Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
10 ส.ค. 2021 เวลา 01:15 • นิยาย เรื่องสั้น
5.26. กำราบเทพนักรบ
กวนเป๋ง จิวฉอง เบ้งตัด จารชนจอมเลือกข้าง
การต่อสู้ระหว่างกวนอูกับเตียวหุยเริ่มขึ้นแล้ว นางแอ่น-เตียวหุย เงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่เร่ิมมืดครึ้มด้วยเมฆหนาทึบ พลางสะบัดเหวี่ยงทวนทมิฬไปเบื้องหน้า ปกติปลายทวนจะกวัดแกว่งเป็นวงกว้าง หากแต่ทวนที่แข็งกระด้างนี้ กลับตอบสนองอย่างทื่อด้าน จนรู้สึกถึงความแตกต่างได้จริงๆ
กวนอูเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้เช่นกัน กระบวนท่าทวนอสรพิษของเตียวหุย ปกติจะว่องไวรวดเร็ว คล้ายการเคลื่อนไหวของงูใหญ่ แต่บัดนี้ งูใหญ่กลับเชื่องช้า ไม่ปราดเปรียวตามที่ควรจะเป็น มันจึงกวัดแกว่งดาบอสูรเข้าประชิด เพื่อใช้ความได้เปรียบของอาวุธสั้นเข้าคลุกวงใน
เสียงติงตังดังขึ้นถี่ยิบ การปะทะกันครั้งแรก เตียวหุยตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเห็นได้ชัด ดาบอสูรหมุนวนเป็นวงกว้างทางด้านนอก โจมตีใส่ในทุกทิศทาง ในขณะที่ทวนทมิฬถูกหันเบี่ยงไปอย่างจำยอม แต่พอเนิ่นนานไปสักพักหนึ่งแล้ว กวนอูกลับสังเกตพบว่า เตียวหุยเอาแต่ตั้งรับ ไม่มีความคิดจู่โจม หรือว่า..
“นี่เจ้าคิดจะเรียนรู้กระบวนท่าดาบของข้าหรือไร จึงไม่ยอมตอบโต้อะไรออกมาบ้าง” กวนอูตวาดถามอย่างคนมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่รองเสียเวลาค้นคิดกระบวนท่าเหล่านี้มานานหลายปี ข้าก็เลยขอศึกษาบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง เอาเถอะ รับมือข้าบ้างแล้วกัน” เตียวหุยกล่าวยั่วให้โกรธ แล้วพลิกมือเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นโจมตีกลับไปบ้างแล้ว
ทวนที่แรกเริ่ม ดูเชื่องช้าอืดอาด กลับกลายเป็นรวดเร็วพลิกแพลง ไม่เหลือเค้ารางความกระด้างอีกต่อไป จนแม้แต่จูล่ง ม้าเฉียว ที่เป็นผู้ชำนาญการใช้ทวน ยังต้องแอบร่ำร้องในใจ สำนึกตัวว่า ยังมิอาจก้าวถึงพลังฝีมือขั้นนี้ได้
พอเตียวหุยเริ่มเปลี่ยนแนวทางจากรับเป็นรุก ก็สร้างความแตกตื่นใจให้กวนอูได้ในทันที ต้องรีบตั้งสมาธิใช้กระบวนท่าสยบมังกรทั้งรูปแบบดั้งเดิม และประยุกต์ใหม่ ไปจนถึงกระบวนท่าขั้นสูงที่น้อยครั้งจะได้ใช้ ออกมารับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต จนมาถึงจังหวะสำคัญที่จะชี้ชะตา เป็นกระบวนท่า “มังกรสะท้านไตรภพ”
ดาบอสูรถูกเหวี่ยงหมุนในระยะใกล้ ราวกับวงเสี้ยวพระจันทร์พุ่งเข้าใส่เป้าหมาย พร้อมกับสองฝ่ามือที่ฟาดติดตามมาอย่างรวดเร็วรุนแรง แทรกเข้ามาในจุดอ่อนของทวนที่เป็นอาวุธยาว หากเตียวหุยดึงดันไม่ปล่อยมือ ก็จะถูกดาบฟันมือขาดไปตรงนั้นทันที จึงคล้ายเป็นการบีบบังคับให้ทิ้งอาวุธ และรับพลังฝ่ามือโดยตรง
แต่เตียวหุยคล้ายกับเตรียมพร้อมรับมือไว้เนิ่นนานแล้ว จึงไม่รอคอยให้อาวุธมาถึงตัว กลับผลักทวนส่งออกมาข้างหน้า พร้อมใช้พลังเสียงราชสีห์คำรามตวาดสวนคืน เห็นดาบอสูรและทวนทมิฬกระเด็นไปคนละทิศทางกัน พร้อมกับกวนอูที่ชะงักมือไปวูบหนึ่งด้วยกำแพงเสียงที่ทรงพลัง และความแตกตื่นใจที่เห็นอาวุธกระเด็นออกมาอย่างผิดคาด
ในช่วงพริบตาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง เตียวหุยก็ผลักฝ่ามือทั้งสองไปเบื้องหน้าเช่นกัน กลับเลียนแบบคล้ายกระบวนท่า “มังกรสะท้านไตรภพ” สนองคืนใส่ผู้ที่คิดค้นกระบวนท่านี้เสียแล้ว
เมื่อผู้เริ่มก่อน พลังลดถอยลง ผู้มาหลัง เร่งพลังสูงสุด จึงกลายเป็นเตียวหุยชิงฟาดพลังใส่กวนอูเต็มแรงเข้าที่ฝ่ามือทั้งสอง จนต้องถอยหลังกลับไปสามสี่ก้าว เลือดลมพลุ่งพล่านไปวูบหนึ่ง หากเตียวหุยไม่ยั้งมือ จงใจฟาดใส่กลางหน้าอก หรือใบหน้าแทน อาจจะสร้างความบอบช้ำได้ยิ่งขึ้นมากไปกว่านี้อีกด้วยซ้ำ
ท้องฟ้าร่ำไห้ให้กับความพ่ายแพ้ กวนอูงุนงงต่อการพลาดพลั้งเสียทีในกระบวนท่าของตนเอง เผอิญรู้สึกถึงทวนทมิฬที่ตกอยู่ด้านข้าง จึงใช้เท้าสะกิดทวนขึ้นมา ยกขึ้นฟาดไปเบื้องหน้า เพื่อกลบเกลื่อนความพ่ายแพ้ และชดเชยต่อความขุ่นเคืองใจที่มีต่อน้องร่วมสาบาน แต่มิได้หมายใจจะทำร้ายให้บาดเจ็บแต่อย่างใด
นางแอ่น-เตียวหุย เป็นคนละเอียดอ่อน จึงพอคาดหมายความคิดของพี่รองกวนอูได้เป็นอย่างดี จึงย่อตัวลงหยิบดาบอสูรมาเหวี่ยงสกัดกลับไป ทั้งๆที่รู้ถึงผลที่จะตามมา คล้ายจงใจจะทำลายอาวุธอาถรรพ์นี้
เสียงเปรี๊ยะดังแปลกแตกต่างกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แทนที่ดาบอสูรจะหักครึ่งไปตามที่คาดไว้ กลับเป็นทั้งดาบอสูรและทวนทมิฬ ที่แตกละเอียดเฉพาะโลหะภายนอกราวกับเปลือกไข่กระเทาะออก เผยให้เห็นส่ิงของที่ซุกซ่อนอยู่ภายในมาเนิ่นนาน หลุดกระเด็นออกมาจากเปลือกโลหะห่อหุ้มที่แตกสลาย และลอยคว้างตามแรงเหวี่ยงกระแทกที่เกิดขึ้น กวนอู เตียวหุย ล้วนมีมือเท้าว่องไว จึงคว้าจับสิ่งของที่หลุดออกมาถือไว้ คล้ายโยนสลับวัตถุที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอาวุธเดิมให้ซึ่งกันและกัน
เห็นกวนอูยังคงถือเป็นดาบใหญ่วาววับ ขนาดกำลังพอเหมาะกับมือ มีลวดลายแกะสลักบนตัวดาบเป็นรูปมังกรทะยานเมฆอย่างสวยงาม แปลกตากว่าการหล่อหลอมโลหะในยุคสมัยโบราณนี้ แสดงว่า ในดาบมีดาบ ซุกซ่อนอยู่
ส่วนเตียวหุยกลับถือเป็นไม้พลองสีเขียวราวกับหยกใส ความยาวเพียงสามเชียะเศษ ที่ซ่อนอยู่ภายในทวนยาว ไม้พลองจะเป็นอาวุธยาวก็ไม่ใช่ จะเป็นอาวุธสั้นก็ไม่เชิง ซ้ำแล้ว ยังอ่อนหยุ่นได้ตามแรงเหวี่ยง ไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนทวนทมิฬแล้ว
