Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
9 ส.ค. 2021 เวลา 04:27 • นิยาย เรื่องสั้น
5.25. จริยะแห่งจอมยุทธ์
ลิโป้ ศิษย์ที่ถูกละทิ้ง - ฮองตง จอมยุทธ์จารชนลับ - ม้าอ้วนยี่ เหยื่อที่ถูกฆ่าปิดปาก
ในเมื่อการประลองรอบแรกตามแผนสลับม้าประสพกับความล้มเหลว การประลองในรอบต่อไปจะเกิดความผิดพลาดอีกไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ระดับฝีมือของกวนอู ถือว่า แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายตรงข้ามสามคน เพราะได้รับบาดเจ็บไม่หนักหนาสาหัสเท่าคนอื่นๆ (คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า กวนอูมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ไหล่ซ้าย) ดังนั้น คนที่มีฝีมือพอเทียบเคียงได้ในตอนนี้ ก็มีเพียง ฮองตง คนเดียวเท่านั้น หากให้ฮองตงลงสนามสู้กับจูล่งไปก่อนตามแผนที่วางกันไว้นั้น ใครเล่าจะสามารถได้ชัยเหนือกวนอูได้
แต่ขงเบ้งปรับตั้งแนวคิดใหม่อีกครั้ง การต่อสู้เพื่อให้ชนะจูล่งซึ่งมีอาการบาดเจ็บให้ได้ก่อน จึงเป็นโอกาสที่อาจจะพอกระทำได้มากกว่า ถ้าสมมุติว่า ฮองตงเอาชนะจูล่ง แล้วเล่าปี่ไปแพ้กวนอู ก็ยังถือเป็นเสมอกัน การตัดสินสุดท้าย ก็คงต้องไปเลือกตัวแทนมาเพิ่มฝ่ายละ 1 คน ซึ่งน่าจะเป็นตันฮก ดังนั้น ขงเบ้งจะขอเก็บตัวเองไว้ตัดสินรอบสุดท้ายกันกับตันฮกเอง และมันเชื่อว่า สามารถเอาชนะกิเลนพิสดารได้อย่างแน่นอน
เล่าปี่ ขงเบ้ง ฮองตง ปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ในที่สุด คนที่ก้าวออกจากเก๋งพักผ่อน จึงเป็น ฮองตง ขุนพลยิงตะวัน จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ ผู้เลื่องชื่อ เดินลงมาเผชิญหน้ากับจูล่ง ขุนพลท่องเมฆา เป็นรอบที่สองขุนพลสวรรค์มาประลองกันเอง
นับเป็นคู่ต่อสู้ที่จูล่งคาดคิดได้เช่นกัน ฝั่งนั้นต้องการเก็บชัยชนะไว้ก่อน แต่กลับส่งมาผิดคนให้เปล่าประโยชน์เสียได้ นั่นอาจจะเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตกระมัง
…
กระบวนท่าเกาทัณฑ์พิสดาร และความห้าวหาญของฮองตง เมื่อครั้งปราบเตียวหยิมที่ศึกเสฉวน ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของจูล่งในทันที จากเกาทัณฑ์หนึ่งดอก สองดอก สามดอก ห้าดอก และเกาทัณฑ์ไร้ลักษณ์ ครั้งนั้น เป็นฮองตงที่ได้ช่วยเหลือชีวิตมันไว้ให้รอดจากความตาย
จูล่งต้องการสร้างเงื่อนไขความพ่ายแพ้อยู่ในใจก่อนแล้ว จึงปักดาบอสูรลงกับพื้นดิน ประสานมือคารวะต่อท่านผู้เฒ่า พลางกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เมื่อศึกเสฉวนที่ผ่านมา ท่านมีบุญคุณช่วยชีวิตข้าน้อยไว้ ดังนั้น ข้าขอรับการจู่โจมจากท่านสามกระบวนท่าโดยไม่ตอบโต้ เป็นการตอบแทนบุญคุณให้กับท่าน”
ฮองตง ชะงักไปวูบหนึ่ง ตลอดชีวิตการต่อสู้มานานหลายสิบปี ไม่เคยมีใครหาญกล้ารับเกาทัณฑ์ของมันด้วยมือเปล่ามาก่อน ดังนั้น การกระทำที่นอกเหนือความคาดหมายครั้งนี้ของจูล่ง กลับกระตุ้นอารมณ์ที่แปรปรวนของปรมาจารย์เฒ่าโดยบังเอิญ ตีความเพี้ยนเปลี่ยนไปว่า จูล่งไม่แยแสมันในสายตา จึงบันดาลโทสะ ตาลุกวาวด้วยความโกรธทันที
ยี่สิบก้าว ปกติเป็นระยะที่พอเหมาะต่อการลงมือระยะไกลด้วยเกาทัณฑ์แล้ว ฮองตงถือวิสาสะวิ่งขยับเข้ามาอีกห้าก้าว เพื่อเพิ่มความได้เปรียบตามหลัก”ยิ่งใกล้ยิ่งรุนแรง” พร้อมยิงเกาทัณฑ์ชุดแรก เป็นเกาทัณฑ์คู่ เห็นลูกเกาทัณฑ์สองดอกพุ่งตรงเข้าสู่ขุนพลจูล่งเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
เห็นจูล่งยืนหยัดอยู่กับที่ กวาดแขนขวาเป็นวงกว้างอย่างเชื่องช้า ถึงกับรวบจับลูกเกาทัณฑ์ทั้งสองเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เรียกเสียงโห่ร้องจากทหารทั้งกองทัพ จนดังสนั่นไปทั้งบริเวณ คาดไม่ถึงว่า จูล่งจะกล้ารับมือกับเกาทัณฑ์ของฮองตงเช่นนี้
ฮองตง สะดุดใจในกระบวนท่ารับมือ แต่ยังไม่หยุดความพยายาม รีบวิ่งเฉียงไปทางด้านข้าง พร้อมกับปล่อยเกาทัณฑ์สามดอกออกมาพร้อมกันแล้ว ตามด้วยเกาทัณฑ์อีกห้าดอก เป็นกระบวนท่าที่สามต่อเนื่องกันออกไป
เห็นจูล่งเบี่ยงตัวตามอย่างเยือกเย็น ใช้มือซ้ายขวาวนเข้าหากัน ถึงกับปัดป่ายลูกเกาทัณฑ์ที่แฝงพลังเร็วช้านั้น ให้ร่วงหล่นไปได้หมดสิ้นทั้งแปดดอก จนเรียกเสียงโห่ร้องจากกองทัพอย่างกึกก้องไปทั้งบริเวณ
ฮองตงหยุดมือ พร้อมกับตะโกนถามไถ่ “ขอถาม ท่านจูล่งร่ำเรียนวิชารับลูกเกาทัณฑ์นี้มาจากที่ใดกัน”
จูล่งอึกอักเล็กน้อย ค่อยกล่าวตอบ “เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่ง สั่งสอนข้าไว้ในวัยเยาว์ น่าจะสักยี่สิบปีก่อน เห็นจะได้”
“อ้อ ครั้งนั้น เจ้าพำนักอยู่ใกล้เมืองเสเหลียง เขตแดนพวกโจรพรรคฟ้าเหลือง กระมัง”
จูล่ง ไม่ต้องการรื้อฟื้นอดีตให้มากเกินไป จึงได้แต่พยักหน้ารับ “ถูกต้อง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นึกไม่ถึง เด็กหนุ่มน้ำใจงามในวันนั้น ก็คือ ขุนพลจูล่ง นี่เอง ข้านี่แหละ คือ คนที่ได้รับบาดเจ็บที่สั่งสอนกระบวนท่ามือเปล่าจับเกาทัณฑ์ให้กับเจ้านั่นเอง” ฮองตงประกาศด้วยความรู้สึกยินดี
…
ฮองตงย้อนนึกไปถึงวันวานที่ตนเองแทรกซึมเข้าสังกัดของม้าอ้วนยี่ สมุนคนสำคัญของพรรคฟ้าเหลือง แต่สุดท้าย ถูกจับพิรุธได้ขณะที่กำลังส่งข่าวกลับไปยังฝ่ายรัฐบาล จึงพลั้งมือสังหารม้าอ้วนยี่ตาย และหลบหนีออกมาจากค่ายโจร
ระหว่างทาง มันถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ของสำคัญหล่นหาย (หน้ากากพิสดาร) แต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายท่านหนึ่ง ให้ที่หลบซ่อนชั่วคราว จึงรอดพ้นจากการถูกล้อมจับให้กลับไปรับโทษทัณฑ์
มันมีนิสัยพิกลพิสดารอยู่แล้ว ไม่ต้องการติดค้างบุญคุณใดๆ เมื่อรอดพ้นห้วงวิกฤตมาได้ จึงสอนกระบวนท่ามือเปล่าจับเกาทัณฑ์สองกระบวนท่าให้ก่อนจากกันไป แม้ว่าจะเรียนวิชาไปได้น้อยที่สุด แต่ต้องนับว่า เป็นลูกศิษย์คนที่สามในกลุ่มศิษย์รุ่นแรกสามคน ถัดมาจากเด็กน้อยพเนจรคนแรกนั้น
หมายเหตุ ศิษย์คนแรกของฮองตง คือ ลิโป้ ทวนไร้น้ำใจ ที่ได้เรียนวิชาเกาทัณฑ์ยาวนานที่สุด แต่ตราบจนตายจากกัน ต่างก็ไม่รู้จักชื่อเสียงที่แท้จริง และไม่ได้พบเจอกันอีกเลย จนกระทั่งลิโป้ตายไปในที่สุดโดยไม่มีใครได้รับรู้ความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์ของคนดังแห่งยุคทั้งสองคนนี้ (ภาค 1) ส่วนศิษย์คนที่สอง ยังคงรอการเปิดเผยในอนาคต
และสำหรับเหตุการณ์ที่ม้าอ้วนยี่ถูกลอบสังหารนี้ ก็ส่งผลกระทบให้ม้าเท้ง ผู้บุตร หลบหนีขึ้นเหนือไปพร้อมกับกล่องใส่หน้ากากพิสดาร ของวิเศษประจำเผ่าที่ฮองตงขโมยมาด้วยอีกทอดหนึ่ง จนเกิดเป็นเหตุการณ์สะท้านแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมา (ภาค 4)
จูล่งอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึง ประสบการณ์ไม่กี่วันในช่วงวัยแรกเริ่มที่เข้าสู่พรรคฟ้าเหลืองนั้น กลับมาเป็นความผูกพันกับขุนพลเฒ่าชื่อดังที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ ถึงกับทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะในฐานะศิษย์อาจารย์กัน
ฮองตงเองก็คาดไม่ถึงว่า จูล่งจะยังเคารพต่อตนเองถึงเพียงนี้ จึงอดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ได้เช่นกัน ต้องรีบก้มลงพยุงขุนพลเลื่องชื่อให้ลุกขึ้น พร้อมกล่าวย้ำ “มิกล้า มิกล้า ไม่ต้องมากมารยาทเกินไป”
4
“ในเมื่อท่านคืออาจารย์ผู้มีพระคุณต่อข้าน้อย จูล่งขอยินยอมรับความพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ เพื่อรำลึกถึงบุญคุณที่ท่านช่วยสั่งสอนวิชาอันประเสริฐเช่นนี้” จูล่งกล่าวพลางดึงดาบทมิฬขึ้น โยนลงกับพื้นดิน เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการยอมแพ้
…
ที่จริงแล้ว เหตุการณ์ครั้งนั้น ยังมีเรื่องราวซับซ้อนอยู่เล็กน้อย จูล่งในวัยหนุ่มเพิ่งปรากฏตัวอย่างพิสดารกลางค่ายโจร และถูกเตียวก๊กกับน้องทั้งสองคนร่วมกันฟาดพลังเข้าใส่จนสมองกระทบกระเทือน ลืมเลือนเหตุการณ์เก่าก่อนไปหมดสิ้น แม้แต่ชื่อแซ่ที่แท้จริงของตนเอง
แต่เตียวก๊กไม่ลงมือสังหารคนบุกรุก กลับสั่งการให้ม้าอ้วนยี่นำตัวไปดูแลรักษาอาการบาดเจ็บจนกว่าจะฟื้นคืน หวังจะรับคนลึกลับผู้นี้ให้เป็นลูกบุญธรรม นามว่า เตียวหยุน เพื่อให้ครบรหัสลับทั้งสาม เฟิง - หยุน - เฟย (สายลม เมฆา โบยบิน)
จูล่งในคราบคุณชายคืนสติขึ้นมา พบว่า ถูกกักตัวอยู่ในรังโจรอย่างมึนงง ไม่รับรู้ว่าได้รับโชคในเคราะห์ จึงฉวยโอกาสหลบหนี สร้างความปั่นป่วนให้กับม้าอ้วนยี่ จนต้องรีบออกมาตามล่าตัว แต่บังเอิญ ผ่านมาพบเห็นร่องรอยพิรุธในตัวไส้ศึกฮองตงที่กำลังส่งข่าวลับออกไป จึงถูกฮองตงสังหารปิดปากไปเสียก่อน
สมุนคนอื่นจึงเปลี่ยนภารกิจมาทำการไล่ล่าฆาตกรเพื่อล้างแค้นแทนหัวหน้าของพวกตน จูล่งที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า ตนเองเป็นต้นเหตุความวุ่นวายครั้งนั้น จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บให้หลบหนีไปด้วยกัน และได้ฝึกฝนสุดยอดวิชาในช่วงสั้นๆเพิ่มเติม
สุดท้ายแล้ว พวกโจรก็ตามมาพบจนได้ในช่วงเช้ามืด เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายทำให้จูล่งตัดสินใจผลักไสอาจารย์ที่ยังไม่รู้จักชื่อแซ่นั้นลงไปแม่น้ำใหญ่ หวังรักษาชีวิตให้รอดไว้ก่อน ส่วนตนเองยอมให้คนพรรคฟ้าเหลืองจับตัวกลับไปอีกครั้ง
แต่แทนที่จูล่งจะถูกฆ่าล้างแค้นให้กับม้าอ้วนยี่ผู้ตาย กลับได้เป็นลูกเลี้ยงของหัวหน้าโจรแทน และได้รับการยกย่องให้เป็นนายน้อย จนมันคุ้นเคยผูกพันกับรังโจรไปในที่สุด
ดังนั้น จะกล่าวว่า มันสำนึกในบุญคุณของอาจารย์หรือไม่นั้น ก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง เพราะเพียงถ่ายทอดวิชาให้ในช่วงเวลาสั้นๆ หากแต่จูล่งต้องการหาทางยอมแพ้อยู่แล้ว จึงเพียงยกเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงนี้มาเป็นทางออกที่สวยงามให้กับตนเองเท่านั้น
…
ทุกคนล้วนตกตะลึงในการกระทำอันนอกเหนือความคาดคิดของจูล่ง แต่ฮองตงอยู่ใกล้ที่สุด และมือเท้าว่องไวตามสัญชาตญาณนักธนู จึงโยนคันเกาทัณฑ์ตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง พลางประกาศก้อง “เราศิษย์อาจารย์ ขอถอนตัวจากการแข่งขัน ถือว่า ทั้งสองฝ่าย เสมอกันอีกครา”
ขงเบ้งรีบโบกมือกล่าวทักท้วง “ไม่ได้นะท่านฮองตง ท่านสมควรเป็นผู้ได้ชัย เพราะฝ่ายนั้นยอมแพ้ก่อนแล้ว”
ทุกคนมึนงงยิ่งนัก รอบแรก สองคนต่างแสวงหาชัยชนะ นึกไม่ถึง รอบสอง สองฝ่ายกลับแย่งกันยอมแพ้เสียได้ กองทหารรอบนอกส่งเสียงโห่ร้องอื้ออึงไปทั่วทั้งบริเวณ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องราวพิสดารเช่นนี้
ตันฮกคำนวนความเปลี่ยนแปลงแล้ว เห็นว่าฝ่ายตนได้เปรียบ จึงยกมือห้ามปราม “เอาเถิด ถือว่า ท่านฮองตง ท่านจูล่งถอนตัวจากการแข่งขันไปพร้อมกัน เราจะดำเนินการประลองรอบที่สามต่อไป หากฝ่ายใดได้ชัย ก็ถือว่า เป็นไปตามลิขิตฟ้าเถอะ”
เล่าปี่ ขงเบ้ง สบตากันไม่อาจกล่าววาจาใดๆ เพราะทุกสิ่งไม่เป็นไปตามแผนการที่ฝ่ายตนเองปรึกษากันไว้ก่อนแล้ว ส่วนกวนอูพยักหน้ารับคำไปตามที่กุนซือใหญ่ฝ่ายตนเสนอมา พร้อมกล่าวคำสำทับ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม” ทันที ทั้งสองจึงหมดหนทางหลีกเลี่ยงเสียแล้ว
…
กวนอูรู้สึกตัวว่าเป็นฝ่ายมีเปรียบ กำลังใกล้จะกลายเป็นผู้นำคนใหม่แล้ว จึงเริ่มคิดอ่านอย่างผู้นำ ไม่รีบร้อนรวบรัด และยังกริ่งเกรงว่า ฮองตงจูล่งจะวางตัวลำบาก จึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง เพื่อรักษาหน้าให้กับขุนพลทั้งสอง “ลูกศิษย์พึงให้ความเคารพต่ออาจารย์ผู้มีพระคุณ ส่วนอาจารย์ย่อมชื่นชมความสำเร็จของลูกศิษย์ ท่่านทั้งสองตัดสินใจเช่นนี้ นับว่าถูกต้องแล้ว ไม่ต้องกังวลใจไปดอก”
กวนอูยกถ้วยสุราเชื้อเชิญให้ทุกคนทั้งสองฝ่ายร่วมดื่มแสดงความยินดีให้กับสองศิษย์อาจารย์ที่ได้พบปะกัน ราวกับลืมเลือนไปว่า กำลังต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้หัวหน้าใหญ่กันอยู่ จนผ่านไปสามรอบ ค่อยลุกขึ้น คว้าง้าวใหญ่เดินออกไปกลางลานประลอง “มา มา จัดการให้เสร็จสิ้นกันไปสักที ใครจะเป็นตัวแทนในรอบที่สามนี้ เชิญเถิด”
เล่าปี่ ขงเบ้ง มองหน้ากันอีกครั้ง แล้วเป็นขงเบ้งที่ชิงผลักเก้าอี้ล้อหมุนลงไปในลานประลองก่อน ชูมือแสดงท่าทีว่าไม่ได้จะประลองด้วย แต่ขอพูดคุยเป็นการลับเพียงสองคน กวนอูจึงพยักหน้าให้เข้ามาใกล้ๆ ตันฮกขยับจะเข้ามาฟังด้วย แต่กวนอูโบกมือห้ามไว้ เพราะอยากรู้เช่นกันว่า กุนซือมังกรซ่อนจะมาไม้ไหนกัน
ขงเบ้งจึงค่อยกล่าวเบาๆให้พอได้ยินแค่สองคน “เรามีความลับสำคัญจะแจ้งให้ท่านรับทราบไว้ก่อน ที่จริงแล้ว ท่านเล่าปี่รับรู้มาโดยตลอดว่า อาเต๊าเป็นลูกที่เกิดจากกำฮูหยินกับชายอื่น มิใช่ลูกแท้ๆของเขา แต่เขาก็ยังดูแลเอาใจใส่มาตลอดหลายปี เพียงเพื่อรอให้ถึงวันนี้...” ขงเบ้งทิ้งเสียงเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อ “...ก่อนออกเดินทาง ท่านเล่าปี่สั่งความไว้กับเหล่าคนสนิท หากเขาเป็นอะไรไปแบบไม่ชอบมาพากล ให้ลงมือสังหารอาเต๊า และกวนหิน เสียในทันที เรื่องนี้ ท่านเล่าปี่ไม่ได้บอกกับผู้ใด เพียงแต่คนสนิทนั้นมาขอความเห็น และคำยืนยันจากข้าเป็นการลับเท่านั้น”
กวนอูหน้าซีดเซียว รู้สึกร้อนวูบภายในท้องขึ้นมาในทันที คำกล่าวของขงเบ้งล้วนแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น ความลับระหว่างตัวมันกับกำฮูหยิน บิฮูหยินนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่มันรู้สึกผิดต่อเล่าปี่มาโดยตลอด แต่ยังดีที่พี่ใหญ่เหมือนไม่รู้เรื่องราวอื้อฉาวนี้ และตัวมันเองก็ลอบผูกพันอยู่กับอาเต๊ามานาน ยิ่งกว่ากวนหิน ซึ่งเป็นเพียงลูกเลี้่ยงเสียด้วยซ้ำ
“เป็นบิต๊ก บิฮอง แน่แท้ มีแต่มันสองคนที่อยู่ด้วยในเหตุการณ์ครั้งนั้น และใกล้ชิดพอที่จะบอกกล่าวให้พี่ใหญ่เชื่อถือได้ พวกมันคงแอบคาบข่าวไปบอกเล่าให้พี่ใหญ่ฟังจนได้” กวนอูคิดตามในใจ ยิ่งตอกย้ำความเป็นไปได้ของเรื่องราวมากขึ้น จนพลอยเชื่อคำพูดของขงเบ้งอย่างสนิทใจ จนสีหน้าดูคล้ายว้าวุ่น เคร่งเครียดยิ่งขึ้น
ขงเบ้งเห็นว่า ถ้อยคำหลอกลวงได้ผลเป็นไปตามคาด จึงค่อยๆถอยฉากออกไป “อย่าลืมนะท่าน ท่านเล่าปี่ต้องไม่ได้รับอันตราย มิฉะนั้น เด็กน้อยทั้งสองจะตายอย่างไม่ทันรู้ตัว”
ขงเบ้ง-จูกัดเหลียง นึกกระหยิ่มใจที่ไม่ได้เปิดโปงความเป็นมาที่แท้จริงของอาเต๊าให้ใครได้ทราบ อาเต๊าตัวจริงตายไปตั้งแต่การอพยพในครั้งนั้นด้วยน้ำมือของเล่าปี่เอง แสดงว่า เล่าปี่รับรู้เรื่องราวอื้อฉาวมาโดยตลอด
ส่วนอาเต๊าคนที่สอง คือ ลูกคนแรกของมันเองที่สับเปลี่ยนตัวเข้าไปแทนแบบหวังผลประโยชน์ แต่สุดท้าย ลูกของมันกลับกลายไปเป็นโจหิมที่ไม่เอาไหนไปเสียได้ แสดงว่า จูล่งต้องเป็นคนลงมือสับเปลี่ยนทารกตั้งแต่เมื่อครั้งฝ่าทัพออกมา มันจึงสั่งให้สังหารโจหิมทิ้งไปให้หมดสิ้นความกังวลใจ
และ มันจึงคาดเดาว่า อาเต๊าคนนี้ คือ อาเต๊าคนที่สาม เป็นตัวปลอมอีกคนที่ถูกจูล่งนำตัวกลับมาจากเมืองหลวง ซึ่งสมควรจะเป็นลูกคนสุดท้องของโจโฉกับนางเปียนสี เด็กทารกที่เกิดมาในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง (รายละเอียดอยู่ในภาค 3)
…
เล่าปี่เดินสวนทางกันกับขงเบ้งที่กำลังกลับขึ้นไปที่ศาลาพักร้อน ขงเบ้งแอบกระซิบเพิ่มเติมให้เป็นข้อมูล “กวนอูถูกข้าน้อยชี้แจงข้อดีเสีย ไม่ให้มีความคิดทำร้ายต่อนายท่านแล้ว นายท่านไม่ต้องพูดจาอันใดเพิ่มเติม เชิญลงมือให้เต็มที่ เผื่อว่าจะได้ชัยชนะ”
เล่าปี่ใจชื้นขึ้นในทันที เมื่อแรกยังคิดว่า จะเปิดโปงเรืื่องลับระหว่างน้องรองกับเมียทั้งสอง เพื่อให้กวนอูเกิดความละอายต่อหน้าคนทั้งปวง แต่ในเมื่อขงเบ้งมาว่ากล่าวเช่นนี้ มันก็จะเก็บไม้ตายเอาไว้ก่อน ลองดูว่า ตนเองยังพอจะเอาชนะต่อฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่
เมื่อมีไม้หนึ่งไม้สองอยู่ในความคิดแล้ว เล่าปี่จึงก้าวลงจากเนินอย่างองอาจสง่างาม จนกระทั่งหยุดยืนตรงหน้าของกวนอู ค่อยเริ่มชักกระบี่คู่มือออกอย่างแช่มช้า ไม่เสียทีที่เป็นจอมคนแห่งยุคสมัยคนหนึ่ง
แต่แล้ว กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากระยะไกลอย่างกระทันหัน “ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องสนุกสนานเช่นนี้ จะขาดเรา ขุนพลฟ้าคำราม เตียวหุยไปได้อย่างไรกัน”
คลื่นเสียงดังก้องมาแต่ไกล จากคำแรกที่เสียงคล้ายอยู่ห่างไกลยิ่งนัก แต่พอถึงคำสุดท้าย พลังเสียงก็ดังสะท้านหูคนทั้งบริเวณ พร้อมกับตัวคนกล่าวก็วิ่งทะยานมาจนถึงลานประลองแล้ว
เล่าปี่รู้สึกยินดีจนออกนอกหน้า รีบสวมกอดผู้ที่มาใหม่ที่หายหน้าไปอย่างกระทันหันเสียเนิ่นนาน จนตนเองกังวลใจมาโดยตลอดว่า น้องสามจะหันไปสวามิภักดิ์กับเจ้านครคนอื่นไปเสียแล้ว “น้องสาม ในที่สุด เจ้าก็มาแล้ว พี่คิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
แน่นอนว่าเล่าปี่ย่อมยินดีเป็นที่สุด ตัวมันลงมือเอง โอกาสชนะมีเพียงน้อยนิด แต่หากเป็นน้องสามมาช่วยเช่นนี้ โอกาสจะกลับกลายเป็นก้ำกึ่งสูสีกันแล้ว
“ฮ่าฮ่า น้องสามขออาสาลงมือสั่งสอนพี่รองแทนพี่ใหญ่สักครา ลองดูสิว่า จันทร์พิฆาตหรือฟ้าคำราม ใครจะเหนือกว่ากัน” เตียวหุยพูดเสียงดัง พลางมองไปทางศาลาพักร้อนด้านบน “พี่น้องคนไหนใช้ทวนอยู่ รีบส่งมาให้ข้าหยิบยืมใช้สักอันเถิด”
ที่แท้ เตียวหุยเร่งร้อนเดินทาง ถึงกับละทิ้งทวนอสรพิษ เพื่อให้เดินทางได้รวดเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง ม้าเฉียวมองจูล่งซึ่งปกติใช้ทวนยาวเช่นกัน ก็นึกได้ว่าวันนี้จูล่งถือดาบสีดำใหญ่มาใช้ต่อสู้ จึงยกทวนทมิฬในมือขึ้นถามไถ่ “พี่เตียวหุย สามารถรับมือกับทวนแข็งกระด้าง อาวุธเดิมของเตียวหยิมได้หรือไม่เล่า”
เตียวหุยรีบพยักหน้า แอบยินดีในใจ เพราะวางแผนไว้ล่วงหน้าที่จะใช้ความได้เปรียบจากทวนทมิฬมาสยบง้าวมังกรเขียวของกวนอูอยู่แล้ว ม้าเฉียวจึงส่งทวนทมิฬให้ทหารเลวนำมาให้กับเตียวหุยในทันที
คนพร้อม ใจพร้อม อาวุธพร้อม เตียวหุยจึงหันมาสบตากับกวนอูที่ยังสับสนใจกับคำพูดของขงเบ้งอยู่ไม่คลาย “มาเถิด พี่รอง ถึงเวลาประลองฝีมือของเราสองคนแล้ว”
ภาพการฝึกสอนกระบวนท่าง้าวสยบมังกรให้กับกวนอูเมื่อหลายสิบปีก่อน สะท้อนขึ้นมาในความคิดของเตียวหุย-นางแอ่นอีกครั้ง เป็นตัวมันเองที่ถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้กับฝ่ายตรงข้าม แต่หลายปีที่ผ่านมา กวนอูพัฒนาตนเองไปมากแล้ว ปรับแต่งกระบวนท่าไปมากมาย สมกับเป็นอัจฉริยะสายบู๊อีกคนหนึ่งในยุคสามก๊กอย่างแท้จริง
กวนอูคล้ายฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พิจารณาคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว กลับปักง้าวมังกรเขียวอันเลื่องชื่อ ลงกับพื้นดิน และก้มลงเก็บเอาดาบอสูรที่เมื่อครู่ จูล่งโยนทิ้งไว้กับพื้นขึ้นมาถือกวัดแกว่งไปมาแทน
“ในเมื่อท่านไม่ได้ใช้ทวนอสรพิษคู่มือ เราก็จะไม่ใช้ง้าวมังกรเขียวเช่นกัน ท่านใช้ทวนแข็งกระด้างของม้าเฉียว เราจะใช้ดาบใหญ่หนาของจูล่ง เยี่ยงนี้ ค่อยสมศักดิ์ศรีของเราพี่น้องทั้งสอง ใครแพ้ชนะ ปล่อยให้ฟ้าดินลิขิตเถิด” กวนอูอธิบายความคิดอย่างห้าวหาญ สมกับเป็นคนจริงที่พร้อมจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำคนใหม่
แต่ภายในใจกวนอูย่อมประเมินแล้วว่า เป็นเตียวหุยที่สอนวิชาสยบมังกรให้กับตนเอง ถึงแม้กระบวนท่าจะถูกปรับแต่งไปแล้ว แต่เค้าโครงย่อมหลงเหลืออยู่ให้จับทางได้ อีกทั้งอาวุธยาวเหมาะกับการต่อสู้บนหลังม้ามากกว่า มันจึงเลือกที่จะใช้ออกด้วยดาบใหญ่ซึ่งพลิกแพลงได้ดีกว่าในการต่อสู้บนพื้นดินเช่นนี้ เปลี่ยนความแตกต่างให้กลายเป็นจุดเด่น กลบเกลื่อนความเสียเปรียบ จึงเป็นการพลิกแพลงตามสถานการณ์ของวิถีจอมยุทธ์
เตียวหุยทำตาเป็นประกาย คาดเดาความคิดของกวนอูได้เช่นกัน “สมแล้วที่ท่านเป็นผู้เหี้ยมหาญแห่งยุคสมัยนี้ โลกจะต้องจารึกนามของท่านไว้ตลอดกาล”
ในที่สุด การต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างขุนพลจันทร์พิฆาต และขุนพลฟ้าคำราม สองพี่น้องร่วมคำสาบานก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสักขีพยานมากมายล้อมรอบเนินที่ไร้ชื่อเสียงแห่งนี้ หนึ่งทวน หนึ่งดาบ ต่างถูกตั้งขึ้นสู่ท้องฟ้าในท่วงท่าคารวะต่อกัน กระตุ้นความรู้สึกของกลุ่มคนที่เฝ้าดูชมจนตื่นเต้นเร้าใจยิ่งนัก
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 5 - พยัคฆ์หยกนรกทักษิณ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย