18 มิ.ย. 2021 เวลา 16:28 • ประวัติศาสตร์
ภาพนี้มีเรื่องเล่า ตอน ปฏิบัติการลงทัณฑ์จากพระเจ้า และข้าวหมกไก่กู้ชาติ ตอนที่ 2 (จบ)
ไปต่อกันกับตอนที่ 2 กันเลยนะครับ มาดูกันว่าข้าวหมกไก่ สามารถทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานได้ยังไง
สามารถอ่านตอนที่ 1 ได้ที่
ข้าวหมกไก่กู้ชาติ
วันที่ 28 ธันวาคม 1972 วันมหามงคลของประชาชนชาวไทย เพราะวันนั้นเป็นวันที่ ร.9 ทรงพระราชทานตำแหน่ง มกุฎราชกุมารให้กับ ร.10 ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช วันนั้นถูกประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และเอกอัครราชฑูตจากทุกประเทศในประเทศไทย ต่างก็ไปร่วมพิธีการที่พระที่นั่งอนันตสมาคม รวมถึงเอกอัครราชฑูตอิสราเอลด้วย
2
เวลา 12.00 น. สมาชิกกลุ่ม Black September 4 คน บุกเข้าไปยังสถานฑูตอิสราเอลที่ย่านเพลินจิต และจับเจ้าหน้าที่ชาวยิวด้านในไว้ 6 คนเพื่อเป็นตัวประกัน โดยหนึ่งในนั้นคือเอกอัครราชฑูตอิสราเอล ประจำประเทศกัมพูชา โดยมีข้อเรียกร้องคืออิสราเอลต้องปล่อยตัวนักโทษ 35 คนที่ถูกกุมขังอยู่ในอิสราเอล และส่งร่างของผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์ 2 คนคืนกลับให้กับญาติของพวกเขา โดยขู่ว่าถ้าหากทางการของไทยบุกเข้ามา พวกของตนเองที่อยู่ด้านนอกจะทำการก่อวินาศกรรมทั่วกรุงเทพฯทันที
1
สถานฑูตอิสราเอล บริเวณย่านเพลินจิต (Source: https://www.thairath.co.th)
ตำรวจและหน่วย S.W.A.T ของไทย รีบเข้าล้อมรอบตัวอาคาร ในขณะนั้นนายกรัฐมนตรีของไทยคือจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งหลังจากได้มีการปรึกษาหารือกันได้มีการตั้งฐานปฏิบัติการชั่วคราวขึ้นที่โรงเรียนมาแตร์ เดอี และพยายามติดต่อกับรัฐบาลอิสราเอล ซึ่งก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่มิวนิค อิสราเอลปฏิเสธที่จะมีการเจรจากับผู้ก่อการร้าย และมอบหน้าที่การจัดการให้อยู่ในอำนาจของรัฐบาลไทย
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป เริ่มมีประชาชนมามุงล้อมสถานฑูตอิสราเอลเรื่อย ๆ มีนักข่าวมากมายมาทำข่าว รวมถึงชาวมุสลิมหลายคนที่มาสวดอ้อนวอนของให้กลุ่มก่อการร้ายวางอาวุธลง
1
ตำรวจและเหล่าประชาชน ที่มาล้อมสถานฑูตอิสราเอลไว้ (Source: https://www.silpa-mag.com)
เหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ที่มิวนิค รัฐบาลไทยรู้ถึงความผิดพลาดของเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างดี และมึความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก จอมพลถนอม จึงแต่งตั้งให้พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น พร้อมด้วยพลจัตวาชาติชาย ชุณหะวัน และเอกอัครราชฑูตอียิปต์เข้าไปเป็นผู้เจรจากับผู้ก่อการร้าย โดยพลอากาศเอกทวี จะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว
2
นี่เป็นครั้งแรกของโลก ที่ชาวอาหรับได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปสถานฑูตของอิสราเอล และจากบันทึกของพลอากาศเอกทวี ท่านได้บอกไว้ว่าผู้ก่อการร้ายนั้นสุภาพ และเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่ได้ก้าวร้าวรุนแรง ท่านได้พยายามเจรจาโดยบอกว่าท่านไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบในมิวนิคอีกในแผ่นดินไทยอีก เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ได้รู้ถึงความขัดแย้งของปาเลสไตน์และอิสราเอล ท่านยังได้กล่าวย้ำอีกว่าท่านเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่มิวนิคนั้น เกิดจากการทรยศของทางการเยอรมัน ที่เป็นผู้เปิดฉากยิงปืนใส่กลุ่มผู้ก่อการร้ายก่อน ทำให้เกิดการตอบโต้กันจนมีผู้เสียชีวิต
2
พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์, นายมุสตาฟา ฟันนี เอกอัครราชทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย และพลตรีชาติชาย ชุนหะวัณ ผู้เจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้าย Black September (Source: https://www.silpa-mag.com)