เตียวหุยนึกออกในทันทีว่า นี่คงเป็นลูกเล่นอีกชุดหนึ่งของอัจฉริยะนักประดิษฐ์ หัวขวาน ที่ย้อนเวลากลับไปเป็นเตียวล่อในอดีตกาล คงจะแอบเก็บดาบลายมังกรของเตียวหยุน-จูล่ง หลอมด้วยโลหะพิเศษ ทำเป็นดาบอสูรเก็บซุกซ่อนไว้ในขุมทรัพย์ฟ้าเหลือง และหลอมทวนทมิฬด้วยวัสดุเดียวกันอีกชิ้นหนึ่ง ซ่อนไม้พลองสีหยกนี้เช่นกัน แล้วมอบทวนไว้ให้เตียวหยิมใช้เป็นอาวุธ เพราะคำนวนเอาไว้ว่า สุดท้ายแล้ว อาวุธพิสดารนี้ จะกลับมาตกเป็นของคนหน่วยปักษาสวรรค์ได้ในที่สุด
กวนอูระงับความประหลาดใจเอาไว้ชั่วคราว ในเมื่อการประลองยังไม่ยุติชัดเจน สายฝนที่สาดซัดทำให้บดบังผลการต่อสู้จากคนดูระยะไกล จึงยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ รีบสะบัดดาบลายมังกรเข้าใส่เตียวหุยอีกครั้งด้วยท่าทางที่คล่องมือยิ่งกว่าเดิม เพราะตัดปัญหาเรื่องความเทอะทะของดาบออกไป
แต่คราวนี้ เตียวหุยกลับเหมือนได้อาวุธคู่ใจ สะบัดเหวี่ยงไม้พลองครึ่งสั้นครึ่งยาวด้วยความแคล่วคล่อง เดี๋ยวใช้ออกด้วยกระบวนท่าทวนแบบอาวุธยาว เดี๋ยวเปลี่ยนใช้เป็นกระบวนท่าดาบกระบี่แบบอาวุธสั้น รุกไล่จนกวนอูมือไม้ปั่นป่วน สุดท้าย ถูกตีมือเต็มแรง จนดาบใหญ่หลุดออกจากมือไป
แต่กวนอูไม่หยุดยั้ง กลับทำเสมือนละทิ้งดาบใหญ่ คว้าเอาง้าวจันทร์เสี้ยวขึ้นมาต่อสู้อย่างต่อเนื่องต่อไป แต่เตียวหุยยังคงรุกไล่ต่อไปอย่างรวดเร็ว เห็นไม้พลองหมุนวน ราวกับมีพลองเป็นสิบๆอัน รายล้อมอยู่รอบตัวกวนอู บีบบังคับให้ง้าวเบี่ยงเบนทิศทางไปตามที่ต้องการอย่างง่ายดาย จนกวนอูไม่อาจใช้กระบวนท่าได้ถึงที่สุด สุดท้าย เตียวหุยค่อยตวาดคำว่า “อยู่” ไม้พลองไปหยุดยั้งอยู่ที่ลำคอของขุนพลหน้าแดงคล้ำแล้ว
เสียงขงเบ้งรีบประกาศดังขึ้นในทันที “ผู้ชนะคือ ขุนพลฟ้าคำราม ท่านเตียวหุย ผู้เกรียงไกร” ในขณะที่เตียวหุยทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะต่อกวนอูพี่รอง จนกวนอูละอายใจ ต้องรีบก้มลงประคองตัวน้องเล็กขึ้นยืน ราวกับเป็นการประลองฉันท์พี่น้องจริงๆ ไม่ใช่การแย่งชิงตำแหน่งผู้นำแต่อย่างใด
สายฝนขาดเม็ดไปพร้อมกับการประลองของสองจอมยุทธ์ เล่าปี่จึงรีบแสดงความเป็นผู้นำด้วยใบหน้าที่ระรื่นอีกครั้ง ก้าวเดินลงมาจากศาลาพักร้อน โอบกอดสองพี่น้องร่วมสาบานเอาไว้ พลางกล่าวด้วยเสียงอันดัง “หากเราสามพี่น้องร่วมกันหยุดยั้งทรราชย์ ไม่ว่าใครจะเป็นหัวหน้่า ก็สามารถกระทำได้ทั้งสิ้่น ต่อแต่นี้ไป พวกเราจงเร่งกำจัดโจโฉ กอบกู้ราชวงศ์ฮั่นโดยเร็วเถิด”
…
เหล่ากุนซือขุนพล อันมี ขงเบ้ง ฮองตง จูล่ง ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน ม้าต้าย ต่างลดละความบาดหมางต่อกัน จูงมือเดินลงมารวมกลุ่มกับสามพี่น้อง ทักทายยกย่องกันไปมา หลงเหลือเพียงตันฮกที่ยังรั้งรออยู่ที่โต๊ะตั่งเฉพาะตัวเช่นเดิม หรุบตาลงคล้ายใช้ความคิด
ด้านล่าง ขณะที่ทหารจำนวนหนึ่ง นำโดยเล่าฮอง เบ้งตัด ขยับเข้ามากั้นศาลาพักร้อนบนเนินสูงออกจากลานประลอง กวนเป๋ง จิวฉอง นำขบวนบีบกระหนาบเข้ามาด้านข้างกลายเป็นวงล้อมขนาดใหญ่ล้อมกั้นลานประลองที่มีเพียงเหล่านักรบแห่งแดนเสฉวนอยู่ภายใน ทำให้เหล่าผู้กล้าต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัยใจ
ตันฮกจึงยืนขึ้นเอ่ยวาจาออกมาจากศาลา “พวกท่านทั้งหลาย แม้จะเป็นนักรบนักคิดที่มีชื่อเสียง แต่การจะต้านรับกองทหารเกงจิ๋ว กังแฮ และซงหยงพร้อมกันถึงสามกองทัพเช่นนี้ คงรับมือได้ยากแล้ว เราตันฮกขอเสนอให้พวกท่านยินยอมปลดอาวุธ ยอมรับการจับกุมจากพวกเราแต่โดยดี เพื่อรักษาชีวิตไว้กอบกู้แผ่นดินฮั่นกันต่อไป เราจะขอเป็นผู้นำพันธมิตรแห่งฟากฟ้าให้แก่พวกท่านเอง”
กวนอูตาร้อนผ่าว รู้สึกคล้ายโดนหักหลังซึ่งหน้าก้าวขึ้นมายืนด้านหน้า กราดสายตาเข้าใส่ลูกน้องเก่า จนกวนเป๋ง จิวฉองต้องหลบสายตาด้วยความละอายใจ เว้นแต่เล่าฮองที่จ้องตอบอย่างแข็งกร้าว ทำให้พอคาดเดาท่าทีฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง จึงหันมากล่าวกับตันฮก อดีตกุนซือของตนเอง “เจ้าถือดีอย่างไร ถึงกล้าหาญกระทำการเช่นนี้ แม้พวกเราจะมีไม่กี่คน แต่ก็เพียงพอจะสังหารพวกเจ้าได้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง เจ้ามันบ้าไปแล้วชัดๆ”
“มีประโยชน์ร่วมกันก็เป็นมิตรสหาย เกิดขัดแย้งต่อกันก็คือศัตรู ในเมื่อตัวท่านไม่อาจรุดหน้าไปตามปณิธานที่วางไว้แล้ว เราก็จนใจที่จะต้องตัดท่านออกจากแผนการใหญ่ของเราแล้ว เราขอเป็นผู้ที่รวบอำนาจขุนกำลังเกงจิ๋ว เสฉวนแทน” ตันฮกพูดจบ ก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เตรียมลงมือ สายตาจับจ้องไปยังบุคคลที่เป็นตัวแปรสำคัญ หากเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ คงเกิดการปะทะนองเลือดกันอย่างรุนแรงแล้ว
พวกเล่าปี่เห็นกองทัพเริ่มขยับแถวบีบเข้ามาใกล้ลานประลองเข้าทุกที จนรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ ทุกคนต่างหยิบเอาอาวุธประจำตัวออกมาเตรียมพร้อม เจ็ดขุนพลชั้นดีหันหลังล้อมเล่าปี่กับขงเบ้งไว้ภายในวงกลมอย่างหลวมๆทันที เห็น กวนอูถือง้าวมังกรเขียว เตียวหุยถือไม้พลองสีหยก จูล่งถือดาบลายมังกร ฮองตงถือคันเกาทัณฑ์ อุยเอี๋ยนถือง้าวคู่ที่หักไปครึ่งท่อนใช้เป็นพลองคู่แทน จึงมีแต่ม้าเฉียวที่ขาดอาวุธ ม้าต้ายจึงส่งทวนคู่มือให้ไปใช้แทนก่อน พลางชักกระบี่สะพายติดตัวขึ้นมาใช้แทน รวมถึงคนภายในวงล้อมอย่างเล่าปี่ยังชักกระบี่คู่ออกมาเตรียมพร้อม จนกลายเป็นภาพการเตรียมพร้อมของยอดขุนพลชื่อดังที่แปลกตา และไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
…
คงมีแต่ขงเบ้งที่ยังนั่งบนเก้าอี้ล้อหมุน วางเก็บพัดขนนกในช่องด้านข้าง พร้อมหยิบเอาพิณกู่ฉินออกมาใต้เก้าอี้ขึ้นมาวางไว้บนหน้าตัก สร้างความฉงนสงสัยให้กับคนทั้งปวง รอบกายกำลังจะลงมือต่อสู้กันอยู่แล้ว ขงเบ้งกลับเกิดความคิดบรรเลงเพลงผีสางอันใด
เมื่อทุกสายตาเริ่มจับจ้องมองไปยังท่าทีของกุนซือมังกรซ่อน ขงเบ้งจึงค่อยกล่าววาจาด้วยพลังเสียงลมปราณให้ได้ยินทั่วกัน “ก่อนจะถึงจุดแตกหักกันในวันนี้ เรากุนซือมังกรซ่อนขอบรรเลงเพลงกว่างหลิงส่านเป็นการรำลึกถึงความหลังให้กับทุกท่านในที่นี้ เพราะในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ก็คงต้องขึ้นกับฟ้าดินลิขิตแล้ว”
ขงเบ้งกรีดนิ้วผ่านสายพิณ เร่งเร้าด้วยพลังลมปราณ ถึงกับเร่งเสียงพิณให้ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณเนินดอกไม้ เหล่าบุปผาร่วงหล่นโปรยปราย นกแมลงบินว่อนขึ้นตามสัญชาตณาณสัตว์ สร้างความตระหนกตกใจให้กับทหารในกองทัพทั้งสาม
บทเพลงสำเนียงอสูรบรรเลงต่อไป และแล้ว เริ่มมีทหารบางคนทรุดตัวลง กุมท้องครวญครางคล้ายปวดภายในอย่างหนัก จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนคนทรุดตัวลงกล้ิงเกลือกมากมายเกินกว่าคนที่ยังทนทานไหว แต่เรียกได้ว่า ทุกผู้คนล้วนรู้สึกความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง เพียงแต่ว่าจะทนทานได้สักแค่ไหน หรือว่า จะเกี่ยวข้องกับการที่ขงเบ้งบรรเลงเพลงพิณด้วย
ขงเบ้งเผยอยิ้มต่อศิษย์พี่ ตันฮก พลางกล่าวตอกย้ำโดยไม่หยุดการบรรเลงพิณ “ดนตรีบทนี้มีเวทมนต์คุณไสย ครั้งแรกที่เรารับฟังมาจากท่านจิวยี่ นึกว่า เป็นเพียงบทเพลงสามัญทั่วไป หากแต่พอเราได้ศึกษาลึกซึ้ง กลับพานพบความนัย เป็นสุดยอดวิชาดนตรีกระชากวิญญาณที่เคยเล่าขานมาแต่โบราณ เพียงบรรเลงได้ถูกต้อง จะสามารถสยบคนได้ทั้งกองทัพ หรือมุ่งจู่โจมสังหารเฉพาะคนก็ยังทำได้ ตันฮกเอย ท่านโชคดียิ่งนัก คงจะได้เป็นคนแรกที่ลิ้มรสสุดยอดวิชานี้แล้ว”
ตันฮกเริ่มมีเหงื่อซึมออกจากหน้าผาก ตัวเองยังไม่ได้รับรู้ความผิดปกติอันใด แต่สังเกตเห็นสมุนสำคัญของตน อันมี เล่าฮอง เบ้งตัด กวนเป๋ง จิวฉอง ล้วนแต่ออกอาการกระสับกระส่ายเช่นกัน เพียงแต่ยังฝืนสังขารเอาไว้ได้ จึงมองไปทางกลุ่มเล่าปี่ กลับไม่เห็นมีผู้ใดแสดงอาการ แสดงว่า มีแต่ฝ่ายตนที่พลาดท่าเสียทีกับเวทมนต์คุณไสยครั้งนี้เสียแล้ว
แต่ขึ้นชื่อว่า กุนซือกิเลนพิสดาร ย่อมจะหลงเหลือทางออกไว้ให้แก่ตนเองอยู่เสมอ ตันฮกรีบกวักมือเรียกเล่าฮอง เบ้งตัด และทหารคนสนิทที่คุมกำลังอยู่ใกล้ตัว ให้เข้ามาในศาลา พลางตบมือลงกลางโต๊ะตั่ง ทันใดนั้น ศาลาพักร้อนกลับยุบตัวพังทลายลงกับพื้น ฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่วเนิน หลงเหลือเพียงซากหลังคาปกคลุมบริเวณที่เป็นศาลาพักร้อนเดิม แสดงว่า ตันฮกคงตระเตรียมขุดอุโมงค์เอาไว้ด้านใต้ศาลาล่วงหน้า เผื่อไว้เป็นช่องทางหลบหนีไปแล้ว
ขงเบ้งหยุดมือแล้ว เมื่อตัวการสำคัญจากไป ลูกสมุนที่เหลือก็ไร้ความหมาย ม้าต้าย อุยเอี๋ยนรีบแยกย้ายไปควบคุมตัวกวนเป๋๋ง จิวฉอง ที่ยกมือยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ส่วนกวนอูก็สั่งการให้ผู้คุมกองทัพระดับรองยอมให้ความร่วมมือ กลับคืนเข้าสู่ฝ่ายเล่าปี่อีกครั้ง เวลาผ่านพ้นไปสักพักหนึ่ง เหล่าทหารต่างค่อยคลายความเจ็บปวดลง และลุกขึ้นยืนได้เหมือนปกติ คล้ายไม่เคยมีอาการใดๆมาก่อนเลย
…
เริ่มเข้าสู่ช่วงสนธยาแล้ว ท้องฟ้าที่ครึ้มฝนมาตลอดบ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม แดดสุดท้ายส่องกระทบเนินกว้างที่มีดอกไม้ร่วงหล่นตามพื้นหญ้ามากมาย ตัดกันกับแสงสะท้อนตามเกราะเหล็ก และอาวุธของทหารกล้าที่เปรอะเปื้อนดินโคลน กลายเป็นภาพวาดอันสวยงาม แฝงไว้ซึ่งความห้าวหาญ และหดหู่
ขงเบ้ง-จูกัดเหลียงแอบโล่งอกที่แผนการลับประสพความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ก่อนเดินทางมาในครั้งนี้ มันย่อมคาดเดาได้ว่า ตันฮกจะมีลูกเล่นพิสดารแอบแฝงไว้ จึงสั่งการให้จูกัดจิ๋น น้องชาย กับคนของหุบเขามังกรซ่อน แอบติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพทั้งสามเมือง หากมีสิ่งบอกเหตุผิดปกติให้ลงมือวางยาชุดแรกในอาหารและน้ำดื่มในทันที และเมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุคับขัน ก็ให้ปล่อยควันยาระเหยเป็นชุดสอง เมื่อตัวยาทั้งสองผสมผสานกัน จะเกิดอาการผิดปกติที่ช่องท้อง เลียบแบบกลยุทธ์การวางยาสลบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเหตุการณ์ปล้นคุกชิงตัวนักโทษที่เมืองเตียงอันครั้งก่อน
ขงเบ้งนำเอากลยุทธ์ที่ร่ำลือมาพลิกแพลงแก้ไขสถานการณ์ แต่ต้องถ่วงเวลารั้งรอให้จูกัดจิ๋นกับพวกมีเวลาเพียงพอในการปล่อยควันยาจากจุดต้นลม และให้ตัวยาผสมผสานกันจนกว่าจะเริ่มออกฤทธิ์ ดังนั้น มันจึงยินยอมคล้อยตามตันฮกในการประลองฝีมือ ถ่วงเวลาไว้ให้ยาวนานที่สุด แล้วค่อยยกเอาเสียงพิณขึ้นมาเป็นข้อเบี่ยงเบนให้คนอื่นรู้สึกเกรงกลัวหมากพิสดารของตนเองต่อไปในภายภาคหน้า และปกปิดความเคลื่อนไหวของกลุ่มหุบเขามังกรซ่อนไว้เป็นหมากลับเช่นเดิม
…
เหตุการณ์ตึงเครียดเพิ่งเริ่มคลี่คลาย จู่ๆ ก็เกิดเสียงหัวเราะสลับกันกับเสียงร่ำไห้ดังขึ้นอย่างกระทันหัน มองเห็นจูล่งหน้าซีดเผือด ดวงตาเลื่อนลอยสีแดงฉาน ผมเผ้าหลุดลุ่ย กำลังกวัดแกว่งดาบลายมังกรไปมา ราวกับคลุ้มคลั่งเสียสติ จนผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดต้องรีบโดดหลบอาวุธกันอย่างพัลวัน คงมีแต่เตียวหุยที่คล้ายนึกเรื่องอันใดขึ้นมาได้ รีบพุ่งตัวเข้าไปขัดขวาง พร้อมใช้พลองปัดป้องไม่ให้จูล่งพลาดพลั้งทำร้ายพรรคพวกเดียวกันเอง
เตียวหุย-นางแอ่นทบทวนความคิดย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เตียวล่อ-หัวขวานบอกเล่าจุดกำเนิดของจูล่งครั้งก่อนนั้น จูล่งปรากฏกายขึ้น พร้อมดาบใหญ่อย่างกระทันหัน ท่ามกลางที่ประชุมของพรรคฟ้าเหลือง พลังฝีมือบวกดาบคมกล้า และความคลุ้มคลั่งสร้างความปั่นป่วนแก่เหล่าโจรร้าย จนเตียวก๊กสามพี่น้องต้องร่วมกันลงมือ จึงสามารถกำราบบุคคลลึกลับเอาไว้ได้ ในครั้งนี้ ดาบใหญ่กลับคืนสู่เจ้าของเดิม คงกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่อง จนจูล่งย้อนคืนสู่ความทรงจำดั้งเดิมอีกครา
เมื่อครู่ เตียวหุยเพิ่งใช้ไม้พลองสยบกวนอูในการประลองครั้งที่สามได้อย่างเหนือชั้น สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนทั้งบริเวณ แต่พอครั้งนี้ รับมือกับจูล่งที่เสียสติ กลับคล้ายหนักแรงกว่ามาก จนตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ตลอดเวลา และเริ่มเกิดบาดแผลขึ้นตามร่างกายแล้ว แสดงว่า เป็นการพลาดพลั้งอย่างแท้จริง มิใช่จงใจยั้งมือ เพื่อศึกษากระบวนท่าเหมือนเมื่อสักครู่นี้
ม้าเฉียว อุยเอี๋ยนที่ยังเลือดร้อนไฟแรง ไม่ใส่ใจเรื่องศักดิ์ศรีมากมายนัก จึงไม่รีรอ รีบใช้อาวุธที่ไม่คุ้นมือเข้าช่วยแก้ไขให้เตียวหุยอีกแรง แต่จูล่ง ยิ่งต่อสู้ยิ่งเข้มแข็ง ดาบลายมังกรในมือส่องแสงสะท้อนกับแสงแดดยามเย็น กลายเป็นคมดาบสีแดงฉานคล้ายเปลวเพลิง ถึงกับเร่งเร้ากระบวนท่าพิสดารออกมาเพิ่มเติม สร้างความปั่นป่วนให้กับขุนพลเลื่องชื่อทั้งสามได้เช่นเดิม โดยเฉพาะม้าเฉียวที่ยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ จนทำให้ทวนชั่วคราวของม้าเฉียว และง้าวกึ่งพิการของอุยเอี๋ยนหักสะบั้นไปพร้อมกัน
กวนอูเห็นว่า สถานการณ์หนักหน่วงคับขัน จึงค่อยก้าวเข้ามาช่วยรับมือแทนที่ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน ที่ล่าถอยออกไป เห็นสองพี่น้องร่วมสาบานที่เพิ่งประลองกันเสร็จหยกๆ มาช่วยกันกลุ้มรุมจูล่งได้อย่างสูสีมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้
ที่จริง ในอดีต สองพี่น้องกวนอู เตียวหุย เคยร่วมกันลงมือกับลิโป้สองครั้ง ครั้งแรก มีเล่าปี่ช่วยด้วยอีกแรงต่อหน้าผู้คนมากมายในศึกสิบแปดเจ้านคร ผลออกมาก้ำกึ่งสูสีกัน แต่เป็นเพราะเตียวหุยที่แสร้งออมมือ และลอบช่วยเหลือฝั่งตรงข้ามอย่างแนบเนียน ครั้งที่สอง เป็นการสังหารลิโป้ที่มีเพียงมือเปล่าต่อหน้าโจโฉ ก็มิอาจประเมินได้ เพราะลิโป้อยู่ในสภาวะจนตรอก ถูกผูกล่ามโซ่แบบนักโทษรอประหาร ดังนั้น ครั้งนี้ จึงเป็นการร่วมมือกันอย่างจริงจัง แต่ดูคล้ายกับว่า จูล่งที่คลุ้มคลั่งนี้ กลับเข้มแข็งเหนือกว่าช่วงเวลาที่แจ่มใสเสียอีก กระบวนท่าต่างๆของกวนอูเตียวหุย ยังไม่อาจทำร้ายจูล่งได้เลย จนกวนอูเตียวหุยต่างได้รับบาดแผลจากดาบใหญ่คนละแผลสองแผลแล้ว
ในที่สุด จูล่งถึงกับกระโดดลอยตัวขึ้น ใช้สองมือประคองดาบขึ้นเหนือหัว คล้ายจะออกกระบวนท่าที่รุนแรงตามมา ฮองตงที่จับตาอยู่ด้านนอก จึงตัดสินใจยิงเกาทัณฑ์เข้าสกัดกั้นเอาไว้ สองดอก สามดอก และห้าดอก อย่างต่อเนื่องกัน ทำให้จูล่งต้องบิดตัวกลางอากาศ เปลี่ยนกลับมาตั้งรับด้วยกระบวนมือเปล่าจับเกาทัณฑ์อีกครั้งหนึ่ง เพียงมือที่ว่างเปล่าข้างเดียวยังสามารถสยบกระบวนท่าเกาทัณฑ์ทั้งสามท่าได้อย่างง่ายดาย แถมยังพัวพันต่อสู้กับสองขุนพลพี่น้องได้อย่างต่อเนื่อง
ฮองตงจึงไม่รอช้าอีกต่อไป รีบใช้กระบวนท่าที่เคยปราบขุนพลเตียวหยิมอีกครั้ง เป็นเกาทัณฑ์ห้าดอก ตามด้วยดรรชนียิงตะวัน ซึ่งเปรียบเสมือนเกาทัณฑ์ไร้ลักษณ์อีกสองดอก มันตระหนักอยู่ในใจดีว่า ท่ามือเปล่าจับเกาทัณฑ์นั้นสามารถต้านทานเกาทัณฑ์ปกติได้ แต่ย่อมไม่อาจต้านเกาทัณฑ์ไร้ลักษณ์อย่างแน่นอน จึงเล็งดรรชนีไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างด้วยพลังเพียงสามสี่ส่วน เพื่อหวังจับกุมตัว มิใช่ทำให้พิการไปตลอดชีวิต
เห็นจูล่งทรุดตัวคุกเข่าลงกระทันหันตามแรงดรรชนี เตียวหุยกลับขยับตีซ้ำด้วยไม้พลอง โดนที่ขมับของจูล่งเต็มแรง จนทั้งร่างกระเด็นตามแรงฟาดเบี่ยงไปทางซ้าย แต่หลุดรอดจากคมง้าวมังกรเขียวของกวนอูได้อย่างหวุดหวิด หากเมื่อครู่ จูล่งทรุดลงตรงๆในตำแหน่งนั้น คงจะถูกแยกร่างไปด้วยคมง้าวแล้ว แสดงว่า กวนอูคงเริ่มขุ่นเคืองใจ ไม่ออมมือไว้ไมตรีแล้ว แต่เตียวหุยยังมีเจตนาดี หวังช่วยคนมากกว่าคิดทำร้ายให้สาหัส
ใบหน้าเปื้อนเลือดของจูล่งยังคงเลื่อนลอยเลอะเลือน ส่งเสียงกู่ร้อง พร้อมฟาดฝ่ามือเปิดทางให้สามารถวิ่งหนีฝ่าวงล้อมของกองทัพออกไปอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารรีบแยกกระจายออกเป็นช่องกว้างด้วยเกรงกลัวในความห้าวหาญบ้าคลั่ง และไม่กล้าต่อต้านพวกเดียวกันเองให้ถูกลงโทษหนักในภายหลัง ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์เมื่อครู่แล้ว
เตียวหุยรีบเร่งฝีเท้าไล่ติดตาม พลางตะโกนอำลาต่อพี่ใหญ่เล่าปี่อย่างจนใจ “พี่ใหญ่ ข้าขอตามไปจัดการกับจูล่งก่อน แล้วจะติดต่อกลับมา ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราทั้งสอง”
สองขุนพลสวรรค์หายลับไปจากสายตา พร้อมกับแสงสุดท้ายของวันอันวุ่นวายยุ่งเหยิง ความมืดมิดที่คืบคลานมาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ทิ้งไว้แต่รอยแผลภายในจิตใจของผู้คนที่ยังอยู่ จนเล่าปี่ต้องทรุดตัวลงร่ำไห้ระบายความอัดอั้นใจ ทำให้เหล่ากุนซือและขุนพลต้องรีบเข้ามาปลอบโยนให้กับผู้นำของขุมกำลังเสฉวนคนเดิม
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 5 - พยัคฆ์หยกนรกทักษิณ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย