4 ก.ค. 2021 เวลา 02:58 • ประวัติศาสตร์
ตำนานโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์
รูปปั้นหินหน้าคน โมอาย กับปริศนาทฤษฎีที่น่าสนใจ
ยังถือเป็นเรื่องที่ยังชวนสงสัยถึงจุดประสงค์ในการสร้างรูปปั้นหินยักษ์โมอาย ที่มีลักษณะคล้ายใบหน้าของคน รวมถึงวิธีในการเคลื่อนย้ายหินที่หนักร่วม 10 ตัน ไปวางตามตำแหน่งสำคัญของเกาะนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เราเลยจะมาพาทุกคนไปทัวร์เกาะอีสเตอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปปั้นโมอายนี้ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันกัน...
ตำนานโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์
เดิมทีรูปปั้นโมอายนั้นตั้งอยู่ที่เกาะอีสเตอร์อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนในชื่อของอีกเตอร์ มาจากการที่นักสำรวจคนแรกที่ค้นพบเกาะนี้ เขาเดินทางมาในวันอีสเตอร์ในปี ค.ศ. 1722 ทำให้เขาตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า เกาะอีสเตอร์ นั่นเอง..
มีตำนานเล่าขานกันว่า รูปปั้นโมอายบนเกาะนี้ เกิดจากการที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้น ได้สร้างรูปปั้นหินขึ้นมาเมื่อ 1,000 ปีก่อน ทำให้บนเกาะอีสเตอร์นี้มีรูปปั้นโมอายมากกว่า 900 ตัว ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ รวมถึงตัวที่ยังสร้างไม่เสร็จเช่นกัน บางตัวมีแค่ส่วนหัว บ้างก็มีส่วนลำตัวที่ส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ขนาดของตัวโมอายที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงถึง 30 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) น้ำหนัก 82 ตัน
1
โมอายสร้างโดยใครและสร้างจากอะไร ?
สรุปออกมาแล้วว่า โมอายที่พบบนเกาะที่มีอยู่กว่า 900 ตัว เป็นฝีมือการทำของมนุษย์ (ชาวโพลิเนเชียน) เอง จากการที่บนเกาะนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักนั้น พวกเขาได้ใช้หินจากภูเขาไฟซึ่งมีความแข็ง คมกว่าหินภายในเหมืองหินที่มีความแข็งแรงน้อยกว่าหินที่ใช้แกะสลักนั่นเอง
ชาวโพลิเนเชียนสร้างโมอายไปเพื่ออะไร ?
ในตำนานของเกาะนั้นกล่าวถึงหัวหน้าเผ่าซึ่งเสาะหาที่ตั้งบ้านใหม่ และเขาได้เลือกหมู่เกาะอีสเตอร์ หลังจากที่หัวหน้าเผ่าตายไปเกาะก็ได้ถูกแบ่งให้เหล่าลูกชายของเขาเพื่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดตายไปก็มีการนำโมอายไปตั้งไว้ ณ สุสาน ชาวเกาะทั้งหลายเชื่อว่ารูปปั้นโมอายจะรักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าเหล่านั้นไว้ เพื่อให้นำสิ่งดี ๆ มาสู่เกาะ
คนสมัยก่อนใช้อะไรในการเคลื่อนย้ายโมอายหนักหลายสิบตัน ?
เป็นคำถามที่คาใจคนสมัยก่อนยาวจนถึงสมัยนี้เลยล่ะ เพราะดูจากวิทยาการในยุคนั้นแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เราจะเคลื่อนย้ายหินหนักขนาดนี้ได้
ซึ่งทำให้จากการวิเคราะห์ของคนสมัยใหม่ได้บอกเอาไว้ว่า ชาวบ้านในตอนนั้นใช้ท่อนไม้จำนวนมากสำหรับรับเป็นลูกกลิ้งในการขนย้ายโมอาย และนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุความเชื่อที่ว่าชนเผ่านี้ใช้ทรัพยากรแบบสิ้นเปลืองจนหมดเกาะ
เพราะการขนย้ายทำให้ต้องตัดต้นไม้จำนวนมากจนแทบหมดเกาะ ซึ่งส่วนหนึ่งของต้นไม้เหล่านั้นต้องใช้สร้างเรือออกไปหาปลา หาอาหารในทะเล เมื่อต้นไม้ไม่มีให้สร้างเรือ ทำให้พวกเขาจับปลาไม่ได้ และต้องอาศัยการหาอาหารบนบกแทน พอนานเข้าดินก็เสื่อมสภาพลง ปลูกพืชไม่ขึ้น และนำไปสู่หายนะที่ทำให้คนทั้งเกาะเกือบสูญพันธุ์
#สาระจี๊ดจี๊ด
จากที่นักโบราณคดีพยายามขุดลงไปเพื่อศึกษาส่วนลำตัวเพิ่มเติม พบว่ามีการแกะสลักวงแหวน และผ้าคาดเอว รวมไปถึงสัญลักษณ์อื่น ๆ อีกมากที่ยังไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายของมัน บ้างก็ว่าอาจเป็นรอยสักแบบดั้งเดิมของชาวราปานุย หรืออาจเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของผู้ล่วงลับก็เป็นได้
โมอายได้รับความนิยมจนกลายเป็นหนึ่งในมรดกโลก !
ในปี 2533 ที่ผ่านมานี้โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผลหลายข้อด้วยกันเลย ทั้งเป็นตัวแทนผลงานที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของบรรพบุรุษ ทั้งเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม และอารยธรรมที่ทำให้คนทั้งโลกได้สัมผัสมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งโมอายเองยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นมาก ๆ ของวัฒนธรรมมนุษย์เรา บ่งบอกถึงวิธีการก่อสร้าง และการลงหลักปักฐานของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ยังไม่มีนวัตกรรมแต่ก็ยังสร้างสรรค์สิ่งสวยงามแบบนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะนำไปพัฒนาอนาคตได้ต่อไป..
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง
#สาระจี๊ดจี๊ด #Wasabi #ความรู้ขึ้นสมอง
โฆษณา