สุดท้ายหลังเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ทางกลุ่มผู้ก่อการร้ายก็ยอม โดยขอให้รัฐบาลไทยจัดเตรียมเครื่องบิน 1 ลำ เพื่อนำพวกเขาไปยังกรุงไคโร ประเทศอียิปต์
พลอากาศเอกทวีตกลงที่จะทำตามข้อขอร้องนั้น และถามผู้ก่อการร้ายว่าต้องการอะไรอีกหรือไม่ ซึ่งทางพวกเขาตอบกลับมาว่า “ขณะอยู่ที่กรุงเทพฯ พวกเราได้รับประทานข้าวหมกไก่แล้วอร่อยมาก” พลเอกทวีจึงกลับมาพร้อมกับข้าวหมกไก่ แถมชิมทุกห่อให้ทุกคนได้เห็นเลยว่าไม่ได้มีการผสมยาพิษแต่อย่างใด
รัฐบาลไทยจัดรถบัส เพื่อนำผู้ก่อการร้ายเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง (Source: https://www.bangkokpost.com)
เรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นเมื่อกลิ่นอันหอมหวนของข้าวหมกไก่ ลอยขึ้นไปยังชั้นสอง แตะจมูกของผู้ก่อการร้ายที่กำลังคุมตัวประกันอยู่ เขาชะโงกหน้าออกมาพร้อมกับบอกว่า “กลิ่นหอมจัง อยากทานบ้าง” ในขณะที่เขากำลังชะโงกตัวอยู่นั้นเอง ระเบิดมือที่อยู่ในกระเป๋านั้นดันตกลงมา กระแทกพื้นอย่างแรง แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีการระเบิดอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะต้องจบลงเหมือนกับที่เกิดขึ้นในมิวนิคก็เป็นได้
8
จากนั้นทั้งหมดเดินทางไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทยเพื่อเดินทางไปยังกรุงไคโร โดยมีพลเอกทวี พลจัตวาชาติชาย และเอกอัครราชฑูตของอียิปต์เดินทางไปเป็นตัวประกันด้วย มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินบางคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ปลอมตัวมาและซุกซ่อนอาวุธไว้ เรื่องที่น่าสนใจคือพนักงานบางคนจงใจให้ผู้ก่อการร้ายเห็นอาวุธของตนเอง เพื่อให้เกิดการปลดอาวุธขึ้น จากนั้นค่อยไปนำอาวุธที่ซุกซ่อนไว้บนเครื่องที่อื่น มาไว้กับตัวอีกทีหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก
1
เครื่องบินแบบ DC-8 ของสายการบินไทย ที่นำผู้ก่อการร้ายทั้ง 4 และตัวประกันมุ่งหน้าสู่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ (Source: https://www.travelcodex.com)
หลังจากทะยานขึ้นจากสนามบินดอนเมืองเครื่องบินมุ่งหน้าผ่านเข้าสู่น่านฟ้าประเทศเมียนมาร์ เมื่อเดินทางมาเหนือเมืองย่างกุ้ง ปรากฏว่าทางการเมียนม่าร์ ไม่อนุญาตให้เครื่องบินบินผ่านน่านฟ้า จนกระทั่งพลอากาศเอกทวีต้องขอพูดวิทยุกับหอบังคับการบินเอง โดยท่านกล่าวว่า "ท่านคือพลอากาศเอกทวี และมีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านน่านฟ้า เนื่องจากมีภารกิจด่วน ขอให้เอาข้อความไปบอก ฯพณฯ เนวินด้วย" ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ทางการเมียนม่าร์ก็อนุญาตให้เครื่องบินบินต่อไปได้
จากนั้นเครื่องบินแวะลงจอดที่สนามบินการาจี ประเทศปากีสถาน เพื่อเติมน้ำมัน ตอนนั้นพลอากาศเอกทวีเดินลงมาจากเครื่องบิน ทำเจ้าหน้าที่คิดว่าท่านคือหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้าย ท่านจึงต้องไปเรียกหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายมารายงานตัว ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่ของปากีสถานมาก เพราะพวกเขาไม่คิดว่าตัวประกัน และกลุ่มก่อการร้าย จะเดินทางในบรรยากาศสบาย ๆ แบบนี้
1
ข่าวการบุกสถานฑูตอิสราเอล ของกลุ่มก่อการร้าย Black September ในประเทศไทย (Source: https://www.thairath.co.th)
ว่ากันว่า บรรยากาศบนเครื่องเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย มีการเล่นไพ่ ทานอาหาร ดื่มเหล้ากันอย่างสนุกสนาน พลอากาศเอกทวีถึงขนาดซื้อน้ำหอมแจกผู้ก่อการร้ายเพื่อนำไปมอบให้กับแฟนของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ และท่านยังไม่ลืมที่จะสเกชภาพคนร้ายทั้ง 4 ตอนที่พวกเขาหลับเก็บไว้ด้วย และเมื่อเดินทางถึงอียิปต์ ภารกิจทุกอย่างก็จบลงอย่างสวยงาม โดยผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งได้มอบปืนให้กับพลอากาศเอกทวีไว้เป็นที่ระลึกด้วย
3
ภาพสเกชของคนร้ายทั้งสี่ ที่พลอากาศเอกทวีได้ทำการสเกชเอาไว้ (Source: https://www.silpa-mag.com)
ในตอนนั้นทั่วโลกต่างชื่นชมฝีมือของรัฐบาลไทย ว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงนายกรัฐมนตรี Golda Meir ด้วย และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีเช่นกัน เนื่องจากไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย ส่วนพลเอกทวีก็ได้รับการต้อนรับกลับประเทศราวกับเป็นวีรบุรุษ
1
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดอย่างนั้น Zvi Zamir หัวหน้าของ MOSSAD มองว่าผู้ก่อการร้ายกลุ่ม Black September ยอมอ่อนข้อง่ายเกินไป เพราะถ้าเทียบกับมิวนิค ถือว่าพวกเขา “ยอม” ที่จะถอยโดยง่าย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีการตอบโต้อะไรด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำยังทิ้งตัวประกันทั้ง 6 คนไว้ที่ประเทศไทยอีกต่างหาก ดังนั้น Zamir จึงเชื่อว่า ทางกลุ่ม Black September ต้องการให้การจับตัวประกันในครั้งนี้เป็นเพียงการเบนความสนใจเท่านั้น
2
และ Zamir ก็คิดถูก ในขณะที่นักข่าวทั่วโลกต่างกำลังทำข่าวของกลุ่ม Black September ที่ประเทศไทย และรัฐบาลอิสราเอลกำลังโฟกัสกองกำลังและวางแผนกลยุทธ์ เพื่อป้องกันสถานฑูตในดินแดนแถบเอเชียอยู่ Salameh ก็กำลังวางแผนอย่างหนัก เพื่อจะให้ปฏิบัติการสังหาร Golda Meir ของพวกเขาสำเร็จ
1
พลเอกทวี จุลละทรัพย์ ได้รับการต้อนรับกลับไทย อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง (Source: https://mgronline.com)
วันที่ 14 มกราคม 1973 มีสายข่าวของ MOSSAD ในกรุงโรมรายงานมาว่าเขาได้ทำการดักฟังโทรศัพท์ แล้วได้ยินการสนทนาในภาษาอารบิคว่า “Time to deliver the birthday candles for the celebration : ถึงเวลาที่จะจุดเทียนวันเกิดเพื่อการเฉลิมฉลองแล้วหละ” ซึ่ง Zamir เดาได้ทันทีว่าคำว่า “เทียนวันเกิด” น่าจะหมายถึงอาวุธที่จำพวกจรวด และเริ่มที่จะเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติม จนสุดท้าย MOSSAD จึงตั้งสมมุติฐานว่ากลุ่ม Black September ต้องการที่จะยิงเครื่องบินของ Golda Meir ที่กำลังจะเดินทางมากรุงโรมแน่นอน
2
MOSSAD ส่งหน่วยสังหาร และทีมเข้าไปประจำที่กรุงโรมทันที พร้อมกับประสานงานกับหน่วย DIGOS ซึ่งเป็นหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศอิตาลี เริ่มจากการที่ทั้งสองร่วมมือกันส่งทีมเข้าไปตรวจสอบอพาร์ทเมนท์ที่โทรศัพท์ถูกดักฟัง และพบคู่มือการใช้ที่ปล่อยจรวดเป็นภาษารัสเซียอยู่ ดูเหมือนว่าการคาดเดาของ Zamir น่าจะมีความเป็นไปได้สูงมาก จากนั้นทั้งสองจึงส่งทีมบุกเข้าไปยังอาคารสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งกบดานของกลุ่ม PLO และ Black September แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรเป็นพิเศษ
หน่วยงาน DIGOS หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของประเทศอิตาลี (Source: bbc.com)
ในขณะที่ DIGOS และ MOSSAD กำลังบุกเข้าไปในตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาเบาะแสที่อาจจะนำไปสู่แผนการสังหาร เครื่องบินของ Golda Meir และคณะรัฐมนตรีของเธอ ก็ทะยานขึ้นจากสนามบินในอิสราเอล ไม่มีเวลาในการค้นหาเบาะแสอีกแล้ว ดังนั้นประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินของ Meir จะลงจอด หน่วยงานทั้งสองจึงตัดสินใจวางกำลังพลไว้รอบ ๆ สนามบิน Fiumicino ของกรุงโรม
และแล้วทีมงานของ MOSSAD ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อมีมือสังหารสังเกตุเห็นรถเฟียตคันหนึ่ง จอดอยู่ในแนวร่อนของเครื่องบินอย่างน่าสงสัย ทางทีมของ MOSSAD เตรียมการเข้าล้อมรถคันนั้นทันที และสั่งให้คนที่อยู่ในรถก้าวออกมา พร้อม ๆ กับขยับเข้าไปใกล้รถคันนั้นเรื่อย ๆ
Golda Meir (ซ้ายสุด) และคณะรัฐมนตรีของเธอ เป้าหมายในการสังหาร (Source: https://www.wikiwand.com)
ทันทีที่เข้าไปใกล้ได้ระยะหนึ่ง ประตูหลังของรถเฟียตถูกผลักเปิดออกอย่างแรง พร้อมทั้งเสียงปืนที่ยิงสวนออกมาจากรถตู้อย่างบ้าคลั่ง โชคดีที่เจ้าหน้าที่ของ MOSSAD ได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว จึงสามารถหลบกระสุนเหล่านั้นได้ และสามารถสังหารมือปืน 2 คนเสียชีวิตคาที่ทันที ส่วนคนขับรถนั้นพยายามหนี โดยเขาได้วิ่งไปยังถนน และพยายามจี้รถของคนขับคนหนึ่งที่เผอิญขับรถผ่านมา แต่เคราะห์ร้ายที่คนขับรถคนนั้น ดันเป็นเจ้าหน้าที่ของ MOSSAD ที่กำลังลาดตระเวนอยู่ คนขับรถชาวปาเลสไตน์คนนั้นเลยไม่มีทางรอด
2
และโชคดีที่ MOSSAD สามารถจับเข้าได้ เพราะหลังจากที่ชายคนนั้นถูกคุมตัวมาที่รถบรรทุกที่ใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการของ MOSSAD ทางเจ้าหน้าที่พยายามรีดเค้นให้เขาสารภาพว่ายังมีทีมปล่อย Missile ทีมอื่นอีกหรือไม่ และหลังจากการโดนทรมานอย่างสาหัส ที่ตั้งของที่ปล่อย Missile แห่งที่สองก็ถูกเปิดเผยออกมา
1
รถบรรทุกของ MOSSAD รีบเดินทางไปยังจุดหมายทันที เพราะตอนนี้เครื่องบินของ Meir กำลังเริ่มลดระดับเพื่อทำการลงจอดที่ท่าอากาศยานกรุงโรมแล้ว ทันใดนั้น รถตู้คันหนึ่งปรากฏโฉมขึ้น พร้อมกับมี Missile โผล่ออกมาจากตัวหลังคา
2
คนขับรถบรรทุกของ MOSSAD ตัดสินใจเหยียบคันเร่งพุ่งชนรถตู้คันนั้นทันที แรงกระแทกส่งผลให้รถตู้คันนั้นพลิกตะแคง พร้อมทั้งกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งสามที่ติดอยู่ในซากรถและหมดสติจากแรงกระแทก
นายกรัฐมนตรี Golda Meir เข้าพบกับองค์พระสันตะปาปา Paul ที่ 4 (Source: https://catalog.archives.gov.il)
ตอนแรก MOSSAD ตั้งใจจะสังหารผู้ก่อการร้ายทั้งสาม แต่ Zamir ตัดสินใจ ยกเลิกปฏิบัติการนั้น เพราะการมาเยือนของ Golda Meir ไม่ควรจะมีใครต้องเสียชีวิต เพราะจะกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีได้ ดังนั้นผู้ก่อการร้ายทั้งสามจึงถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล และสุดท้ายก็ได้รับปล่อยตัวไปยังประเทศลิเบีย
2
การเยือนนครวาติกันดำเนินต่อไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็ราบรื่นดี และจากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เองทำให้สายการบิน El Al สายการบินแห่งชาติของอิสราเอล เป็นสายการบินพลเรือนสายแรกของโลกที่มีการติดตั้งระบบ Anti-Missile เทคโนโลยีราคาสูงที่จะมีในเครื่องบินทหารเท่านั้น
3
สายการบิน El Al สายการบินพลเรือนสายแรกของโลกที่มีการติดตั้งระบบ Anti-Missile (Source: El Al)
สังหารต่อเนื่อง
หลังปฏิบัติการ Spring of Youth ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ทาง MOSSAD ก็ดำเนินการสังหารบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง
บุคคลที่มาแทนที่คนที่โดนสังหารไปแล้ว อย่างตัวแทนของกลุ่ม PLO ในไซปรัส กรีซ ฝรั่งเศส และอิตาลี ก็โดนสังหารทั้งหมด หลายคนถูกยิงเสียชีวิตคาที่ และหลายคนเสียชีวิตโดยระเบิดที่ฝังอยู่ในเบาะรถยนต์ ที่จะระเบิดทันทีเมื่อมีการนั่งทับ โดยตั้งแต่เดือนธันวาคม 1979 จนถึง กุมภาพันธ์ 1988 มีสมาชิกของกลุ่ม PLO เสียชีวิตไปประมาณ 12 คน
4
นอกจากนี้ยังมีการสังหารสมาชิกกลุ่ม PLO อีกมายมาย ที่ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของ MOSSAD หรือเป็นฝีมือของกลุ่มย่อยใน PLO ที่เกิดการขัดขากันเอง และบุคคลล่าสุดที่โดนสังหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการก่อการร้ายที่มิวนิคคือ Abu Jihad 16 ปีหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
2
Abu Jihad บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สังหารหมู่ที่มิวนิคที่โดนสังหารในปี 1988 (Source: Pinterest)
การเสียชีวิตในที่พักอาศัย หรือในรถยนต์ส่วนตัวของเหล่าบรรดาสมาชิกกลุม PLO ก่อให้เกิดความหวดผวาเป็นอย่างมาก นี่คือหนึ่งในกลยุทธ์ทางจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่งที่ MOSSAD นำมาใช้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถเจาะและรู้ถึงข้อมูลทุกอย่างของเป้าหมายได้ และแม้แต่บ้าน หรือรถยนต์ของพวกเขาก็ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป
2
ในปัจจุบันก็ยังมีการสังหารจากกลุ่ม MOSSAD อยู่ ภาพด้านบนเป็น Car Bomb ที่เกิดขึ้นในเบรุต ซึ่งเชื่อว่าเป้นฝีมือของเจ้าหน้าที่ MOSSAD (Source:
นอกจากนี้ยังมีการส่งจดหมายระเบิด (Letter Bomb) ไปยังเป้าหมายรายย่อย ซึ่งระเบิดประเภทนี้จะไม่ทำให้เป้าหมายเสียชีวิต แต่อาจจะได้รับบาดเจ็บจนต้องเสียแขน ขา หรือกลายเป็นคนตาบอด และยังมีการส่งข้อมูลส่วนตัวและการเคลื่อนไหวแบบละเอียดยิบให้เจ้าตัวได้รับรู้ เพื่อให้เป้าหมายรู้ว่ามีคนจับตาดูอยู่ตลอดเวลา
การสังหารที่เกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ แบบนี้ แม้ว่าจะจิตใจเข้มแข็งขนาดไหน ก็ย่อมต้องเกิดความเครียดเป็นธรรมดา ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในเป้าหมายของปฏิบัติการ Wrath of God ทำให้ศัตรูกลัวว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไปหรือไม่
ตัวอย่างการทำงานของ MOSSAD ในภาพนักเทนนิสสองคนคือเจ้าหน้าที่ MOSSAD ที่ปลอมตัวมาเพื่อดูว่าเป้าหมาย พักอยู่ห้องไหน (Source: https://www.spiegel.de)
พลาดท่า
แต่คนที่ MOSSAD ต้องการตัวมากที่สุดคือ Ali Hassen Salameh เจ้าของฉายา “The Red Prince” ตัวการหลัก ผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารที่มิวนิค และการสังหารนายกรัฐมนตรี Golda Meir ที่กรุงโรม
1
MOSSAD ใช้เวลาเกือบ 1 ปีเต็มในการตามล่าหาตัว Salameh จนสุดท้ายก็สามารถสืบหาตัวได้ว่า Salameh อยู่ที่เมือง Lillehamer ประเทศนอร์เวย์
2
เหตุการณ์ที่ Lillehammer ประเทศนอร์เวย์ (Source: http://voyagerfilmproductions.com)
ทีมของ MOSSAD ตัดสินใจสะกดรอยตามสมาชิกของ Black September คนหนึ่ง และพบว่าเขาได้เข้าไปคุยกับชายคนหนึ่งที่มีลักษณะท่าทางตรงกับ Salameh พอดี จากนั้นการสะกดรอยตาม Salameh จึงเริ่มต้นขึ้น
คืนหนึ่งในเดือนกรกฎาคม 1973 เจ้าหน้าที่ MOSSAD สะกดรอยตาม Salameh และภรรยาชาวนอร์เวย์ของเขาออกมาจากโรงภาพยนตร์ และเมื่อทั้งสองขับรถถึงบ้าน และก้าวลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ MOSSAD เปิดฉากยิงทันที ภรรยาของ Salameh ที่ตอนนั้นตั้งท้องได้ 7 เดือนได้แต่ตะโกนจนล้มลงหมดสติไป ในขณะที่ Salameh โดนยิงเสียชีวิตคาที่
ภาพจำลองเหตุการณ์ที่ Lillehammer (Source: https://www.gd.no)
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ MOSSAD พลาด เพราะคนที่เสียชีวิตดันไม่ใช่ Salameh แต่กลายเป็น Ahmed ฺBouchiki บริกรชาวโมร๊อคโคที่เผอิญหน้าตาเหมือน Salameh และไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดกับกลุ่ม Black September เลย พูดง่าย ๆ ก็คือ MOSSAD ยิงผิดคนนั่นเอง
Ahmed ฺBouchiki บริกรชาวโมร๊อคโคที่เผอิญหน้าตาเหมือน Salameh (Source: https://factrepublic.com)
ซ้ำร้ายสมาชิกกลุ่มสังหาร 6 คนยังโดนตำรวจนอร์เวย์รวบตัว ตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา และต้องถูกจำคุก ในขณะที่คนที่เหลือสามารถหลบหนีการจับกุมกลับไปยังอิสราเอลได้ ในเวลาต่อมาหลังการเจรจาระหว่างอิสราเอลและนอร์เวย์ ทั้ง 6 คนเดินทางกลับไปยังอิสราเอล ว่ากันว่าสาเหตุของการยิงผิดตัวในครั้งนี้ เป็นแผนซ้อนแผนของ Salameh ที่จงใจหลอกให้ MOSSAD เข้าใจผิด ซึ่งทำให้มีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต้องมาเสียชีวิต และตัวเขาก็สามารถรอดจากการลอบสังหารครั้งแรกไปได้
1
เจ้าหน้าที่ MOSSAD 6 คน โดนตำรวจนอร์เวย์รวบตัว (Source: https://www.adressa.no)
ในเดือนมกราคม 1974 สายข่าวของ MOSSAD ได้รับแจ้งอีกครั้งว่า Salameh พำนักอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ และกำลังจะเข้าพบกับสมาชิกกลุ่ม PLO ในวันที่ 12 มกราคม ณ โบสถ์แห่งหนึ่ง โอกาสในการสังหารศัตรูคู่อริได้มาถึงอีกครั้ง และครั้งนี้ MOSSAD ส่งมือสังหาร 2 คนเข้าไปในโบสถ์ และพวกเขาพบกับชาวอาหรับ 3 คน กำลังยืนคุยกันอยู่อย่างมีพิรุธ
ในขณะที่มือสังหารทั้งสองกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ หนึ่งในชาวอาหรับล้วงมือเข้าไปหยิบอาวุธ ทำให้มือสังหารทั้งสองยิงปืนสวนออกไปอย่างไม่ลังเล และผลก็คือทั้งสาม ถูกยิงเสียชีวิตคาที่ แต่เมื่อเข้าไปดูร่างผู้เสียชีวิต ปรากฏว่าไม่มีร่างของ Salameh อยู่ และแม้ทั้งสองจะพยายามค้นหาทุกซอกทุกมุมของโบสถ์แล้ว ก็ไม่พบวี่แววของ Salameh มาถึงตรงนี้ ทางหัวหน้าของปฏิบัติการ Wrath of God ได้สั่งการให้ยกเลิกการค้นหา Salameh นับตั้งแต่ตอนนั้น
อย่างไรก็ตามราวกับหนังแอ๊คชั่นฮอลลีวู้ด เจ้าหน้าที่ MOSSAD บางคนตัดสินใจที่จะตามล่าหาตัว Salameh ต่อไป พวกเขายอมไม่ได้ที่จะให้คนที่อยู่เบื้องหลังคนที่สังหารเพื่อนร่วมชาติของเขา และตัวการที่ทำให้เกิดปฏิบัติการนี้ตั้งแต่แรก ลอยนวลไปง่าย ๆ และโชคก็เข้าข้างอีกครั้งเมื่อมีหน่วยข่าวกรองรายงานว่าพบ Salameh ที่เมือง Tarifa ในประเทศสเปน
เมื่อง Tarifa ประเทศสเปน (Source: https://www.theglobetrottingteacher.com)
มือสังหาร 3 คนเขยิบเข้าล้อมบ้านที่คาดว่า Salameh อยู่ แต่โชคร้ายที่มียามชาวอาหรับเห็นพวกเขาก่อน พร้อมกับยกปืนไรเฟิลเล็งที่พวกเขา แน่นอนเจ้าหน้าที่ MOSSAD ยิงสวนออกไปทันที ความวุ่นวายเกิดขึ้น และทั้งหมดตัดสินใจยกเลิกภารกิจ ทำให้ภารกิจตามล่าหาตัว Salameh ทั้งสามครั้งล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
1
อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ที่ Lillehammer ประเทศนอร์เวย์ ปฏิบัติการ Wrath of God เริ่มถูกเปิดโปง นานาชาติเริ่มไม่พอใจกับอิสราเอล ส่วนนายกรัฐมนตรี Golda Meir ก็ถูกกดดันอย่างหนัก ประกอบกับตอนที่โดนตำรวจนอร์เวย์สอบสวน เจ้าหน้าที่ของ MOSSAD ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของปฏิบัติการ สถานที่ซ่อนตัว และเครื่อข่ายของเจ้าหน้าที่ MOSSAD ในยุโรปไปค่อนข้างมาก ทำให้สุดท้าย Golda Meir ต้องประกาศยุติปฏิบัติการ ดูเหมือนว่าการลงทัณฑ์คงจะต้องมาถึงตอนจบซะแล้ว
Michale Harari หัวหน้าทีมปฏิบัติการของ MOSSAD ที่ Lillehammer (Source: https://israeled.org)
ตามล่าสุดฟ้า
แต่การที่นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งยกเลิกปฏิบัติการ ไม่ได้หมายความว่านายกรัฐมนตรีที่รับช่วงต่อจากเธอจะไม่สามารถฟื้นปฏิบัติการขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน นายกรัฐมนตรี Menachem Begin ก็สั่งให้ปฏิบัติการ Wrath of God ดำเนินต่อไปทันที เพื่อจัดการกับคนที่ยังอยู่ในบัญชีสังหารให้เกลี้ยง และคนที่เป็นที่ต้องการตัวเป็นอันดับหนึ่ง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Ali Hassen Salameh
Ali Hassen Salameh บุคคลที่ MOSSAD ต้องการตัวมากที่สุด (Source: https://contentsales.aljazeera.net)
หลังจากการตามหามานาน ในที่สุด ในปี 1978 หน่วยข่าวกรองก็สามารถตามตัว Salameh พบ ที่กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้น MOSSAD ส่งสายลับหญิงผมบลอนด์คนหนึ่ง โดยใช้หนังสือเดินทางอังกฤษเข้ามายังเลบานอนเพื่อมาเฝ้าสังเกตุการณ์เคลื่อนไหวของ Salameh ที่ต้องส่งคนผมบลอนด์มานั้นเป็นเพราะว่า Salameh ขึ้นชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจและชอบผู้หญิงผลบลอนด์เป็นพิเศษ ขนาดว่าเขาได้แต่งงานกับ Miss Universe 1971 ซึ่งเป็นชาวเลบานอนนามว่า Georgina Rizk ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก แต่มักจะมีคนพบเขาสุงสิงอยู่กับสาว ๆ ไม่ซ้ำหน้าที่ชายหาดของเลบานอนในวันหยุดเป็นประจำ
Ali Hassen Salameh และภรรยา Georgina Rizk ซึ่งได้รับตำแหน่ง Miss Universe ปี 1971 (Source: https://www.the961.com)
สายลับสาวเริ่มยั่วยวน Salameh และไม่นานเขาก็ติดกับ เธอกับเขามักจะใช้เวลาด้วยกัน ซึ่งเธอจะใช้ช่วงเวลานี้สังเกตนิสัย พฤติกรรม รวมถึงการเคลื่อนไหวของเขา และเธอพบว่า ในทุก ๆ วัน Salameh จะใช้ถนนเส้นเดิมในการสัญจร ซึ่งถนนเส้นนั้นมีชื่อว่า Rue Verdun
เธอทำการเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่บริเวณถนนเส้นนั้น ที่ที่เธอจะสามารถมองเห็นเวลา Salameh เดินทางสัญจรไปมาได้ จากนั้นอีกไม่นานมีเจ้าหน้าที่ MOSSAD อีก 2 คนเดินทางเข้ามาสมทบเธอ แผนการสังหาร Salameh จึงถูกวางแผนขึ้น
ไม่นานนักทั้งสามนำระเบิดไปใส่ไว้ในรถ Volkswagen คันหนึ่ง และนำไปจอดไว้ตรงบริเวณที่รถของ Salameh จะขับผ่าน จากนั้นสิ่งที่ทั้งสามทำคือรอ รอ และรอ
วันที่ 22 มกราคม 1979 เวลา 15.30 น. รถยนต์ Chevrolet คันโตคันหนึ่งขับลงมาตามถนน ภายในมี Salameh และบอดี้การ์ดอีกสี่คนนั่งอยู่ในรถ เมื่อรถ Chevrolet ขับผ่านรถ Volkswagen ที่มีระเบิดอยู่ เจ้าหน้าที่ MOSSAD กดรีโมทเพื่อจุดระเบิดทันที ความรุนแรงของระเบิดฉีกรถยนต์ Volkswagen ออกเป็นชิ้น ๆ และอัดกระแทกรถ Chevrolet ของ Salameh อย่างรุนแรง ทำให้ผู้โดยสารทุกคนเสียชีวิตทันที ในที่สุดหลังการพยายามหลายต่อหลายครั้ง Salameh ก็โดนสังหารจนได้
3
สภาพรถ Chevrolet ของ Salameh ที่โดนระเบิด (Source: https://www.nzherald.co.nz)
แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ MOSSAD ไม่สามารถควบคุมได้คือผู้บริสุทธิ์ที่อาจจะเข้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ตอนที่รถของ Salameh ขับผ่าน และแรงระเบิดมหาศาลในครั้งนี้ก็ส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตไป 4 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นนักศึกษาจากประเทศอังกฤษ และบาดเจ็บอีก 18 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ MOSSAD ทั้งสาม และทีมที่เกี่ยวข้องก็หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ร่องรอย
2
ภาพข่าวของเหตุการณ์หลังจากการวางระเบิดรถของ Salameh ที่กรุงเบรุต
กลุ่มก่อการร้าย 3 คน
จำได้มั้ยว่า ยังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายอีก 3 คนที่รอดจากเหตุการณ์ชิงตัวประกันที่มิวนิค และหลังจากการจี้เครื่องบินสายการบิน Lufthansa ทั้ง 3 ก็ได้รับการปล่อยตัวไปยังประเทศลิเบีย แน่นอนว่าอิสราเอลย่อมไม่ปล่อย 3 คนนี้ลอยนวลไปได้อย่างแน่นอน
ผู้ก่อการร้ายทั้งสาม ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่มิวนิค (Source: https://24.hu)
จริง ๆ แล้วเรื่องราวของทั้งสามคนนี้ค่อนข้างสับสน และในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดนัก ว่ากันว่า 2 จาก 3 คนคือ Adnan Al-Gashey และ Mohammed Safady โดนสังหารโดยกลุ่ม MOSSAD แต่ก็มีรายงานที่เห็นว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เพราะยังมีการติดต่อกับญาติสนิทอยู่บ้าง
แต่ที่แน่ ๆ คือผู้ก่อการร้ายรายที่ 3 Jamal Al-Gashey ซึ่งหลบหนีอยู่ในแอฟริกาเหนือ โดยคาดการณ์กันว่าที่พำนักล่าสุดของเขาคือที่ประเทศตูนิเซีย มีคนพบเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายในปี 1999 ในตอนที่เขาให้สัมภาษณ์กับผู้กำกับสารคดีเรื่อง One Day in September ซึ่งเป็นสารคดีเกี่ยวกับการสังหารหมู่ในครั้งนี้
Jamal Al-Gashey หนึ่งในผู้ก่อการร้ายในการสังหารหมู่ที่มิวนิค ที่ไม่ถูกสังหารโดย MOSSAD (Source: https://historica.fandom.com)
ผลตอบรับ
การสังหารช่วงแรก ๆ ในปี 1972-1973 สร้างความตกตะลึงให้กับชาติอาหรับอื่น ๆ เป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ช๊อคชาติอาหรับมากที่สุด เห็นจะเป็นปฏิบัติการ Spring of Youth ที่เลบานอน เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า MOSSAD จะสามารถเจาะเข้ามาถึงฐานที่มั่นของ PLO ได้ลึกขนาดนี้ เพราะส่วนมากปฏิบัติการของ MOSSAD จะอยู่ในทวีปยุโรป ที่กลุ่ม PLO ไม่ได้มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาแบบในเลบานอน มิหนำซ้ำในตอนนั้น Yasser Arafat และหัวหน้าคนอื่น ๆ ของกลุ่ม PLO รวมถึง Salameh ก็อยู่ในบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ทุกคนรู้สึกว่ากลุ่ม MOSSAD สามารถโจมตีที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ และพวกเขาคอยติดตามความเคลื่อนไหวของสมาชิกกลุ่มอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ชาติอาหรับที่ไม่ใช่ชาติที่หัวรุนแรงบางประเทศก็เริ่มที่จะกดดันกลุ่ม PLO ให้หยุดปฏิบัติการโจมตีชาวอิสราเอล และจะหยุดการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ถ้ามีการใช้หนังสือเดินทางของพวกเขาในการปฏิบัติการต่าง ๆ
Yasser Arafat หัวหน้าของกลุ่ม PLO ที่อยู่ในบริเวณที่หน่วย MOSSAD เข้าบุกสังหารที่ปฏิบัติการ Sprint of Youth (Source: brittanica)
แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ
จริง ๆ แล้วมีการวิพากย์วิจารย์กันไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าบุคคลที่โดนสังหารโดยกลุ่ม MOSSAD นั้น จริง ๆ แล้ว หลายคนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่มิวนิค และเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ปลายแถวของกลุ่ม PLO เท่านั้น แต่ข้อมูลเหล่านี้ ก็ไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
1
หนึ่งในผู้วางแผนการสังหารหมู่ที่มิวนิคที่มีชื่อว่า Abu Daoud กล่าวไว้ในปี 2005 ว่า MOSSAD รู้ดีว่าตัวเขาพำนักอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถสังหารเขาได้ ส่วน Zamir หัวหน้าคนหนึ่งของกลุ่ม MOSSAD กล่าวตอบโต้ว่า เป้าหมายจริง ๆ ของปฏิบัติการนี้คือการทำลายฐานและเครือข่ายปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้าย PLO ในทวีปยุโรป ไม่ได้เจาะจงไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง
Abu Daoud หนึ่งในผู้วางแผนการสังหารหมู่ที่มิวนิค ที่ยังให้สัมภาษณ์กับสื่อในปี 2005 (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) (Source: reuters)
แต่ที่แน่ ๆ คือการที่อิสราเอลหมกมุ่นและทุ่มเททรัพยากรต่าง ๆ อยู่กับปฏิบัติการ Wrath of God ทำให้ทางหน่วยข่าวกรอง และกองกำลังของอิสราเอล พลาดท่าการโจมตีอย่างกะทันหันของอียิปต์ในสงครามที่มีชื่อว่า Yom Kippur ซึ่งเป็นสงครามที่อียิปต์บุกอิสราเอลเพื่อที่จะทวงคืนพื้นที่ในคาบสมุทรไซนาย
สงคราม Yom Kippur ที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 1973 เป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวของกองกำลังผสมของชาติอาหรับ ที่มีต่ออิสราเอล (Source: Wikipedia)
บทสรุป
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Operation Wrath of God: ปฏิบัติการการลงทัณฑ์จากพระเจ้า ถามว่าในปัจจุบันปฏิบัติการนี้ยังมีอยู่อีกมั้ย แน่นอนว่าทางการอิสราเอล คงจะต้องให้การปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม MOSSAD ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ และตราบใดที่สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิสราเอล และชาติอาหรับโดยเฉพาะปาเลสไตน์ยังไม่หมดไป เราก็คงไม่สามารถบอกได้ 100% ว่าปฏิบัติการนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วจริง ๆ
บางทีปฏิบัติการ Wrath of God อาจจะถูกเปลี่ยนชื่อ หรือเป้าหมายอาจจะถูกเปลี่ยนไปแล้ว เพราะว่าในตอนนี้หลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มิวนิคก็เสียชีวิตไปหมดแล้วก็เป็นได้
2
แต่สิ่งที่แน่นอนคือนายกรัฐมนตรี Golda Meir ได้รักษาคำสัญญาที่เธอให้ไว้กับแม่ม่ายทั้ง 7 คน และเด็กกำพร้าทั้ง 14 คน ว่าการตายของสามีและพ่อของพวกเขาจะต้องไม่สูญเปล่า และเป้าหมายสูงสุดที่เธอบอกว่าต้องการให้ปฏิบัติการ Wrath of God ในครั้งนี้ลดการก่อการร้ายที่กระทำต่อชาวยิว ก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ เพราะเราแทบจะไม่เคยได้ยินข่าวการก่อการร้ายกับชาวยิว ที่เกิดขึ้นนอกดินแดนของประเทศอิสราเอลอีกเลย
2
ถ้าใครอยากดูเรื่องของปฏิบัติการ Wrath of God ขอแนะนำให้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง Munich ที่ออกฉายเมื่อปี 2005 นะครับ กำกับโดยผู้กำกับรางวัล Oscar อย่าง Steven Spielberg ยอมรับว่าตอนดูครั้งแรกสมัยยังเด็กอยู่ ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากนัก แต่พอได้มาศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้เข้าจริง ๆ เรารู้เลยว่าหนังทำออกมาได้ดีมาก โดยหนังจะโฟกัสที่เรื่องราวของเจ้าหน้าที่ MOSSAD คนหนึ่งที่ต้องปฏิบัติการสังหารคนตามรายชื่อ และผลกระทบที่มีต่อจิตใจของเขา
2
โปสเตอร์ของภาพยนต์เรื่อง Munich (Source: Pinterest)
ครั้งหน้า Kang's Journal จะพาไปพบกับเหตุการณ์อะไร หรือชีวิตของบุคคลที่น่าสนใจคนไหนอีก ฝากติดตามด้วยนะครับ :)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา