11 ส.ค. 2021 เวลา 23:42 • นิยาย เรื่องสั้น
5.28. ท้าดวลยอดเกาทัณฑ์
แฮหัวเอี๋ยน เทพเหี้ยมหาญ - แฮหัวซง เหยื่อสังเวยอาจารย์ - อองเป๋ง ผู้สืบทอดการหลอมโลหะ
ข่าวการศึกสร้างความแตกตื่นตกใจให้กับแฮหัวเอี๋ยนและโจสิดที่กำลังดื่มกินสุรา จนเมามายด้วยกันในเหลาใหญ่ประจำเมือง แม่ทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้ามคือ ฮองตง ขุนพลยิงตะวัน นับว่า กำลังโด่งดังจากการปราบศึกเตียวหยิมที่เมืองเสฉวน ทำให้โจสิดนึกเสียดายที่ไม่อาจนำกุนซือเอียวสิ้วเข้ามาปรึกษาพูดคุยทางการทหารด้วยได้
นับตั้งแต่เอียวสิ้วกลับมาจากเมืองหลวง ก็ขออนุญาตหลบซ่อนกายจากผู้คน ปกปิดข่าวการกลับมา และเอาแต่อยู่ภายในที่พัก รับฟังข่าวสารภายนอก เฉกเช่นเดียวกันกับนางเอียนซี พี่สะใภ้ที่ก่อขบถสองนางพญา และกลายมาเป็นภรรยาลับของตนอย่างจำยอม จนตั้งครรภ์คลอดทารกน้อยออกมาแล้ว ทำให้หนุ่มน้อยโจสิดหมดอารมณ์สนุกสนาน จึงออกมาหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราวภายนอกกับแฮหัวเอี๋ยนเหมือนแต่ก่อนแทน
แฮหัวเอี๋ยน โจสิด จึงกลับมายังจวนเจ้าเมือง เพื่อเรียกประชุมทหารเป็นการด่วน พอดีพบกันกับที่โจหองเดินทางมาถึงอย่างกระทันหัน จึงทราบข่าวว่า แฮหัวตุ้น โจผี ได้นำกองทัพใหญ่สามหมื่นนายมาประจำที่เมืองเตียงอันแล้ว ราวกับได้กลิ่นสงครามมาก่อนคนที่ประจำอยู่หน้าด่านเสียอีก และคำสั่งตั้งรับของแฮหัวตุ้น ผู้บัญชาการทัพสูงสุดในศึกครั้งนี้ ก็ติดตามมาถึงอย่างรวดเร็วในเวลาต่อมา
“พี่ใหญ่ผิดพลาดแล้ว สมรภูมิเมืองฮันต๋งด้านใต้สมควรออกไปสกัดทัพไว้ที่ช่องแคบเขาเตงกุนสัน มิใช่ปล่อยให้กองทัพฝ่ายตรงข้ามหลุดรอดพ้นมาจ่อที่ประตูเมืองดอก แต่ก่อน เตียวล่อเอง ก็ใช้ตำแหน่งนั้นเป็นสมรภูมิกันชนอยู่เนืองๆ” แฮหัวเอี๋ยน แม้จะไม่ใคร่ฉลาดเฉลียวนัก แต่ก็มีประสบการณ์มากพอที่จะรู้จักสมรภูมิที่ควรเลือกใช้
“พี่รองกล่าวถูกแล้ว พี่ใหญ่อาจจะไม่ใคร่กระจ่างชัดในภูมิประเทศแถบนี้ จึงออกคำสั่งมาเช่นนี้ เอาเถิด พี่รองรีบจัดทัพหนึ่งหมื่นออกไปตั้งสกัดทัพที่ช่องแคบนั้นไว้ก่อน ตัวข้าจะจัดทหารอีกหนึ่งหมื่นนายพร้อมเสบียง ตามไปสมทบเป็นกองหนุน ส่วนโจสิดให้อยู่เฝ้ารักษาเมือง ทางหนึ่ง จะได้จัดส่งกำลังสนับสนุนให้เพ่ิมเติมต่อเนื่อง อีกทางหนึ่ง จะได้ทำจดหมายชี้แจงพี่ใหญ่ให้เข้่าใจสถานการณ์มากขึ้น” โจหองกล่าวสนับสนุนทันที
ดังนั้น แฮหัวเอี๋ยนจึงรีบเคลื่อนทัพออกไปตั้งสกัดทัพแดนใต้ที่ช่องแคบเขาเตงกุนสันตามลำพัง เพื่อจับจองพื้นที่สมรภูมิสำคัญไว้ก่อน ในขณะที่โจหองดำเนินแผนการลับต่อไปในเมืองฮันต๋ง เป้าหมายแรกเดินทางออกไปสู่กับดักตามที่คาดคิด กองทหารถูกลดทอนกำลังกระจายกันออกไปแล้ว เป้าหมายต่อไปก็คือ โจสิด เอียนซี และเอียวสิ้ว ตามลำดับ ฟ้าดินเป็นพยาน ภารกิจครั้งนี้ ช่างสร้างความยุ่งยากใจต่อมันยิ่งนัก
ด้วยการศึกสงครามมาถึงเฉพาะหน้า ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง จนไม่ทันระมัดระวังตัวกัน โจสิดเดินทางกลับจวน เพื่อหยิบฉวยสิ่งของสำคัญ และหวังรับคำชี้แนะจากกุนซือคนสนิท กลับพบพานเอียวสิ้วกำลังสั่งการให้ข้าทาสบริวารช่วยกันเก็บข้าวของ คล้ายต้องการหลบหนีแล้ว ปากก็พร่ำบ่นแต่คำว่า “เป็นคำสั่งลับจากเมืองหลวง ต้องรีบล่าถอย ต้องรีบล่าถอยแล้ว”
ถ้อยคำฟังดูหนักหนาสาหัส จนคนรอบข้างรวมทั้งบัณฑิตจอมยุทธ์ไร้สังกัดที่เข้ามาพักอาศัยตามจวนขุนนาง พลอยวิตกกังวล และเริ่มเก็บข้าวของสัมภาระส่วนตัวตามไปด้วย
แน่นอน เอียวสิ้วย่อมอ่านเกมการเมืองครั้งนี้ออกได้ไม่ยาก จู่ๆโจหองปรากฏตัวอย่างกระทันหัน ย่อมไม่ใช่เรื่องดี จึงคิดแต่จะให้พวกพ้องรีบหลบหนีไปก่อน หากแต่ ขุนพลโจหองพลันนำขบวนองครักษ์ที่ตามมาจากเมืองเตียงอัน บุกเข้าค้นจวน จับตัวโจสิด เอียวสิ้วกับนางเอียนซีไว้จริงๆ และล่าถอยกลับไปยังเมืองเตียงอันโดยเร็ว
ลำดับต่อมา เกิดข่าวร่ำลือออกไปว่า กุนซือเอียวสิ้วในสังกัดโจสิด ถอดรหัสคำสั่ง “ซี่โครงไก่” ของโจโฉที่สั่งการให้ถอนทัพโดยด่วน พวกโจสิด โจหอง จึงพากันทะยอยล่าถอยไปแล้ว กองทหารและประชาชนต่างกำลังอ่อนไหวต่อสถานการณ์ พลอยจัดข้าวของเตรียมอพยพไปด้วยเช่นเดียวกัน จนเกิดความโกลาหลไปทั้งเมือง
อองเป๋ง ขุนพลรองในสังกัดเดิมของเตียวล่อ เห็นกองทหารประจำเมืองกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย จึงรวบรวมทหารท้องถิ่น ประกาศสนับสนุนฝ่ายเล่าปี่ เริ่มยึดพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ กลุ่มทหารเชลยที่จำใจติดตามฝ่ายรัฐบาลมาสักพักแล้วนั้น ถึงกับตัดสินใจเข้าร่วมก่อการด้วยเป็นจำนวนมาก ยิ่งทำให้ยากที่จะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว และทำให้อองเป๋งสามารถยึดเมืองฮันต๋งไปได้อย่างง่ายดายกว่าที่คิด รีบขยายผลรุกคืบไปยังเมืองบริวารใกล้เคียง ตระเตรียมส่งมอบต่อให้กับแม่ทัพฮองตงต่อไป
ทางฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนยึดตำแหน่งที่มีเปรียบที่ช่องแคบเขาเตงกุนสัน เพิ่งติดตั้งกระโจมที่พักเสร็จสิ้น กำลังรอคอยให้กองเสบียงติดตามมาตามแผนการ กลับได้รับข่าวร้ายมาจากแนวหลัง กองกำลังหนึ่งหมื่นที่หิวโหยอ่อนแรงจึงคล้ายตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก ด้านหน้าคือกองทัพข้าศึกของฮองตง ด้านหลังคือกองทัพขบถของอองเป๋ง สองข้างทางกระหนาบไว้ด้วยแนวเทือกเขายากจะปีนป่ายหลบหนี
แฮหัวเอี๋ยนประเมินสถานการณ์ การรักษาเมืองหน้าด่านน่าจะมีความสำคัญกว่า อองเป๋งมีกำลังคนไม่มากเท่าทัพแดนไกล อีกทั้งเพิ่งรวมตัวกัน ไม่น่าจะสามัคคีกลมเกลียวนัก จึงสั่งล่าทัพเพื่อกลับไปจัดการกับขบถก่อน จนทหารที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการก่อสร้างที่พักมาตลอดทั้งวัน ส่งเสียงอื้ออึงประท้วงกันประปราย
และแล้ว ท้องฟ้าที่แจ่มใสในยามบ่าย พลันมืดมิดลงในฉับพลัน มองขึ้นไปบนเทือกเขาทางทิศตะวันตก เกิดฝูงนกมหึมาจำนวนมากโบยบินเต็มท้องฟ้าจนมาวนเวียนเหนือกองทัพ ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน และเริ่มปล่อยวัตถุประหลาดร่วงหล่นลงมาทางด้านหลังของกองทัพ พอตกกระทบพื้นดิน กลับกลายเป็นเปลวไฟลุกลามไปทั่วทั้งบริเวณ เผาไหม้ใส่เหล่าทหาร และกระโจมที่พักอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำลายขวัญกำลังใจจนหมดสิ้น
แฮหัวเอี๋ยนสั่งการให้พลธนูองครักษ์ระดมยิงใส่ฝูงวิหคยักษ์ทันที พอร่วงหล่นลงมา จึงเห็นเป็นพวกทหารแดนใต้ ผูกติดอยู่กับโครงปีกขนาดใหญ่ ส่วนสิ่งที่สร้างเปลวไฟ ก็คล้ายเป็นกระปุกเคลือบขนาดย่อมที่บรรจุดินระเบิด และน้ำมัน
ที่แท้ ฝูงนกยักษ์นั้นกลับเป็นกองทัพพายุคลั่งที่หวดเจ้งค้นคิดขึ้น อาศัยโครงปีกพยุงตัวร่อนบินลงมาจากที่สูง และมีสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างเสียงกรีดร้องเมื่อมีลมพัดผ่าน ผูกติดไว้กับปีกคอยก่อกวนประสาท เป็นอีกหนึ่งทัพพิสดารที่ถูกนำมาใช้ในสงครามเป็นครั้งแรก เพื่อใช้โจมตีมาจากที่สูง และสร้างความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
แต่อาวุธพิสดารเช่นนี้เป็นของเล่นแปลกใหม่ จำเป็นต้องพึ่งพาเหล่าทหารที่มีจิตใจกล้าหาญ กำลังขวัญเข้มแข็ง จึงจะแสดงประสิทธิภาพได้ดี และอาจพลาดพลั้งหล่นลงมาตายได้ง่าย จึงจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และครั้งนี้ นำทัพโดยขุนพลถือง้าวคู่ด้ามสั้นที่สวมใส่หน้ากากปีศาจอยู่
ขณะที่วุ่นวายต่อสู้กับกองทัพจากฟากฟ้า กองไฟเริ่มรุกไล่เข้ามา บีบบังคับให้กองทัพแฮหัวเอี๋ยนต้องหลบหนี และเคลื่อนตัวไปข้างหน้า กลับรุกคืบเข้าสู่ช่องแคบเขาเตงกุนสันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เสียงเกาทัณฑ์ดังไม่หยุดยั้ง ทำลายล้างทหารฝ่ายรัฐบาลราวกับใบไม้ร่วงพร้อมเสียงโห่ร้องสนับสนุนที่ดังมาจากสองฝั่งทาง
กองหน้าของฮองตงในชุดพรางกายเคลื่อนที่เร็ว บุกเข้ามาโจมตีซ้ำเติมทันที แล้วค่อยตามมาด้วยกองทัพหลักที่นำมาโดยกุนซือเดชนกยูง หวดเจ้ง ส่วนกองทัพบนท้องฟ้านั้น ก็เริ่มร่อนลงมาสู่พื้นดิน ปลดโครงปีกออก และชักอาวุธมาเข้าร่วมต่อสู้มาจากด้านหลัง โดยมีอุยเอี๋ยนที่ใส่หน้ากากปีศาจเป็นผู้นำกลุ่มกองพิสดารนี้มาเอง กองทัพหนึ่งหมื่นของแฮหัวเอี๋ยนตกเป็นฝ่ายรับทั้งสองด้าน แต่ทว่าสูญสิ้นความคิดต่อสู้ไปแล้ว
การสู้รบด้วยกองทัพ สำคัญคือตัวผู้นำทัพ ในเมื่อตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ปล่อยให้ถูกบุกทำลาย จนขวัญกำลังใจตกต่ำลงไปมากเช่นนี้ แฮหัวเอี๋ยนจึงหมายมั่นจะเอาคืนด้วยการเล็งเกาทัณฑ์เหล็กคู่ใจ สังหารขุนพลระดับหัวหน้าไปทีละคน เป้าหมายแรกที่ปรากฏข้างหน้า คือ เจ้าคนที่สวมหน้ากากปีศาจที่กำลังปลดโครงปีกพลาง สั่งการรบพลาง อยู่พอดี
นับว่าอุยเอี๋ยนโชคดีที่เป็นลูกศิษย์เอกของฮองตง ผู้เป็นจ้าวแห่งเกาทัณฑ์มาก่อน การตอบสนองต่อแรงลมฝ่าอากาศของเกาทัณฑ์จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะปัดให้พ้นตัวได้ทันเวลา แต่ก็ยังเฉียดผ่านใบหน้า จนหน้ากากปีศาจที่ใส่ปิดบังใบหน้ายามออกศึกนั้น แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงที่ยังคงมีรอยแผลเป็นน่ากลัวที่เกิดจากทรายพิษที่องครักษ์หญิงของเตียวหยิมฝากทิ้งไว้ครึ่งค่อนหน้า
อุยเอี๋ยนแค้นเคืองใจ ขยับง้าวคู่ด้ามสั้น อาวุธคู่มือ หมายจะบุกเข้าหาแฮหัวเอี๋ยน แต่ยังคงถูกระดมยิงจากพลธนูองครักษ์ จนต้องคอยหลบหลีกไปมาอยู่ก่อน ฮองตงตามมาทัน และเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด จึงส่งสัญญาณให้หยุดมือ และร้องท้าทายให้ฝ่ายตรงข้ามมาดวลฝีมือเกาทัณฑ์กันตัวต่อตัวตามธรรมเนียมรบของขุนศึก
แฮหัวเอี๋ยนชำนาญเรื่องเกาทัณฑ์เป็นที่สุดอยู่แล้ว รู้สึกยินดี และรีบตอบรับคำในทันที แม้ครั้งนี้จะเสียทีในกลศึกสงครามอย่างย่อยยับ แต่ได้ประลองฝีมือกับจ้าวแห่งเกาทัณฑ์ ย่อมเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีต่อตนเอง จึงสั่งการให้ทหารหยุดมือเช่นกัน และเปิดทางเป็นวงกว้าง เพื่อดวลอาวุธระยะไกลกันกับขุนพลเฒ่าที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ตรงหน้าแล้ว
ธรรมเนียมการตัดสินฝีมือด้วยเกาทัณฑ์นั้น แปลกประหลาดกว่าอาวุธอื่นอยู่บ้าง เพราะทั้งสองฝ่ายจะยิงเกาทัณฑ์ออกมาพร้อมๆกันเป็นการโจมตี และต้องยืนหยัดอยู่กับที่ ห้ามหลบหลึกแม้แต่เพียงก้าวเดียว เพื่อรับมือกับอาวุธของฝ่ายตรงข้ามเป็นการตั้งรับ โดยระยะยี่สิบวาคือระยะที่เหมาะสมต่อการประลองยุทธ์เช่นนี้
แฮหัวเอี๋ยน ฮองตงต่างเตรียมใช้อาวุธตามแนวทางของตน เห็นฝั่งของแฮหัวเอี๋ยนถือลูกเกาทัณฑ์เหล็กที่ยาวกว่าปกติพาดสายไว้ ในขณะที่ฮองตงเริ่มต้นด้วยลูกเกาทัณฑ์แบบสั้นสามดอกเหนี่ยวรั้งพร้อมยิง ต่างยกขึ้นเล็งไปข้างหน้าแล้ว เพียงแค่สามดอกก็เพียงพอต่อการประลองเสี่ยงตายเช่นนี้ ควันไฟยังคงพัดผ่านเป็นระยะๆ แต่มิได้เป็นอุปสรรคต่อสองยอดฝีมือเกาทัณฑ์แต่อย่างใด
ได้ยินแต่เสียงร่ำลือกันมานานหลายปี พอได้จ้องมองใบหน้าฝ่ายตรงข้ามถนัดตา แฮหัวเอี๋ยนกลับรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของศัตรูตรงหน้าขึ้นมาในทันใด จนมือสั่นสะท้านไปวูบหนึ่ง เผลอทำให้ลูกเกาทัณฑ์หลุดออกจากคันไปข้างหน้าก่อนจะถึงจุดสุดแรงง้าง ฮองตง นึกว่า ศัตรูใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงลงมือก่อนเวลา จึงรีบปล่อยเกาทัณฑ์สามดอกของตนเองสวนกลับไปเช่นกัน
เนื่องจากโดนยิงก่อนเวลา และยังง้างสายไม่เต็มแรง ลูกเกาทัณฑ์ของแฮหัวเอี๋ยนจึงหมุนคว้างที่ปลายดอกเล็กน้อย จนต้านอากาศมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้ความเร็วลดลง เห็นฮองตงยืนหยัดอยู่กับที่ ใช้มือขวาที่ว่างอยู่ รวบจับเกาทัณฑ์เหล็กที่ยาวกว่าปกติไว้ได้ แต่ด้วยพลังความรุนแรง และความพิสดารของลูกเกาทัณฑ์เกินกว่าที่คาดคิด ขุนพลชราจึงยังถูกหัวเกาทัณฑ์ผ่านมาสะกิดเปิดแผลที่ช่องท้องเล็กน้อย นี่ถ้าหากแฮหัวเอี๋ยนไม่เสียสมาธิไปก่อน คงสร้างปัญหาให้กับฮองตงได้มากกว่านี้อีก
มองดูแฮหัวเอี๋ยนกลับย่ำแย่กว่าตนเอง ฝ่ายตรงข้ามสามารถปัดป้องดอกแรกได้ แต่หลบดอกที่สองดอกที่สามไม่พ้น ลูกเกาทัณฑ์ทั้งสองปักทะลุเข้าที่ชายโครงอย่างถนัดถนี่ แรงส่งน่าจะพอทำลายอวัยวะภายในไปไม่น้อย แต่แทนที่จะเห็นความแค้นเคืองที่พ่ายแพ้ แฮหัวเอี๋ยนกลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม ราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา ส่งเสียงเรียกเบาๆ “อาจารย์ตามัว เป็นท่านจริงๆด้วย จำข้า เจ้าอ้วนน้อยกับศาลเจ้าที่ถูกไฟไหม้ ได้หรือไม่”
ร่างกายของฮองตงสั่นสะท้าน หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที คำเรียก “อาจารย์ตามัว” และ “เจ้าอ้วนน้อย” ทำให้มันย้อนนึกถึงลูกศิษย์คนที่สอง คนที่มันไม่เคยเห็นใบหน้าถนัดตามาก่อนเลยทั้งชีวิต แต่รู้สึกคิดถึงเอ็นดูไม่เสื่อมคลาย
ในอดีต หลังจากที่ตนเองแยกทางจากเด็กน้อยพเนจร ลูกศิษย์คนแรก ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากผูกพันกับคนอื่น ฮองตงหยวนจึงท่องยุทธภพต่อไปตามลำพัง จนเกิดความคิดใหม่ “หลบหนีมิสู้ปลอมแปลงตัวตน” มันจึงใช้ชื่อปลอม สมัครเข้าทำงานมือปราบอีกครั้ง แต่ด้วยความใจร้อนวู่วามในวัยหนุ่ม จึงพลาดท่าถูกโจรท้องถิ่นทำร้ายจนดวงตาพร่ามัว มองผู้คนเห็นไม่ชัดเจนแม้แต่ยามกลางวัน จนมันสูญเสียตำแหน่งการงาน รู้สึกไร้คุณค่าในสายตาของคนทั่วไป และท้อแท้ต่อชะตาด้วยการใช้ชีวิตราวกับกระยาจก ปล่อยหนวดเคราผมเผ้ารุงรัง ได้แต่อาศัยกินของไหว้อยู่ในศาลเจ้าไปวันๆ
วันหนึ่ง กลับพบเห็นกลุ่มเด็กน้อยราวสิบกว่าขวบ แต่งตัวมีฐานะสี่คน ฉุดลากตัวเด็กร่างผอมแห้งวัยใกล้เคียงกัน แต่ดูคล้ายยากจนกว่า เข้ามาในศาลเจ้าที่พัก เพื่อชกต่อยกลั่นแกล้งตามประสาเด็ก เด็กผมแห้งยังยอมอดกลั้นไม่ตอบโต้ในช่วงแรก แต่ถูกทั้งสี่กลั่นแกล้งหนักหน่วงขึ้น จึงชกสวนออกมาเต็มแรง ถูกเข้าที่เด็กอ้วนใหญ่ที่สุดในกลุ่มจนเลือดกำเดาไหลจากจมูก หงายหลังร้องไห้ด้วยความตกใจ
เด็กผอมแห้งเห็นว่า เรื่องราวลุกลาม ยากจะหยุดยั้ง จึงคว้าเอาธูปเทียนและตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดเผาเพื่อไหว้เจ้าอยู่นั้น เหวี่ยงสกัดเส้นทางออกไว้ ไม่ให้ติดตามได้ทัน แล้ววิ่งหนีหายไปทางประตูศาลเจ้านั่นเอง
หากเป็นสิ่งของธรรมดาก็คงไม่เป็นไร แต่ธูปเทีัยนและตะเกียงน้ำมันล้วนมีเปลวไฟพร้อมน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ด้วย จึงกลายเป็นกองเพลิงใหญ่ปิดบังทางออก และลามไปทั่วทั้งศาลเจ้าโดยเร็ว เด็กน้อยต่างตกใจจนร้องไห้ตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก สักพัก จนมีควันไฟไหม้คละคลุ้ง เพิ่มความรุนแรงให้กับสถานการณ์ไปอีก
คนที่เป็นหัวโจกคล้ายตัดสินใจเด็ดขาด จึงยกโต๊ะเก้าอี้ไม้ เหวี่ยงกระแทกหน้าต่าง เพื่อลดทอนแรงเปลวไฟและกลุ่มควัน เปิดเป็นช่องทางให้หนีรอดออกไปได้ แล้วคว้าจับร่างของเด็กรุ่นน้องที่เริ่มอ่อนแรงใกล้หมดสติ เหวี่ยงออกไปทีละคนๆ แต่กลับมองหาเจ้าอ้วนโง่งมไม่เห็น และกองไฟก็โหมแรงขึ้นมากแล้ว
สุดท้าย มันจึงยอมเสี่ยงโดดฝ่ากองเพลิงออกไปตามลำพัง ถึงแม้ว่าจะหลุดรอดกองเพลิงออกมาได้ แต่ก็โดนไฟลามเลียผิวหนังจนพุพองสลบไสลอยู่แค่ตรงนั้นกันหมด โดยเฉพาะส่วนใบหน้าและดวงตาของคนที่เป็นหัวโจก คล้ายจะมีอาการหนักหนาสาหัสกว่าคนอื่นๆ
ยาจกฮองตงหยวนที่ซ่อนตัวอยู่บนขื่อคาด้านบน มองเห็นการกระทำของเจ้าอ้วนโดยตลอด เด็กอ้วนนั้นตระหนักดีว่า เด็กหัวโจกมีเวลาไม่มาก ไม่น่าจะช่วยเหลือทุกคนได้ จึงยอมเสียสละตนเอง รีบแอบซ่อนตัว เพื่อให้คนอื่นหนีรอดได้ทัน นับว่าเป็นความกล้าหาญเกินตัวยิ่งนัก มันจึงคว้าตัวเด็กอ้วนโดดทะลุหลังคา หนีออกจากกองเพลิงได้อย่างง่ายดาย แลเห็นเด็กหนุ่มท่าทางองอาจอีกคนหนึ่งนำขบวนชาวบ้านเข้ามาช่วยเหลือเด็กทั้งสามคน และพยายามมองหาตัวเจ้าอ้วน เด็กคนที่สี่อยู่
มันจึงโยนร่างเจ้าอ้วนไว้ใกล้ช่องหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งให้ดูเหมือนเด็กน้อยฝ่ากองเพลิงรอดออกมาได้เอง ส่วนตนเองก็โดดหลบขึ้นต้นไม้ เพราะไม่ได้ต้องการพบเห็นคนอื่นให้เกิดความเข้าใจผิด แต่กลับพบเห็นว่า เจ้าอ้วนลุกขึ้นนั่งเช็ดป้ายเลือดที่คั่งค้างอยู่ที่ปลายจมูก เงยหน้ามองมันน้ำตาไหลพราก เหมือนสำนึกขอบคุณที่ช่วยเหลือชีวิตไว้
วันต่อมา ยาจกฮองตงหยวนกลับมาศาลเจ้าที่พังทลายรกร้างไปแล้วอีกครั้ง กลับพบเห็นเจ้าตัวอ้วนนั่งรออยู่ที่นั่น พร้อมกับตะกร้าของกินในมือ ยกขึ้นส่งให้กับมัน เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างขลาดกลัวอยู่บ้าง มันถือว่าเด็กพวกนี้เผาทำลายที่พักพิง ทุบหม้อข้าวมันจนยับเยินไปแล้ว จึงรับตะกร้ามาดื่มกินอย่างไม่เกรงใจ จนเจ้าอ้วนย้ิมแย้มตามประสาเด็กใสซื่อ กลับดูถูกชะตาไม่น้อย
จากนั้น เจ้าอ้วนน้อยก็แอบนำอาหารจากบ้านมาให้มันทุกวัน จนทั้งสองเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น จึงรับรู้ว่า เด็กอีกสามคนบาดเจ็บสาหัส นอนรักษาตัวอยู่กับเตียงยาวนาน โดยเฉพาะหัวโจกที่ถึงกับมีอาการตามืดมัวไปข้างนึง เจ้าอ้วนเห็นว่าไม่มีใครเล่นด้วย จึงนึกถึงแต่ผู้มีพระคุณ และวนเวียนกลับมาพูดคุยด้วยแทน
มันเห็นว่า เด็กน้อยมีโครงสร้างร่างกายแข็งแรง จิตใจสัตย์ซื่อน่ารัก จึงถ่ายทอดเคล็ดวิชายิงเกาทัณฑ์ให้ช่วยยิงนกยิงกระต่าย หาอาหารสดแทนตัวมันที่มองอะไรไม่ชัดเจน มันเรียกเด็กน้อยว่า “เจ้าอ้วนน้อย” ส่วนตัวมันคือ “อาจารย์ตามัว”
พริบตาก็ผ่านไปปีครึ่ง มันได้ยินข่าวจากขบวนพ่อค้าต่างแดนผ่านทางว่า ผู้วิเศษเตียวก๊กแห่งเมืองเสเหลียง สามารถรักษาโรคร้ายต่างๆได้ด้วยเวทมนต์ และกลุ่มพ่อค้ากำลังเร่งเดินทางไปเส้นทางนั้นพอดี มันคล้ายเกิดแรงต่อสู้กับชะตาชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงตัดสินใจขอร่วมขบวนพ่อค้าไปด้วย โดยไม่ทันได้ร่ำลาเจ้าอ้วนน้อย ลูกศิษย์คนที่สอง และไม่มีโอกาสได้กลับไปยังศาลเจ้านั้นอีกเลย
เพราะเมื่อไปถึงแดนเสเหลียง เตียวก๊กก็เริ่มวางแผนตั้งตนเป็นประมุขพรรคฟ้าเหลือง และหัวหน้าขบวนพ่อค้าต่างแดนก็คือ ม้าอ้วนยี่ สมุนรุ่นก่อตั้งของพรรคที่เดินทางมาจากแดนใต้ ทำให้มันที่ได้รับการรักษาดวงตาจนหายดี กลับกลายเป็นสมุนโจรฟ้าเหลืองไปโดยไม่ทันตั้งตัว นั่นคืออดีตอีกเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของมัน
วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก คาดไม่ถึงว่า เจ้าอ้วนน้อยสามารถพัฒนาวิชาเกาทัณฑ์ให้รุดหน้าขึ้น ปรับแต่งเกาทัณฑ์เหล็ก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง ทะยานขึ้นมาเป็นนักรบเลื่องชื่อ ฉายา เทพเหี้ยมหาญ หนึ่งในสี่เทวะ สังกัดของโจโฉ ที่กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่เบื้องหน้านี้เอง
เจ้าอ้วนน้อยแย้มยิ้ม น้ำตานองหน้า ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆด้วยเกรงว่า จะทำให้อาจารย์เกิดความยุ่งยากต่อเนื่องขึ้น เพียงจับจ้องมองดูอาจารย์ผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเมื่อครั้งเก่าก่อน ด้วยประสบการณ์หลายสิบปี ฮองตงย่อมคาดเดาได้ว่าความผิดปกติของกระบวนท่าเมื่อครู่ เกิดขึ้นด้วยความจงใจของลูกศิษย์ ทำให้สำนึกเสียใจที่ปล่อยเกาทัณฑ์ไปทำร้ายฝ่ายตรงข้าม จนเผลอเหม่อลอยไปกับความคิดเก่าก่อนอยู่พักนึง
พลธนูองครักษ์ คนสนิทของแฮหัวเอี๋ยนไม่เข้าใจเรื่องราวเบื้องหลัง เพียงหวังเสี่ยงชีวิตตายไปพร้อมกับศัตรู จึงวิ่งมาจัดตั้งแถวระดมยิงใส่ขุนพลชราตรงหน้า ทำให้ฮองตงคืนสติกลับมา รีบปัดป่ายอาวุธ และใช้เกาทัณฑ์สังหารเหล่าองครักษ์ที่ต่อต้านไปทีละคนๆ แต่แล้ว ปลายหางตาพบเห็นเจ้าอ้วนน้อยกำลังง้างเกาทัณฑ์เล็งยิงมาทางตน จึงตัดสินใจปล่อยเกาทัณฑ์ที่ง้างไว้ ยิงสวนกลับไปเช่นกัน
ลูกเกาทัณฑ์ของแฮหัวเอี๋ยนยังคงเป็นเกาทัณฑ์เหล็กทรงอานุภาพ ทะลุผ่านท้องแขนของเป้าหมายซึ่งมิใช่อาจารย์สูงวัย แต่กลับเป็นแฮหัวซง รองแม่ทัพของกองกำลังฝ่ายรัฐบาลที่เป็นลูกบุญธรรมของตนเอง ที่กำลังมุ่งหวังใช้ดาบลอบทำร้ายฮองตงมาจากทางด้านหลัง เกาทัณฑ์สุดท้ายในชีวิตของแฮหัวเอี๋ยนกลับเป็นอาวุธที่ใช้ช่วยคน มิใช่ต้องการสังหารผู้ใด เป็นการช่วยชีวิตอาจารย์ตามัว
แฮหัวซงได้รับบาดเจ็บ เสียจังหวะโจมตี จึงหมุนตัวหลบหนีเอาชีวิตรอดแทน กลับวิ่งเข้าหาอุยเอี๋ยนที่กำลังไล่ฆ่าศัตรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จนสังเวยคมง้าวคู่ไปอย่างรวดเร็ว
แต่ลูกเกาทัณฑ์ของฮองตงที่ยิงสวนกลับไปนั้น เป็นอาวุธเพื่อเอาชีวิต ปักคาอยู่ที่ซอกคอของแฮหัวเอี๋ยน จนแม่ทัพผู้กล้าหาญสิ้นใจไปในทันที ณ วินาทีนั้น ฮองตงลดคันเกาทัณฑ์ลง และแอบหลั่งน้ำตาให้กับลูกศิษย์คนที่มันรักใคร่ที่สุด และจากไปด้วยน้ำมือของมันเองด้วยความเข้าใจผิดแท้ๆ
สมรภูมิที่ช่องเขาเตงกุนสันจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว แม่ทัพแฮหัวเอี๋ยน เทพเหี้ยมหาญ ถูกฮองตง ขุนพลยิงตะวัน สังหารตายหลังจากการประลองเกาทัณฑ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แฮหัวซง รองแม่ทัพก็ถูกขุนพลอุยเอี๋ยนฆ่าตายในที่รบ ส่วนเมืองฮันต๋งล้วนถูกอองเป๋ง ทหารเก่าของเตียวล่อ ส่งมอบทั้งเมืองทั้งกองทัพต่อฝ่ายเล่าปี่ รวมทั้งวิชาพัฒนาแร่ธาตุหลอมโลหะที่ขึ้นชื่อ กลายเป็นความชอบทางทหารที่ใหญ่หลวงไม่น้อย
กองทัพพายุคลั่งของหวดเจ้ง ภายใต้การนำของอุยเอี๋ยนได้รับคำชื่นชมมากมาย จนต่อมา อุยเอี๋ยน พลอยได้รับฉายาเป็น “ขุนพลพายุคลั่ง” ซึ่งคล้องจองกันกับกลุ่มห้าขุนพลสวรรค์อย่างประจวบเหมาะ
มีเพียงคำร่ำลือถกเถียงกันในภายหลังว่า เกาทัณฑ์สุดท้ายของแฮหัวเอี๋ยนที่ช่วยชีวิตขุนพลเฒ่านั้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือจงใจ และแฮหัวเอี๋ยนเป็นคนใสซื่อหรือตัวโง่งมกันแน่ ทั้งหมดนี้ คงมีเพียงฮองตงที่เก็บงำความลับเอาไว้ภายในใจตลอดไป
หลังจากนั้น ฮองตงไม่เคยนำเกาทัณฑ์คู่ใจกลับมาใช้อีกเลย เพราะมันถูกนำไปวางอยู่หน้าป้ายรำลึกถึงคนตายภายในบ้านพัก บนป้ายไม่มีชื่อคน เพียงเขียนด้วยพู่กันไว้ง่ายๆว่า “ชดใช้คืนให้กับศิษย์รักที่จากไป เจ้าอ้วนน้อย”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา