ้าหน้าที่สื่อสารอีก 2 คน และสุดท้ายคือเจ้าหน้าที่เบื้องหลังอีกประมาณ 6-8 คนที่จะมีหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการทั้งหมด เช่นค้นหาและติดตามเป้าหมาย วางแผนการสังหาร ตลอดจนหาเส้นทางหนีให้กับมือสังหาร
5
หน่วย Kidon หน่วยสังหารของกลุ่ม MOSSAD (Source: https://www.haaretz.com)
ปฏิบัติการเริ่ม!
ในวันที่ 16 ตุลาคม 1972 เพียง 1 เดือน กับอีก 11 วันหลังการสังหารหมู่ที่มิวนิค ปฏิบัติการเริ่มต้นขึ้น Wael Zwaiter ตัวแทนของกลุ่ม PLO ในประเทศอิตาลีคือเป้าหมายแรก เขาทำงานเป็นล่ามในสถานฑูตลิเบียที่กรุงโรม และเป็นลูกพี่ลุกน้องกับ Yasser Arafat หัวหน้ากลุ่ม PLO
3
วันนั้น Zwaiter กำลังกลับบ้านหลังจากการทำธุระส่วนตัวตอนเวลาประมาณ 16.30 เมื่อเขากำลังจะเปิดประตูอพาร์ทเมนท์ของเขา เขาถูกซุ่มยิงโดยเจ้าหน้าที่ MOSSAD แบบไม่ทันตั้งตัว ร่างของ Zwaiter ล้มลงไปกองกับพื้นทันที พร้อมกับรอยกระสุน 11 นัด 1 นัดต่อนักกีฬาอิสราเอล 1 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในมิวนิค Zwaiter กลายมาเป็นผู้ถูกลงทัณฑ์คนแรก และไม่นานก็มีข้อความโทรเลขไปยัง Golda Meir ว่า “#1 is down : เบอร์ 1 ถูกกำจัดแล้ว”
5
ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่จำลองเหตุการณ์การสังหาร Zwaiter ที่กรุงโรม https://www.youtube.com/watch?v=DIN-_5mFgto
1
Wael Zwaiter ผู้ถูกลงทัณฑ์คนแรกจากปฏิบัติการ Wrath of God (Source: https://eventiluttuosi.blogspot.com)
เป้าหมายต่อมาของ MOSSAD คือ Mahmoud Hamshari ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่ม PLO ในประเทศฝรั่งเศส และทางหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเชื่อว่าเขาคือหัวหน้าของหน่วย Black September ในประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
เขาเคยให้สัมภาษณ์หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่มิวนิคไว้ว่า “เขาไม่เคยกลัวว่าเขาจะโดนฆ่าล้างแค้น” ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของเขานั้น จะนำความโชคร้ายมาให้กับตัวเขาในที่สุด
ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการที่เจ้าหน้าที่ MOSSAD ปลอมตัวเป็นนักข่าวเพื่อมาขอสัมภาษณ์ Hamshari ที่อพาร์ทเมนท์ของเขา หารู้ไม่ว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นใช้โอกาสนี้ในการตรวจตราสถานที่อย่างละเอียด และวันหนึ่งขณะที่ Hamshari ออกไปข้างนอก เจ้าหน้าที่ของ MOSSAD แอบเข้าไปวางระเบิดไว้ที่โทรศัพท์ในอพาร์ทเมนท์ ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดทันทีที่มีการกดปุ่มจากรีโมทควบคุมระยะไกล
Mahmoud Hamshari  หัวหน้าของกลุ่ม Black September ในประเทศฝรั่งเศส (http://www.soccersuck.com)
วันที่ 8 ธันวาคม 1972 เจ้าหน้าที่ MOSSAD รอจนกระทั่งลูกสาวและภรรยาของ Hamshari ออกไปจากอพาร์ทเมนท์ แล้วจึงปลอมตัวเป็นนักข่าวเพื่อโทรหา Hamshari อีกครั้ง ประโยคแรกที่เจ้าหน้าที่กล่าวออกไปคือ “ผมกำลังพูดกับ Hamshari ใช่มั้ยครับ” และเมื่อ Hamshari ตอบกลับมาว่า “ใช่ครับ” คำพูดคำนี้ก็กลายเป็นคำพูดที่ตัดสินชะตาชีวิตของเขาทันที
2
เจ้าหน้าที่ MOSSAD ที่อยู่ในรถใกล้ ๆ กับอพาร์ทเมนท์กดระเบิด แรงระเบิดเสียงดังสนั่น ส่งผลให้กระจกของอพาร์ทเมนท์แตกเป็นเสี่ยง ๆ และข้าวของกระจายไปทั่ว ตัวของ Hamshari เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังพอมีสติที่จะให้การกับทางตำรวจปารีสได้ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในโรงพยาบาลในเวลาต่อมา
2
ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่จำลองเหตุการณ์การสังหาร Hamshari ที่กรุงปารีส
1
ในปัจจุบัน ทางปาเลสไตน์มีการรำลึกถึง Mahmoud Hamshari อยู่ทุกปี ซึ่งตัวเขาเองได้รับการยกระดับขึ้นมาเป็นนักบุญ (Source: https://palwatch.org)
เป้าหมายที่สามของกลุ่ม MOSSAD คือชาวจอร์แดนที่มีนามว่า Hussein Al Bashir ซึ่งทางอิสราเอลเชื่อว่าเป็นหัวหน้าของกลุ่ม Black September ประจำประเทศไซปรัส ทางสมาชิกกลุ่ม MOSSAD สะกดรอยตาม Bashir อย่างใกล้ชิด และอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ แอบเข้าไปวางระเบิดใต้เตียงของ Bashir ในโรงแรม Olympic ใจกลางกรุงนิโคเซีย เมืองหลวงของไซปรัส
ในคืนวันที่ 24 มกราคม 1973 เวลา 22.00 น. หลังจากเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตสหภาพโซเวียต Bashir กลับเข้ามายังห้องในโรงแรมของเขา และล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ซึ่งการนอนในครั้งนี้คือการนอนตลอดไปของเขา เพราะแรงกดจากร่างกาย ทำให้ระเบิดที่ฝังอยู่ใต้เตียงของเขาระเบิดอย่างรุนแรงส่งผลให้ Bashir เสียชีวิตคาที่ทันที แต่เคราะห์ร้ายที่การคำนวณปริมาณระเบิดผิดพลาด เพราะการระเบิดนั้นรุนแรงจนลามไปถึงห้องพักห้องอื่น ส่งผลให้แขกที่มาพักในโรงแรมได้รับบาดเจ็บหลายราย
1
ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่จำลองเหตุการณ์การสังหาร Bashir ที่กรุงนิโคเซีย (อาจจะไม่ตรงกับที่เขียนนะครับ เข้าใจว่ามีการดัดแปลงบทบ้าง)
3
ฉากจากภาพยนต์เรื่อง Munich ซึ่งเป็นภาพยนต์เกี่ยวกับปฏิบัติการ Wrath of God ตอนที่เกิดเหตุระเบิดที่โรงแรม Olympic ในกรุงนิโคเซีย (Source: Pinterest)
อีกประมาณ 3 เดือนต่อมาในวันที่ 6 เมษายน 1973 ที่กรุงปารีส Basil Al-Kubaissi อาจารย์คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเบรุต กำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากรับประทานอาหารเย็น เขาคือผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนอาวุธให้กับกลุ่ม Black September และอาวุธเหล่านั้นก็คืออาวุธที่ใช้สังหารนักกีฬาชาวอิสราเอลนั่นเอง
ในระหว่างทางกลับบ้าน เขาโดนซุ่มยิงและเสียชีวิต ร่างของเขาล้มลงกับพื้นพร้อมกับรอยกระสุน 11 นัดเช่นเดิม โดยเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวว่า รอยกระสุนนั้นกระจุกอยู่ที่บริเวณหัวใจและศีรษะ ซึ่งต้องเกิดจากการกระทำของนักแม่นปืนมืออาชีพเท่านั้น
ร่างของ Basil Al-Kubaissi ที่โดนยิงเสียชีวิตที่กรุงปารีส (Source: gettyimages)
ปฏิบัติการ ในปฏิบัติการ
มาถึงตอนนี้เป้าหมายหลักหลายคนโดนกำจัดเป็นที่เรียบร้อย และปฏิบัติการลงทัณฑ์ในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามมีความท้าทายเกิดขึ้น เพราะเป้าหมายต่อไปของกลุ่ม MOSSAD นั้น ซ่อนตัวอยู่ในตึกใจกลางกรุงเลบานอน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกองกำลัง PLO
2
แต่ยิ่งท้าทายเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมที่จะหอมหวานมากขึ้นเท่านั้น เพราะในตึกนั้น มีเป้าหมายที่กลุ่ม MOSSAD ต้องการจะสังหารถึง 3 คนด้วยกัน ดังนั้นถ้าสามารถบุกเข้าไปในตึกนั้นได้ ปฏิบัติการในครั้งนี้ MOSSAD ก็อาจจะกำจัดเป้าหมายได้ถึง 3 คนในครั้งเดียว
1
การวางแผนทั้งหมดใช้เวลานานสามสัปดาห์ โดยปฏิบัติการในปฎิบัติการครั้งนี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “Operation Spring of Youth” และเป็นปฏิบัติการเดียวที่มีการนำหน่วยคอมมานโด และกองทัพเรืออิสราเอลเข้ามาร่วมด้วย
1
Ehud Barak หัวหน้าหน่วยคอมมานโดจากกองทัพบก ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการสังหารผู้ก่อการร้ายทั้งสามที่อยู่ในบัญชีสังหาร ใน Operation Spring of Youth (Source: https://special-ops.org)
คืนที่ 9 เมษายน 1973 ท่ามกลางความมืดมิด เรือยางหลายลำถูกปล่อยลงมาจากเรือของกองทัพเรืออิสราเอลที่กำลังลอยอยู่ในบริเวณทะเลแดง โดยในเรื่อยางเหล่านั้นคือหน่วยคอมมานโดมือดี 3 หน่วยของอิสราเอล ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยจากกองทัพบก พลร่ม และกองทัพเรือ เมื่อถึงชายฝั่งพวกเขาพบกับเจ้าหน้าที่ของ MOSSAD พร้อมทั้งเปลี่ยนชุดเป็นชุดพลเรือนเพื่อปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวทันที ทหารหลายคนปลอมตัวเป็นผู้หญิง และต้องใส่ส้นสูง ซึ่งพวกเขาต้องฝึกเดินในส้นสูงในช่วงเวลา 1 อาทิตย์ก่อนปฏิบัติการนี้จะเริ่มขึ้น
4
หน่วยคอมมานโด 3 หน่วยลงเรือยางเพื่อเดินทางมายังชายฝั่งของเลบานอน (Source: https://www.idf.il)
จากนั้น MOSSAD รีบพาทุกคนไปยังตึกเป้าหมายทันที หน่วยคอมมานโดจากกองทัพบกคือหน่วยหลักที่จะสังหารผู้ก่อการร้ายทั้ง 3 คนที่อยู่ในรายชื่อสังหาร ซึ่งประกอบไปด้วย Abu Youssef หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของกลุ่ม Black September Kamal Adwan หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของ PLO และ Kamal Nasser คณะกรรมการอาวุโสและโฆษกของกลุ่ม PLO
Abu Youssef หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการ Black September หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ Operation Spring of Youth (Source: https://historica.fandom.com)
เมื่อไปถึงที่หมาย ทุกคนแยกกันออกเป็น 4 ทีม 1 ทีมต่อการสังหารเป้าหมาย 1 คน และอีก 1 ทีมเป็นทีมคุ้มกัน ทีมแรกมุ่งตรงไปยังอพาร์ทเมนท์ของ Youssef และระเบิดประตูออกอย่างรุนแรง Youssef โดนยิงเสียชีวิตคาที่โดยไม่ทันได้โต้ตอบอะไรด้วยซ้ำ และเคราะห์ร้ายที่ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวมาบังเขา ก็เลยโดนยิงเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
3
ทีมที่สองบุกไปยังอพาร์ทเมนท์ของ Kamal Nasser หลังจากระเบิดประตูออก ทีมคอมมานโดพบ Nasser อยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา และเขาก็โดนยิงเสียชีวิตคาที่เช่นกัน ว่ากันว่าจำนวนกระสุนและความรุนแรงของกระสุนที่ยิงออกไปนั้นทำให้โต๊ะทำงานที่ทำจากไม้ ไฟลุกไหม้เลยทีเดียว ส่วนอพาร์ทเมนท์สุดท้ายเป็นของ Kamal Adwan ซึ่งหลังจากระเบิดประตูออก เขายิงสวนออกมา ทำให้หน่วยคอมมานโด 1 คนเสียชีวิตทันที แต่นั่นก็คือการเหนี่ยวไกปืนครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา เพราะหลังจากนั้นกระสุนหลายนัดก็พุ่งทะลุตัวเขา ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่ เป้าหมายหลัก 3 คนในรายชื่อสังหารถูกกำจัดครบทุกคนอย่างรวดเร็ว
Kamal Nasser โฆษกของกลุ่ม PLO ที่โดนสังหารใน Operation Spring of Youth (Source: https://nowinexile.tumblr.com)
แต่หลังจากเสียงระเบิดประตูครั้งแรกเกิดขึ้น หน่วยรักษาความปลอดภัยของ PLO ซึ่งวางกำลังไว้อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น รีบมุ่งหน้าไปยังตัวอาคารทันที และทีมที่ 4 ซึ่งเป็นทีมคุ้มกัน ซึ่งส่วนใหญ่แต่งกายเป็นผู้หญิงก็เปิดฉากยิงสวน เสียงปืนดังลั่นไปทั่วพื้นที่ราวกับกำลังมีสงครามกลางเมืองอยู่
หลังเสร็จสิ้นภารกิจ ทั้ง 4 ทีมรีบกระโดดขึ้นรถ พร้อมทีม MOSSAD ที่รีบพาพวกเขาขับรถกลับมายังจุดที่พวกเขาขึ้นฝั่ง แต่ปรากฏว่าระหว่างทางพวกเขาโดนเรียกตรวจโดยหน่วยทหารกลุ่มหนึ่ง ปฏิบัติการทุกอย่างเหมือนกับจะต้องโดนเปิดโปงซะแล้ว แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ในชุด “นักท่องเที่ยว” พวกทหารก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ปฏิบัติการทั้งหมดเริ่มตั้งแต่พวกเขาลงเรือ ขึ้นรถ สังหารผู้ก่อการร้ายทั้งสาม และขึ้นรถกลับมาที่เรืออีกที กินเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น
1
สภาพอพาร์ทเมนท์ของ Kamal Adwan หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการของ PLO ที่โดนสังหาร (Source: Wikipedia)
ส่วนหน่วยคอมมานโดจากหน่วยพลร่มรับผิดชอบในการโจมตีอาคาร 6 ชั้นหลังหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางปฏิบัติการของ PFLP (Popular Front for the Liberation of Palestine) หน่วยรักษาความปลอดภัยซึ่งไม่ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือมาก่อน แทบจะไม่มีโอกาสโต้ตอบใดใดเลยด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ของอิสราเอลนำระเบิดกว่า 80 กิโลกรัม ไปติดตั้งไว้ตามที่ต่าง ๆ ของอาคาร และกดระเบิด อาคาร 6 ชั้นถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงซากปรักหักพัง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคืออาคารที่อยู่ติดกันสองด้าน ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแม่นยำและละเอียดในการวางตำแหน่งของระเบิดเป็นอย่างมาก
1
พิมพ์เขียวของอพาร์ทเมนท์ของ Abu Youssef ที่ใช้ในปฎิบัติการ (Source: https://www.ynetnews.com)
ส่วนหน่วยคอมมานโดของกองทัพเรือ มีหน้าที่ในการทำลายโรงงานผลิตอาวุธ และโรงเก็บน้ำมัน ซึ่งก็สร้างความเสียหายได้มากพอสมควร
ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่ชายฝั่งภายในเวลาเพียง 30 นาที จากตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึง และหายตัวไปในความมืดมิดของทะเลแดง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และรุ่งเช้าสมาชิกหน่วยคอมมานโดหลายคนก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงในบ้านของพวกเขาอิสราเอลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สรุปความเสียหายในครั้งนี้อิสราเอลเสียคนไป 2 คน ในขณะที่กลุ่ม PLO ต้องเสียคนไปประมาณ 80-100 คน พร้อมทั้งสมาชิกคนสำคัญของ PLO และอาคารต่าง ๆ มากมาย
1
ปฏิบัติการ Spring of Youth ใช้เวลาทั้งหมด นับตั้งแต่ขึ้นฝั่งที่เลบานอน จนทุกหน่วยกลับมารวมตัวกันที่ชายฝั่งอีกครั้ง เพียง 30 นาทีเท่านั้น  ภาพด้านบนคือภาพที่หน่วยคอมมานโด เดินทางกลับมาถึงเรือใหญ่ หลังจากภารกิจเสร็จสิ้น (Source: https://www.idf.il)
ปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในปฏิบัติการลับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดครั้งหนึ่งของโลก เพราะผู้เสียชีวิตทางฝั่งอิสราเอลนั้นน้อยมาก และเป้าหมายทุกอย่างถูกกำจัดตามแผนการทุกอย่าง ถึงขนาดที่ CIA และ Mi-6 ต้องมาศึกษาแผนปฏิบัติการนี้กับหน่วย MOSSAD เลยทีเดียว
ฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่จำลองเหตุการณ์การปฏิบัติการ Spring of Youth
การตอบโต้ที่มีประเทศไทยอยู่ในแผน
2
แน่นอนว่ากลุ่ม PLO ย่อมต้องมีการตอบโต้การกระทำของอิสราเอล มีการส่งจดหมายระเบิดไปยังสถานฑูตและสถานกงศุลอิสราเอลต่าง ๆ ทั่วโลกในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน 1972 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน
สภาพของโต๊ะทำงานในสถานฑูตอิสราเอลในกรุงลอนดอน หลังพัสดุที่มีระเบิดถูกเปิดออก (Source: bbc.com)
นอกจากนี้ยังมีการลอบสังหารเจ้าหน้าระดับสูงคนอื่น ๆ ของอิสราเอลในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าทาง MOSSAD ก็โต้ตอบเช่นกัน และการสังหารก็ยังดำเนินไปจนถึงปัจจุบัน
แต่เหตุการณ์โต้ตอบที่น่ากลัวที่สุด ก็คือแผนการสังหารนายกรัฐมนตรี Golda Meir เพราะในเมื่อเธอเป็นหัวหน้าของปฏิบัติการครั้งนี้ เธอก็สมควรจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต และที่เลวร้ายไปกว่านั้น แผนการนี้มีประเทศไทยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ในเดือนมกราคม 1973 Golda Meir มีแผนการที่จะเยือนวาติกันอย่างเป็นทางการ เพื่อที่จะเข้าพบองค์พระสันตะปาปา Paul ที่ 4 แต่แผนการนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับสูงสุด ซึ่งมีเพียงเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล และวาติกันบางคนเท่านั้นที่รู้ถึงการเยือนในครั้งนี้
2
นายกรัฐมนตรี Golda Meir มีแผนเดินทางไปยังวาติกัน เพื่อเข้าพบองค์พระสันตะปาปา Paul ที่ 4 อย่างเป็นทางการ (Source: https://collections.lib.uwm.edu)
แต่ก็เหมือนกับความลับส่วนใหญ่ในโลก สุดท้ายกลุ่ม PLO ก็รู้ถึงแผนการเดินทาง ว่ากันว่าคนที่ปล่อยข่าวเรื่องนี้น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของวาติกันที่เห็นใจชาวปาเลสไตน์ นี่ถือเป็นโอกาสทองที่กลุ่ม PLO จะได้สังหาร Golda Meir ผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง และผู้วางแผนสังหารก็คือ Ali Hassan Salameh หนึ่งในหัวหน้าของกลุ่ม Black September ฉายา “The Red Prince” ผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ที่มิวนิค และอยู่ในรายชื่อสังหารของปฏิบัติการ Wrath of God ด้วยนั่นเอง
4
และในเมื่อไหน ๆ จะสังหารนายกรัฐมนตรีแล้ว Salameh จึงคิดที่จะสังหารบรรดาคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโสต่าง ๆ ที่เดินทางมากับเธอในคราวเดียวเลย ซึ่งแผนการของเขาคือการยิงจรวด Missile ใส่เครื่องบินของคณะเดินทางอิสราเอล ในขณะที่เครื่องบินกำลังร่อนลงจอด
Ali Hassan Salameh ผู้กลายมาเป็นหัวหน้าหน่วย Black September หลังการเสียชีวิตของ Abu Youssef คือผู้อยู่เบื้องหลังแผนการสังหาร Golda Meir (Source: Wikipedia)
ดังนั้นอันดับแรกที่ต้องทำ คือนำจรวดและที่ยิงจรวดเข้ามาในกรุงโรม ประเทศอิตาลีให้ได้ก่อน ซึ่งจรวด Missile ไม่ใช่เป็นสิ่งของเล็ก ๆ ที่จะสามารถถือใส่กระเป๋าเดินทางข้ามประเทศมาได้ การลักลอบต้องกระทำอย่างระมัดระวังและเป็นมืออาชีพ ซึ่งจากเครือข่ายของ PLO ที่มีอยู่ทั่วโลก กลุ่ม Black September ก็สามารถลักลอบนำจรวด Missile เข้ามาได้ผ่านทางประเทศยูโกสลาเวีย โดยนำขึ้นเรือ มาขึ้นท่าที่เมือง Bari ประเทศอิตาลี แล้วค่อย ๆ ขนมาในรถบรรทุกยามค่ำคืนเข้ามาในกรุงโรม โดยหน่วยยิงจรวดนั้นจะมีหลายหน่วย กระจายไปตามที่ต่าง ๆ รอบ ๆ บริเวณสนามบิน
3
อันดับต่อมาคือทางหนีทีไล่ ซึ่ง Salameh ได้มีการเจรจากับสหภาพโซเวียตว่าจะขอใช้สหภาพโซเวียตเป็นที่ลี้ภัย เพราะหลังจากที่นายกรัฐมนตรีโดนสังหารแล้ว Salameh เชื่อว่าอิสราเอลจะตกอยู่ในภาวะสุญญากาศ และเกิดความสับสนในการบริหาร จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว Salameh จะสามารถลี้ภัยอยู่ในโซเวียตได้อย่างสบายอารมณ์
2
อันดับสุดท้ายคือการเบนความสนใจ และนี่เองที่ประเทศไทยเข้ามามีส่วนร่วม เพราะ Salameh เลือกที่จะปฏิบัติการก่อการร้ายที่สถานฑูตอิสราเอล ประจำประเทศไทยและนี่คือที่มาของเหตุการณ์ “ข้าวหมกไก่กู้ชาติ”
Golda Meir (ขวา) นกยารัฐมนตรี และ Moshe Dayan (ซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ในปี 1972 (Source: https://www.nli.org.il)
จบไปแล้วนะครับ สำหรับตอนที่ 1 ของปฏิบัติการ Wrath of God ในครั้งหน้าผมจะมาเล่าถึงเหตุการณ์ "ข้าวหมกไก้กู้ชาติ" ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินของ Golda Meir ที่เดินทางมายังกรุงโรม
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของมหากาพย์การตามล่า Salameh ศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล ซึ่งการตามล่าเขานั้นเกือบทำให้ปฏิบัติการ Wrath of God ถึงจุดจบเลยทีเดียว
สามารถติดตามอ่านตอนจบได้ที่นี่ครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา