1 ก.ค. 2021 เวลา 17:57 • ประวัติศาสตร์
• คำสาปต่อราชวงศ์กริมัลดีแห่งโมนาโก
ราชวงศ์กริมัลดี แม้จะไม่โด่งดังเช่นราชวงศ์อังกฤษ แถมยังปกครองนครรัฐเล็ก ๆ ที่เรียกว่าโมนาโก แต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ที่จะมองข้ามไปได้ เพราะโมนาโกอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ดังนั้นราชวงศ์กริมัลดีจึงติดอันดับราชวงศ์ที่มั่งคั่งที่สุดของโลกเช่นเดียวกัน
2
ที่ผ่านมา ราชวงศ์กริมัลดีแห่งโมนาโกเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวมากที่สุดราชวงศ์หนึ่งในยุโรป ทั้งการเสียชีวิตของเกรซ เคลลี่ และปัญหาเรื่องชีวิตคู่ของลูก ๆ ของเธอ ซึ่งมีตำนานกล่าวขานกันว่าเป็นผลมาจากคำสาปที่ต้นตระกูลสร้างบาปเป็นมรดกตกทอดมาสู่คนในราชวงศ์รุ่นต่อ ๆ มา
ตราประจำราชวงศ์กริมัลดี (Image: Wikipedia)
• จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
ต้นตระกูลกริมัลดี (Grimaldi) มาจากเมืองเจนัวในคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่ทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งในเมืองนี้ ซึ่งต่อมาได้มาปกครองโมนาโกและก่อตั้งราชวงศ์กริมัลดีขึ้นมาเมื่อปลายศตวรรษที่ 12 แต่ด้วยการกระทำที่น่าขยะแขยงของต้นตระกูลนี้นำมาซึ่งคำสาปที่ทำให้ลูกหลานต้องประสบ “ความไร้สุขไปตลอดกาล”
2
ฟรานเชสโก กริมัลดี (Francesco Grimaldi) คือผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่พยายามเข้ามายึดครองดินแดนนครรัฐเล็ก ๆ ที่เรียกว่าโมนาโก เขากับลูกพี่ลูกน้อง คือ เรนิแยร์ที่ 1 (Rainier I) ได้นำกำลังคนมาบุกยึดป้อมปราการของปราสาทโมนาโกจากคู่แข่งที่อ้างสิทธิ์เหนือนครรัฐแห่งนี้ โดยฟรานเชสโกใช้แผนปลอมตัวเป็นพระนิกายฟรานซิสกันเพื่อลวงยามให้เปิดประตูป้อมปราการให้ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงมีรูปคนสวมชุดพระนิกายฟรานซิสกันยืนถือดาบอยู่ในตราประจำตระกูลกริมัลดีอยู่
ฟรานเชสโก กริมัลดี แต่งงานแต่ไม่มีลูก เรนิแยร์ที่ 1 ซึ่งเป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องและลูกบุญธรรมจึงกลายเป็นทายาทของเขาต่อมา ตระกูลกริมัลดีได้เป็นผู้ปกครองโมนาโกอย่างแท้จริงในปี 1419 โดยเรนิแยร์ที่ 1 ซื้อโมนาโกมาจากราชตระกูลอรากอน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องต่อสู้กับตระกูลอื่น ๆ ในอิตาลีเพื่อแย่งชิงโมนาโกเป็นเวลาหลายร้อยปี ตำแหน่งผู้ปกครองนครรัฐเล็ก ๆ แต่มั่งคั่งแห่งนี้คือตำแหน่งเจ้าชายซึ่งเริ่มเรียกมาตั้งแต่ปี 1659
2
คำสาปเกิดขึ้นโดยย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 13 ตำนานเล่าขานกันมาว่าเรนิแยร์ที่ 1 ได้ลักพาตัวหญิงสาวชาวแฟลนเดอร์ผู้งดงามนางหนึ่งและจากนั้นก็ข่มขืนกระทำชำเรา ด้วยความแค้นหญิงสาวนางนี้จึงฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นแม่มดเพื่อแก้แค้นในสิ่งที่นางถูกกระทำ นางจึงใช้ศาสตร์มืดที่เล่าเรียนมาสาปให้ลูกหลานในตระกูลของเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 1 รุ่นต่อ ๆ มาว่า “คนในตระกูลกริมัลดีจงอย่าได้เจอกับความสุขที่แท้จริงในการแต่งงาน” แต่อีกตำนานบอกว่าถูกสาปโดยแม่มดที่กำลังถูกเผาทั้งเป็น
5
ภาพวาดของเรนิแยร์ที่ 1 ที่ถูกวาดขึ้นในปี 1861 (Image: Wikipedia)
• เจ้าชายพ่อม่าย
ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือต้องคำสาป เพราะตระกูลกริมัลดีนี้เผชิญกับมรสุมในชีวิตครอบครัวมิได้ว่างเว้น ซึ่งเป็นเพราะคำสาปจริงหรือเพราะทำตัวเองก็ขอให้ผู้อ่านตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยจะเริ่มเล่าในรุ่นของเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 (Prince Rainier III)
ใคร ๆ ก็ทราบว่าเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 ผู้ปกครองโมนาโกแต่งงานกับดาราสาวฮอลลีวู้ดชื่อดังคือเกรซ เคลลี่ (Grace Kelly) การแต่งงานครั้งนั้นประดุจดั่งเทพนิยายและโด่งดังไปทั่วโลกจนกลายเป็นตำนานจนทุกวันนี้ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน คือเจ้าหญิงแคโรไลน์ (Princess Caroline) เจ้าชายอัลแบร์ (Prince Albert II) และเจ้าหญิงสเตฟานี (Princess Stephanie)
แต่การแต่งงานก็มิได้ลงเอยด้วยความสุขไปตลอดกาล เมื่อปี 1982 เกรซ เคลลี่ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตด้วยวัย 52 ปี ซึ่งนำความโศกเศร้ามาสู่เจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ไม่เคยแต่งงานใหม่
2
เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหญิงสเตฟานีพระธิดาองค์เล็กสุดที่เสด็จไปในรถคันนั้นด้วยและรอดชีวิต แต่เจ้าหญิงไม่ได้สูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังเล็กเพียงอย่างเดียว แต่ข่าวลือยังตามมาหลอกหลอนพระองค์ตลอดว่าเป็นผู้ขับรถคันนั้นเองจนเกิดอุบัติเหตุทำให้พระมารดาเสียชีวิต แถมยังมีข่าวลือว่าพระองค์ทะเลาะกับพระมารดาในรถจนเกิดอุบัติเหตุ
4
หลังจากเกรซ เคลลี่ เสียชีวิตจากไป เจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 ไม่เคยแต่งงานใหม่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะทรงไม่ต้องการใครในชีวิตอีกหรือทรงอิ่มจากชีวิตรักและชีวิตสมรสของลูก ๆ ของพระองค์แทน
2
เจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 กับเกรซ เคลลี่ (Image: Hearst Magazine Media)
• เจ้าหญิงร้างรัก
เจ้าหญิงแคโรไลน์พระธิดาองค์โตสุดแต่งงานครั้งแรกกับเพลย์บอยหนุ่มฝรั่งเศสชื่อว่าฟิลิปป์ จูโนต์ (Philippe Junot) เมื่อปี 1978 ตอนนั้นเจ้าหญิงอายุได้เพียง 21 ปีส่วนเจ้าบ่าวแก่กว่าพระองค์ถึง 17 ปี ซึ่งเจ้าชายเรนิแยร์กับเกรซ เคลลี่ ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ แต่ก็ไม่ต้องรอนาน เพราะหลังจากที่เจ้าหญิงมีชีวิตการแต่งงานที่วุ่นวายได้ 2 ปี สุดท้ายทั้งคู่ก็หย่ากัน
2
ในปี 1983 เจ้าหญิงแคโรไลน์แต่งงานครั้งที่สองกับสเตฟาโน คาสิรากี (Stefano Casiraghi) ลูกชายนักธุรกิจชาวอิตาเลียน ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน คืออังเดร ชาร์ล็อต และปิแอร์ (Andrea, Charlotte, Pierre) ซึ่งทั้งสามคนยังเป็นเด็กเล็กอยู่เมื่อสเตฟาโน คาสิรากี เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากการแข่งเรือเร็วเมื่อปี 1990
ในปี 1999 เจ้าหญิงแคโรไลน์แต่งงานเป็นครั้งที่ 3 กับเจ้าชายเอิร์นส์ ออกัส แห่งฮันโนเวอร์ (Prince Ernst August of Hanover) ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน คือเจ้าหญิงอเล็กซานดร้า (Alexandra) ซึ่งคลอดหลังจากที่แต่งงานกันได้ 6 เดือน
2
ถึงแม้ว่าสามีคนที่ 3 จะมาจากตระกูลที่สูงส่ง แต่เจ้าชายเอิร์นส์เคยแต่งงานมารอบหนึ่งแล้ว และมีชื่อเสียเป็นอย่างยิ่งเรื่องความเป็นนักเลงอารมณ์ร้อน ทั้งมีข่าวว่าเคยตีช่างภาพด้วยร่มจนจมูกหัก เคยชกเจ้าของผับเต้นรำในเคนย่าจนถูกปรับ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้าชายเรนิแยร์สิ้นพระชนม์ด้วยวัย 81 เจ้าชายเอิร์นส์ก็ป่วยหนักจนเข้าห้องไอซียู
5
แม้ชีวิตสมรสครั้งที่ 3 จะไม่ถึงจุดหย่าขาด แต่ทั้งคู่แยกกันอยู่นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2009
1
ลูกทั้งสามของเจ้าหญิงแคโรไลน์กับสเตฟาโน คาสิรากี เติบโตและแต่งงานกันหมดแล้ว ลูกชายทั้งสองมีชีวิตการแต่งงานที่ปกติดี แต่ในรายของชาร์ล็อตนั้นเธอมีลูกชายหนึ่งคนโดยไม่ได้แต่งงานกับนักแสดงตลกชาวฝรั่งเศสที่เคยมีลูกแล้วเช่นกันจากความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ จากนั้นชาร์ล็อตก็เลิกกับนักแสดงตลกผู้นี้ และต่อมาได้แต่งงานกับดิมิทรี รัสซาม (Dimitri Rassam) ซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ โดยท้องลูกคนที่สองกับเขาก่อนที่จะแต่งงานกัน
3
เจ้าหญิงแคโรไลน์กับการแต่งงานครั้งแรก (Image: Vogue Australia)
• เจ้าชายนักรัก
เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 ครองความโสดมาอย่างยาวนาน แต่แล้วก็ทรงสละโสดกับอดีตนักกีฬาว่ายน้ำดีกรีเหรียญโอลิมปิกชาวแอฟริกาใต้ที่ชื่อว่าชาร์ลีน วินสต็อก (Charlene Wittstock) เมื่อปี 2011 ตอนนั้นเจ้าชายอัลแบร์อายุ 53 ปี ซึ่งต่างกับชาร์ลีนถึง 20 ปี ทั้งคู่มีลูกฝาแฝดด้วยกัน 1 คู่ คือเจ้าหญิงกาเบรียลล่าและเจ้าชายฌาก (Princess Gabriella, Prince Jacques) และยังครองรักกันอยู่จนถึงปัจจุบัน แต่ใช่ว่าชีวิตคู่นี้จะเต็มไปด้วยความสุข
3
เจ้าชายอัลแบร์ทรงเป็นนักรักตัวยง ทรงมีคู่ควงมากหน้าหลายตา และมีลูกนอกสมรสก่อนที่จะมาแต่งงานกับชาร์ลีน มีข่าวลือว่าพระองค์เป็นพ่อของลูกหลายคน แต่มี 2 คนที่ทรงยอมรับว่าเป็นพ่อของลูกที่ต่างแม่กัน คนแรกชื่อว่าอเล็กซานเดร (Alexandre) ที่มีแม่เป็นอดีตพนักงานต้อนรับบนสายการบินของประเทศโตโก คนที่สองต้องพิสูจน์ดีเอ็นเอ ชื่อว่าแจสมิน เกรซ (Jazmine Grace) มีแม่เป็นชาวอเมริกันทำอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
เมื่อตอนที่เจ้าชายอัลแบร์ทรงแต่งงาน มีข่าวว่าชาร์ลีนเกือบจะยกเลิกพิธีแต่งงานไป โดยมีข่าวลือว่าเจ้าสาวพยายามหนีกลับประเทศถึง 3 ครั้ง และครั้งหนึ่งหนีไปอยู่สถานทูตแอฟริกาใต้ที่ในปารีส จนต้องตกลงกันว่าถ้าหากชาร์ลีนมีทายาทให้ได้เธอก็จะเป็นอิสระ ในวันแต่งงานเจ้าสาวร้องไห้แบบไม่มีความสุขจนเกิดข่าวลือสารพัดดังเช่นที่เล่ามา แถมยังบอกว่าชีวิตในโมนาโกนั้นไร้สุข
3
ในปัจจุบัน มีข่าวลือว่าชีวิตคู่ของพระองค์กำลังประสบกับมรสุม เพราะชาร์ลีนเดินทางกลับแอฟริกาใต้ตั้งแต่มกราคมแล้วยังไม่เดินทางกลับมาโมนาโก ถึงแม้ว่าเหตุผลอย่างเป็นทางการคือชาร์ลีนล้มป่วยหนักมีอาการติดเชื้อที่ช่องทางเดินหายใจจนแพทย์ไม่ให้เดินทาง และเพราะสถานการณ์โควิด แต่มีข่าวเล่าลือว่าสาเหตุที่ชาร์ลีนไม่ยอมกลับมาเพราะเจ้าชายอัลแบร์กำลังทรงมีปัญหากับเรื่องคดีลูกนอกสมรสอีกแล้ว และกล่าวกันว่ามีความสัมพันธ์กับหญิงผู้นั้นในปีแรก ๆ กับทรงที่คบหากับชาร์ลีนด้วย
3
วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ คือวันครบรอบแต่งงาน 10 ปี แต่ทั้งคู่ไม่ได้ฉลองวันครบรอบด้วยกัน ซึ่งไม่ทราบว่าข่าวลือจริงไหม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
2
เจ้าชายอัลแบร์กับชาร์ลีน และลูกนอกสมรสของเจ้าชายทั้งสองคนที่ต่างแม่กัน (Image: Media PTY Limited)
• เจ้าหญิงหลายรัก
เจ้าหญิงสเตฟานีพระธิดาองค์เล็กสุด ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตคู่มาอย่างโชกโชน พระองค์เริ่มมีความสัมพันธ์กับองครักษ์ของพระองค์ซึ่งเป็นอดีตคนขายปลาชื่อว่า แดเนียล ดูครูเอต์ (Daniel Ducruet) ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 2 คนคือหลุยส์กับพอลลีน (Louis, Pauline) ก่อนที่จะแต่งงานกันในปี 1995 ซึ่งเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 พระบิดาแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ที่จะขัดขวางความสัมพันธ์นี้ พระองค์จึงได้แต่ดำเนินการไม่ให้ชายผู้นี้ยื่นมือมายุ่งเกี่ยวในทรัพย์สินใด ๆ ของพระธิดา
1
แล้ว 1 ปีหลังเข้าพิธีแต่งงาน เจ้าหญิงสเตฟานีก็ทำเรื่องหย่าต่อศาลภายหลังจากหนังสือพิมพ์ลงภาพถ่ายสามีของพระองค์กับหญิงสาวชาวเบลเยียมผู้หนึ่งที่เคยได้รับตำแหน่งว่า "Miss Bare Breasts Belgium"
ต่อมาในปี 1998 เจ้าหญิงสเตฟานีก็คลอดพระธิดาอีกองค์ ชื่อว่ากามิลล์ (Camille) ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ และเจ้าหญิงสเตฟานีก็ไม่เคยเปิดเผยจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่พ่อของกามิลล์น่าจะเป็นอดีตพนักงานรักษาความปลอดภัยของพระราชวังที่ชื่อฌอน เรมอนด์ ก็อตเลียบ (Jean Raymond Gottlieb) เพราะกามิลล์ใช้นามสกุลนี้
1
แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นี้ เจ้าหญิงสเตฟานีพบรักใหม่กับชายคนฝึกช้างที่แต่งงานแล้วเมื่อปี 2001 พระองค์จึงหอบหิ้วลูก ๆ ทั้งสามหนีตามไป โดยอาศัยอยู่ในรถเทรลเลอร์เพื่อจะได้ติดตามผู้ชายไปกับคณะกายกรรมที่เขาไปแสดงอยู่ตามที่ต่าง ๆ
เมื่อความสัมพันธ์ยุติลง เจ้าหญิงสเตฟานีแต่งงานใหม่กับนักแสดงกายกรรมชาวโปรตุเกสที่อายุน้อยกว่าพระองค์เกือบ 10 ปีชื่อว่าอดันส์ โลเปซ เปเรซ (Adans Lopez Peres) เมื่อเดือนกันยายนปี 2003 แต่หลังจากแต่งงานกันไม่ถึงปี พระองค์ก็หย่ากับชายผู้นี้
เจ้าหญิงสเตฟานีเมื่อครั้งแต่งงานกับแดเนียล ดูครูเอต์ (Image: Pinterest)
• ชีวิตไร้รักไร้สุขในรุ่นเก่า
ก่อนหน้านี้ ตระกูลกริมัลดีก็มีกรณีที่มีชีวิตคู่ไร้สุขไม่น้อย ตัวอย่างแรกคือพระมารดาของเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 คือเจ้าหญิงชาร์ล็อต (Princess Charlotte) ก็มีชีวิตการแต่งงานที่ไร้สุขกับเคาท์ปิแอร์ เดอ โปลิยัก (Count Pierre de Polignac) ที่ทนกันนานถึง 10 ปี
เจ้าบ่าวคนนี้ พระบิดาของเจ้าหญิงชาร์ล็อตคือเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 (Prince Louis II) เป็นคนเลือกให้กับมือ เพราะเจ้าบ่าวนั้นมีกำเนิดดีและมีการศึกษา แถมอายุยังไล่เลี่ยกับเจ้าสาวซึ่งน่าจะเข้ากันได้ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คนแรกก็คือเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 นั่นเอง แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมาเรื่องก็เปิดเผยว่าเคาท์ปิแอร์ เดอ โปลิยัก เป็นพวกรักร่วมเพศ ทั้งคู่จึงแยกกันอยู่อย่างเงียบ ๆ และหย่าขาดต่อกันในภายหลัง ซึ่งมีข่าวว่าช่วงที่ยังแต่งงานอยู่นั้นเจ้าหญิงชาร์ล็อตก็มีความสัมพันธ์ไปเรื่อยกับคู่รักหลายคน และพอหย่าแล้วก็ย้ายไปอยู่กับคู่รักคนหนึ่ง
มีคำกล่าวว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลจากต้น คำกล่าวนี้น่าจะใช้ได้ดีกับตระกูลกลริมัลดี เพราะตัวอย่างที่สองคือเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 พระบิดาของเจ้าหญิงชาร์ล็อต พระองค์ก็มีลูกนอกสมรส และลูกนอกสมรสนั้นก็คือเจ้าหญิงชาร์ล็อตนั่นเอง
2
เจ้าชายหลุยส์ที่ 2 ทรงมีความสัมพันธ์กับนักร้องหญิงคาบาเรต์ในระหว่างที่ไปประจำการในกองทัพฝรั่งเศสที่อัลจีเรีย ทั้งสองไม่ได้แต่งงานกัน แต่มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน คือชาร์ล็อต หลุยส์ จูเลียต (Charlotte Louise Juliette) ซึ่งเกิดที่อัลจีเรีย และหลังจากนั้นก็ทรงกลับโมนาโกโดยลำพัง
แต่ด้วยความกลัวว่าจะทรงไม่มีผู้สืบทอดราชบัลลังก์ พระองค์เลยรับรองให้ชาร์ล็อตเป็นรัชทายาท และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลังจากแก้กฎเมื่อปี 1919 แต่เจ้าหญิงชาร์ล็อตไม่ได้ขึ้นครองโมนาโก เพราะทรงสละตำแหน่งให้กับเจ้าชายเรนิแยร์ที่ 3 พระโอรสของพระองค์แทนเมื่อเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อปี 1949
เจ้าชายหลุยส์ที่ 2 ก่อนสิ้นพระชนม์ส่วนใหญ่แล้วทรงใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส โดยอยู่กินกับสตรีที่พระองค์แต่งงานด้วยที่โมนาโกเมื่อปี 1946
ตัวอย่างที่สามซึ่งเป็นตัวอย่างสุดท้ายคือชีวิตของพระบิดาของเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 เพราะพระมารดาของพระองค์หนีจากพระบิดาของพระองค์ไปหลังจากแต่งงานได้เพียง 1 ปี
เจ้าชายอัลแบร์ที่ 1 แห่งโมนาโกแต่งงานกับเลดี้แมรี่ วิคตอเรีย แฮมิลตัน จากตระกูลขุนนางของสก็อตแลนด์ (ใครที่อ่านเรื่องเกี่ยวกับราชินีแมรี่แห่งสก็อตคงจำตระกูลนี้ได้) ซึ่งเลดี้แมรี่มีแม่เป็นเจ้าหญิงแห่งบาเด็น และยังเป็นญาติของหลาย ๆ ราชวงศ์ในยุโรป เช่น จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส
2
ดังนั้น การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นการคลุมถุงชน ซึ่งทั้งฝ่ายชายและหญิงต่างไม่ยินดียินร้ายต่อกัน พอแต่งงานได้ปีเดียวก็หนีจากโมนาโกกลับสก็อตแลนด์ไปทั้ง ๆ ที่ตั้งท้อง ต่อมาเลดี้แมรี่คลอดลูกชายจึงตั้งชื่อว่าหลุยส์ ซึ่งเจ้าชายอัลแบร์ที่ 1 ก็ไม่ได้เดินทางมาดูลูกชายคนแรกของพระองค์
1
สามีภรรยาคู่นี้ไม่ติดต่อกันเลยเป็นเวลา 5 ปี ฝ่ายเลดี้แมรี่ก็ไปตกหลุมรักกับเคาท์คนหนึ่งจากฮังการี ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกันและมีลูกด้วยกัน 4 คน ซึ่งเลดี้แมรี่ได้ขอให้สำนักวาติกันประกาศให้การแต่งงานของเธอกับเจ้าชายอัลแบร์ที่ 1 เป็นโมฆะได้สำเร็จ
1
จบเรื่องราวตำนานคำสาปของราชวงศ์กริมัลดีแต่เพียงเท่านี้
เจ้าชายอัลแบร์ที่ 1 แห่งโมนาโกกับเลดี้แมรี่ วิคตอเรีย แฮมิลตัน (Image: Daily Mail)
เจ้าชายหลุยส์ที่ 2 (Image: Daily Mail)
เจ้าหญิงชาร์ล็อตกับเคาท์ปิแอร์ เดอ โปลิยัก (Image: Daily Mail)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา