Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
13 ส.ค. 2021 เวลา 00:32 • นิยาย เรื่องสั้น
5.29. จำพรากเพื่อก้าวเดิน
ซินเหียนเอ๋ง ฮัวหิม(ซินผี) ผู้รับเลี้ยงมรดกบาป - แฮหัวหลิม(เสี่ยวตัน) องครักษ์เปลี่ยนชีวิต
ที่เมืองเตียงอัน แฮหัวตุ้น โจผี กับ สุมาอี้ เตรียมกำลังหลายหมื่นนาย พร้อมตั้งรับกองทัพลับของพวกขุนพลตระกูลม้าอย่างเข้มแข็ง แต่หลายวันผ่านไป กลับไม่มีทีท่าว่า ฝ่ายตรงข้ามจะมาถึงตามที่คาดการณ์ไว้
สุดท้าย สายข่าวกลับแจ้งว่า กองทัพม้าเฉียวเพียงเคลื่อนพลจำนวนน้อยเข้ามาใกล้เทือกเขาสูง ติดต่อเจรจากับชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าตีให้ช่วยเคลื่อนไหวก่อกวนไปตามป่าเขา ล่อลวงให้สับสนเท่านั้น ส่วนพวกตระกูลม้าตัวจริง ได้ล่าถอยกลับเมืองปาเสไปแล้ว
“ผิดท่าแล้ว กองทัพของม้าเฉียวเป็นแค่กลลวง พวกมันใช้ชื่อเสียง และสายสัมพันธ์กับชนเผ่าพื้นเมืองของขุนพลเงาหิมะมากดดัน ต้องการเพียงหลอกล่อให้พวกเราหลายหมื่นนาย ตรึงกำลังอยู่กับที่ ไม่กล้าส่งคนไปเสริมให้เมืองเตียงอัน และเมืองอ้วนเซีย” สุมาอี้ อ่านเกมการรบของขงเบ้งออกในทันที
แฮหัวตุ้น โจผี รู้สึกใบหน้าชาวูบที่เสียรู้ให้กับศึกตะวันตกเป็นครั้งแรก “ขงเบ้งหนอขงเบ้ง เพียงโบกพัดวางกลยุทธ์มาจากเก้าอี้ล้อหมุนอยู่ในเมืองเสฉวน ยังสามารถตรึงกองทัพใหญ่ฝ่ายเราไว้ตั้งหลายวัน จนเมืองหน้าด่านทั้งสองย่ำแย่ไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ ช่างร้ายกาจนัก”
แต่เรื่องที่สุมาอี้ไม่อาจคาดหมาย นั่นคือ ที่จริงแล้ว กุนซือตัวจริงของเล่าปี่ในศึกครั้งนี้เป็นผู้ใดกันแน่ ระหว่าง กุนซือเดชนกยูง หวดเจ้ง หรือ กุนซือมังกรซ่อน ขงเบ้ง
…
เมืองฮันต๋งแตกพ่ายรวดเร็วเกินไปจริงๆ ไม่มีใครคาดคิดว่า ฝ่ายตั้งรับที่เป็นถึงสองเทวะ แฮหัวเอี๋ยน โจหอง ที่มีจำนวนทหารมากกว่าเท่าตัว จะไม่สามารถต้านศึกเล่าปี่ จนถึงขั้นที่ว่า โจหอง โจสิด เสียขบวนล่าทัพ แฮหัวเอี๋ยนตายในที่รบ นับเป็นข่าวใหญ่สะท้านแผ่นดินไม่ใช่น้อย กองทัพรัฐบาลฮั่นไม่เคยสูญเสียขุนพลระดับสูงมาเนิ่นนานแล้ว จึงทำให้ขุมกำลังเล่าปี่ดูโดดเด่น มีน้ำหนักมากขึ้นมาในทันที ในขณะที่ฝ่ายโจโฉกลับตกตะลึงในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
โจหองที่รอดสงครามกลับมา รีบนำตัวโจสิด เอียวสิ้ว และนางเอียนซี เข้ามามอบตัวให้กับสมุหกลาโหมแฮหัวตุ้น วุยก๋ง-โจผี และกุนซือเต่าสมถะ สุมาอี้เป็นการลับ ตอนนี้ ข่าวสงครามกลบกระแสการเมืองไปแทบหมดสิ้น โจหองจึงอาศัยชื่อภารกิจลับ “ซี่โครงไก่” ตั้งข้อหาปล่อยข่าวลือทำลายขวัญกำลังใจ จับกุมคนทั้งสามกลับมา
หากพิจารณาจากข่าวการศึกที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งโจสิด และเอียวสิ้ว ล้วนผิดอัยการศึกที่สั่งการล่าถอยก่อนเวลาอันสมควร จนเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในกองทัพ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ แต่ปัญหาก็คือ โจสิดมีสถานะเป็นทายาทของวุยอ๋อง-โจโฉ
แฮหัวตุ้นไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน ก็พอคาดเดาได้ว่าต้องทำเช่นไร แฮหัวเอี๋ยนตายแล้ว มันจึงขาดคนสนับสนุนคนสำคัญในการยึดอำนาจ กองทหารในมือก็ลดน้อยถอยลง อีกทั้งมีศึกตะวันตกรุกกระหนาบมาถึงสามด้าน จึงได้แต่ยกเลิกความคิดหักหลังโจโฉ ลอบส่งสายตากันกับโจผี สุมาอี้ ค่อยประกาศเสียงดัง“กุนซือเอียวสิ้วบิดเบือนคำสั่งเบื้องบน สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กองทัพ เป็นเหตุให้เสียเมืองฮันต๋ง ขุนพลใหญ่แฮหัวเอี๋ยนตายในที่รบ จึงสมควรให้ประหารตามกฏอัยการศึกในทันที จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างให้คนอื่นต่อไป ส่วนโจสิด นางเอียนซี ให้นำตัวคุมขังไว้ก่อน รอส่งตัวกลับไปเมืองหลวงให้ท่านวุยอ๋องเป็นผู้ตัดสินด้วยตนเอง”
เอียวสิ้วหน้าซีดเผือด เรียกร้องให้โจสิดช่วยออกหน้ายืนยันความบริสุทธิ์ แต่โจสิดเองตระหนักดีว่า ต้องมีคนผิดให้กับรัฐบาล เพื่อลดทอนความวุ่นวาย จึงได้แต่ก้มหน้าสะบัดชายเสื้อ พลางกล่าว “เป็นเจ้าที่สั่งการให้ผู้อื่นเก็บข้าวของก่อนมิใช่หรือ พอมีผู้ใดถามไถ่ เจ้าก็เอาแต่พร่ำบ่นว่า เป็นคำสั่งลับจากเมืองหลวง เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้าเองที่ปากพล่อย ทำให้ผู้อื่นรอบข้างเข้าใจผิด จนเกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ”
เอียวสิ้วมีปัญญาไว ย่อมรับรู้ว่าตนเองกลายเป็นแพะรับบาปให้กับผู้อื่น จึงตัดใจยืดอกขึ้น พร้อมกล่าวคำ “ใช่ว่าข้าจะไม่ล่วงรู้ความคิดของพวกท่าน แต่กล่าวไปก็คงจะไร้ประโยชน์ เอาเถิด ข้ายอมเป็นเครื่องสังเวยให้กับพวกท่านสักครา จงป่าวประกาศไปตามใจชอบของท่านเถิด น่าเสียดายนักที่แผนลอบใช้ป้ายอาญาสิทธิ์สังหารโจโฉของข้าในครั้งนั้นดันไม่สำเร็จดังใจหวัง”
และแล้ว กุนซือไฟแรง เอียวสิ้ว จึงถูกตัดสินประหารทั้งตระกูลไปพร้อมกันกับคำครหาว่า เป็นต้นเหตุให้เสียเมืองหน้าด่านสำคัญอย่างฮันต๋งให้กับฝ่ายเล่าปี่ เพราะดันไปตีความรหัสลับภารกิจ “ซี่โครงไก่” จนผิดเพี้ยนจากจุดประสงค์ดั้งเดิม แต่นับว่า เอียวสิ้ว สมกับเป็นคนเจ้าปัญญาที่สวมบทวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน ยอมตัดตอนรับผิดเรื่องคดีลอบสั่งฆ่าไว้เสียเอง และยังใช้ศัตรูให้ส่งข่าวไปยังคนที่มันต้องการได้ก่อนตาย
…
เอียวหงี ญาติผู้พี่ของเอียวสิ้ว ซึ่งมาหลบซ่อนตัวที่ชายแดนเมืองเตียงอันตั้งแต่ช่วงที่เอียวสิ้วอพยพครอบครัวมาจากเมืองหลวง นับเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้าที่ถูกต้องที่สุดแล้ว พอรับทราบข่าวการประหารชีิวิตเอียวสิ้วทั้งตระกูล จึงรีบหลบหนีลี้ภัยการเมืองใช้ทางน้อยข้ามเทือกเขาลงใต้ พร้อมกับเอียวกุ๋น เอียวเก๋า ทายาททั้งสองของเอียวสิ้ว
ระหว่างการเดินทางผ่านป่าเขา กลับประสพโชคในเคราะห์ เอียวหงีทั้งสามพบกับการต่อสู้ระหว่างหนึ่งขุนพลกับสองจอมยุทธ์ ขุนพลนั้นผมเผ้ารุงรังยุ่งเหยิง ถือดาบใหญ่กวัดแกว่งไปมา ท่าทางคลุ้มคลั่ง ส่วนจอมยุทธ์นั้น คนหนึ่งร่างท้วมหนวดเคราครึ้มถือไม้พลองสีหยก คนหนึ่งร่างสูงโปร่งไร้หนวดเคราใช้กระบี่ยาว แม้ว่าถูกรุมกระหนาบด้วยสองยอดฝีมือ ขุนพลคลุ้มคลั่งก็ยังคล้ายมีเปรียบอยู่บ้างเล็กน้อย
สุดท้าย จอมยุทธ์ทั้งสองยอมถูกดาบทำร้ายจนเลือดสาดเพื่อสะกดการเคลื่อนไหวของศัตรูเพียงชั่วครู่ แล้วซินแสสูงวัยที่ยืนดูอยู่ด้านข้างกับหนุ่มฉกรรจ์ร่างเตี้ยเล็ก ฉวยโอกาสนั้นลอบลงมือซ้ำเติมด้วยแสงประหลาดจากวัตถุทรงกระบอก กลับทำให้ขุนพลคลุ้มคลั่งนั้นหมดสติไปอย่างง่ายดาย
จอมยุทธ์ถือกระบี่รับรู้ถึงการมาของเอียวหงีทั้งสาม จึงตรงเข้าจับกุมตัว พอทราบชื่อเสียงเรียงนามแล้ว จึงกลับไปปรึกษาหารือกับพรรคพวกอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุด เป็นจอมยุทธ์ถือไม้พลอง ใช้มือสะกดบาดแผลเดินเข้ามาเจรจาด้วยอย่างใจเย็น
ที่แท้ จอมยุทธ์ถือไม้พลองคือเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม ที่ตามมาจับกุมตัวจูล่ง ขุนพลที่หมดสติไปนั่นเอง และกำลังจะนำตัวไปรักษาอาการ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน และคงต้องใช้เวลายาวนาน จึงต้องการให้เอียวหงีส่งมอบจดหมายลับต่อเล่าปี่ ผู้นำแดนเสฉวนโดยตรง แลกเปลี่ยนกับการฝากฝังให้เข้ารับราชการ โดยมอบทวนอสรพิษเป็นหลักฐานยืนยันสถานะ เอียวหงีย่อมมีความยินดีที่จะมีโอกาสเข้าถึงขุมกำลังแดนตะวันตกที่กำลังเติบใหญ่ จึงยอมรับภารกิจ และแยกทางไปเมืองเสฉวนโดยเร็ว
…
แฮหัวตุ้น โจผี และสุมาอี้ ปรึกษากันต่อ เห็นว่า ศึกเมืองฮันต๋งเพิ่งยุติ คนยังไม่ทันสมานสามัคคี ประเมินว่าทหารมีเพียงสามหมื่นกว่านาย ฝ่ายตรงข้ามก็มีเพียงฮองตง อุยเอี๋ยน หวดเจ้ง ที่ขึ้นชื่อ จึงยังมีโอกาสช่วงชิงกลับคืนมาได้ ในเมื่อม้าเฉียวมิได้ข้ามเทือกเขามารบตามข่าว จึงฝากเมืองเตียงอันไว้กับโจหองเช่นเดิม แล้วจัดทัพสี่หมื่น มุ่งหน้าสู่เมืองฮันต๋งในทันที อย่างน้อย ก็อาจจะกอบกู้ชื่อเสียงมาได้บ้าง จึงแสร้งยกธงชื่อโจโฉ หวังข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามว่า โจโฉ-วุยอ๋อง ยกทัพมาด้วยตนเอง พร้อมกับส่งข่าวให้หันซุยแห่งเมืองเสเหลียงจัดทัพมาสมทบจากด้านเหนืออีกทางหนึ่ง
เมื่อกองทัพเคลื่อนมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำฮวงโห จุดเดิมที่เคยเป็นสมรภูมิทุ่งหญ้าหิมะที่สร้างชื่อเสียงให้กับม้าเฉียว และกลยุทธ์จิ้งจอกหิมะ แต่สภาพดินฟ้าอากาศแตกต่างกัน เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูกาล มีเพียงหิมะปกคลุมอยู่บนเทือกเขาสูงบ้างประปราย สามขุนศึกเข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว ชี้ชวนให้ดูตำแหน่งที่เกิดเรื่องราว เพื่อศึกษาเป็นประสบการณ์รบไว้ด้วยความวางใจ เพราะยังห่างไกลจากสมรภูมิชายแดนอยู่มากนัก
กองทัพยังคงเคลื่อนผ่านสะพานต่อไปอย่างไร้เรื่องราว ระดับน้ำคล้ายแห้งขอดจนสูงเพียงแค่เข่า เหล่าทหารบางส่วนจึงพากันเดินลุยน้ำผ่านไป เพื่อเร่งทำเวลา ไม่ต้องรอคอย หรือแออัดสะพาน จนผ่านแม่น้ำไปได้แล้วเกือบครึ่งกองทัพในเวลาอันสั้น
และแล้ว เกิดเสียงระเบิดตูม ตูมดังสนั่นเกือบพร้อมเพรียงกัน สะพานข้ามแม่น้ำถูกพังทะลายลงอย่างง่ายดาย เหมือนมีการเลื่อยบากทำลายเสาสะพานเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว พร้อมกับสายน้ำที่บ่าไหลมาอย่างรุนแรงราวกับทำนบแตก
ระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพ้นหัวคน พัดพาทหารสูญหายไปตามกระแสน้ำมากมาย แสดงว่า แม่น้ำฮวงโหที่ตื้นเขินนั้นเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามวางกับดัก ตั้งเขื่อนกั้นสายน้ำไว้ที่ด้านบนให้ตายใจ รอให้กองทัพแฮหัวตุ้นหลงกลข้าม ค่อยทำลายเขื่อนใช้พลังน้ำรุนแรงโหมเข้าทำลายล้าง และตัดขาดกองทัพออกจากกันเป็นสองส่วน
เสียงโห่ร้องก็ดังกึกก้องมาจากเทือกเขาสูง พร้อมกับท่อนซุง ก้อนหินใหญ่ถูกกลิ้งหล่นลงมาตามแนวเขาแทนที่ก้อนหิมะในคราก่อน ซ้ำยังมีสัตว์ป่ามากมายทั้งจิ้งจอก หมาป่า เสือ กวาง ถูกไล่ต้อนวิ่งหนีแตกตื่นออกมาด้วย กระแทกเข้าใส่กองทัพด้านล่างจนปั่นป่วนชุลมุน ไม่อาจควบคุมสั่งการได้
กองทัพม้าเฉียวที่ร่ำลือกันว่า กลับเมืองปาเสไปแล้วนั้น ที่จริง ร่วมมือกันกับชนเผ่าตี เคลื่อนกำลังมาซ่อนตัว รอสกัดโจมตีพวกแฮหัวตุ้นในจุดนี้นี่เอง จึงฉวยโอกาสออกจากจุดพรางกาย ใช้หลุมอุโมงค์บ้าง ใช้เถาวัลย์ห้อยโหนบ้าง ใช้สะพานเชือกแขวนไปตามต้นไม้สูงบ้าง ไล่ฆ่าฟันทหารไปทั่ว หากใครยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์ ก็ได้รับการละเว้นชีวิต จนเกิดภาพทหารที่แตกต่างกัน บ้างก็ยอมแพ้ บ้างก็ถูกคร่าชีวิต บ้างก็วิ่งหนีเอาตัวรอดด้วยความแตกตื่นเสียขวัญกำลังใจ
กองทหารส่วนหน้าที่ข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามโดยไม่มีขุนพลเอกกำกับทัพ ก็มิใช่ว่าจะโชคดีกว่ากัน เพราะฮองตง อุยเอี๋ยน และหวดเจ้งก็ยกพลมาแอบซ่อนรอจังหวะ และไล่ฆ่าฟันอยู่อย่างโกลาหลอยู่เช่นกัน ผู้คนฝั่งนั้นยุ่งยากลำบากกว่าตรงที่ด้านหลังคือแม่น้ำใหญ่ ไม่อาจล่าถอยกลับมาได้ด้วย จึงเกิดเป็นภาพทหารยอมสวามิภักดิ์มากมายย่ิงกว่า จนทำให้กองทัพห้าหมื่นนายของแฮหัวตุ้นย่อยยับแตกกระเจิง พวกแฮหัวตุ้นทั้งสามต้องรีบหลบหนีกลับเมืองเตียงอันอย่างทุลักทุเลยิ่งนัก
จากการศึกครั้งนี้ จึงเป็นการยุติสมรภูมิทางตะวันตกไปชั่วคราว ต่างฝ่ายต่่างตั้งยันกันอยู่ที่เมืองกันชนลำดับถัดไป แต่การสูญเสียเมืองฮันต๋งให้กับฝ่ายเล่าปี่ และขุนศึกตระกูลแฮหัวพ่ายศึกติดต่อกันถึงสองครั้ง ทำให้ฮองตง อุยเอี๋ยน หวดเจ้ง และม้าเฉียว ม้าเลี้ยง กลุ่มคนหน้าใหม่ของเล่าปี่มีผลงานการกำกับทัพที่โดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน และยังตอกย้ำความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ของกองทัพฝ่ายรัฐบาลต่อไป
โดยเฉพาะแฮหัวตุ้นที่เกือบถูกเกาทัณฑ์ของอุยเอี๋ยนสังหารในระหว่างการหลบหนีอย่างฉุกละหุก ยังดีที่เสี่ยวตัน องครักษ์คนสนิทของโจผี เสี่ยงตายยอมรับอาวุธแทน จนปากฉีกแก้มทะลุ และฟันหักไปหลายซี่ จนไม่อาจพูดจาได้เหมือนคนปกติ แฮหัวตุ้นซาบซึ้งในการกระทำ จึงประกาศรับอุปการะองครักษ์พิการไว้เป็นลูกบุญธรรม ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “แฮหัวหลิม” ทางหนึ่ง เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตโดยตรง อีกทางหนึ่ง เป็นการแสดงออกให้คนทั้งปวงยกย่องเชิดชูผู้มีพระคุณให้ปรากฏ
แฮหัวตุ้น จงใจตั้งชื่อลูกบุญธรรมเป็น แฮหัวหลิม (ออกเสียงเหมาในสำเนียงจีนกลาง) สอดคล้องกับคำว่า เหมา-ตุ้น (ทวน-โล่) ซึ่งเป็นสำนวนที่โด่งดังเกี่ยวกับความขัดแย้ง เพื่อให้ส่งผลกระทบเชิงสัญลักษณ์ไปยังบุคคลสำคัญ คือ โจโฉ ให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่แฮหัวตุ้นเสี่ยงตายช่วยโจโฉจากหลวงจีนเภาเจ๋งตั้งหลายครั้งหลายหน หวังให้ความตึงเครียดจากกระแสการเมืองในเมืองหลวงเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง
คงมีแต่สุมาอี้ที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน พบเห็นถนัดตาว่า แฮหัวตุ้นมิได้ตกอยู่ในสภาวะอันตรายตามที่บอกกล่าว หากแต่เป็นการจัดฉากตามสถานการณ์ ที่จริงเป็นแฮหัวตุ้นเองที่ลากดึงเอาตัวองครักษ์เสี่ยวตันเข้ามาบดบังทิศทางของเกาทัณฑ์อย่างจงใจ โดยที่แฮหัวหลิมผู้อ่อนด้อยฝีมือไม่ทันรู้ตัว จึงถือว่า บุญหล่นทับ ได้พบโชคในเคราะห์กรรม
ส่วนเสี่ยวตัน-แฮหัวหลิมเอง ยังแค้นเคืองศัตรูไม่จางหาย ในเวลาต่อมา จึงจัดสร้างหน้ากากปีศาจครึ่งหน้าที่ผิดแผกแตกต่างกันกับศัตรูอุยเอี๋ยน เพื่อปิดบังรอยแผล และรำลึกถึงความแค้นในศึกครั้งนี้
สำหรับข่าวลือที่เผยแพร่ออกไปจากการศึกครั้งนี้ ถึงกับสับสนยิ่งกว่า กลับกลายเป็นโจโฉที่หนีตาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนฟันหักไปหลายซื่ด้วยฝีมือของอุยเอี๋ยน ทั้งๆที่จริงแล้ว โจโฉพำนักอยู่แต่เมืองหลวง ไม่ได้มาร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย หากทว่าแฮหัวตุ้นได้อัญเชิญธงโจโฉมาเป็นแม่ทัพเพื่อข่มขวัญศัตรูเท่านั้น และผู้ที่โชคร้ายนั้น แท้จริงคือ แฮหัวหลิม หรืออดีตองครักษ์เสี่ยวตัน นี่เอง
…
แฮหัวตุ้น สุมาอี้ ยังคงคุมกองทัพใหญ่เฝ้าระวังเมืองเตียงอันต่อไป ไม่กล้าถอยทัพคืนสู่เมืองหลวง ในขณะที่โจผีกับโจหอง นำตัวโจสิด นางเอียนซี กลับเข้ามาให้โจโฉตัดสินโทษก่อน เบื้องต้น โจโฉสอบสวนไม่พบความผิดทางทหารของโจสิด นอกเหนือไปจากการให้ที่พักพิงต่อนางเอียนซี กบฏสาวผู้ที่เป็นพี่สะใภ้ และที่จริงก็ยังอายุไม่มาก คิดอ่านไม่รอบคอบ จึงสั่งกักบริเวณให้สำนึกผิดที่ปราสาทนกยูงทองแดงเป็นเวลาสามปี และให้ทำงานสะสางบทประพันธ์ร่วมกับกลุ่มนักปราชญ์สายวิชาการจากสำนักหอสมุดใต้หล้าที่อองลอง ปราชญ์ปัญญา ได้กลับคืนมาเป็นเจ้าสำนักเช่นเดิมแล้ว
ส่วนนางเอียนซีนั้น ย่อมมีความผิดฐานขบถต่อแผ่นดินในศึกสองนางพญาอย่างแน่นอน แต่ทั้งโจผี ผู้เป็นสามี และทั้งทูตตัวแทนจากเผ่าเซียนเปย ได้ร้องขอให้ละเว้นชีวิต ให้ลงโทษแต่สถานเบา เนื่องจากนางเพียงโง่เขลาเบาปัญญา ตามไม่ทันจิตใจคนอื่น จึงตกเป็นเครื่องมือให้กับนางเตียวเฟิง โจรสาวทายาทเตียวก๊กอีกทอดหนึ่ง
โจโฉพิจารณาแล้ว เห็นว่าตัวนางเอียนซีเอง มีฝีมือแค่พอประมาณ ไม่อาจคิดการณ์ใหญ่ได้ตามลำพัง และเผ่าเซียนเปยก็ไม่มีบทบาทสำคัญทางการทหารมานานแล้ว อีกทั้งนางยังมีสถานะเป็นเมียของโจผี และแม่ของโจยอย จึงไม่ต้องการถือสาหาความให้วุ่นวาย เพียงสั่งการให้ลงโทษไปบวชชีสำนึกผิดที่วัดม้าขาวเป็นเวลาสามปีเฉกเช่นกัน
ที่จริงแล้ว ปราสาทนกยูงและวัดม้าขาว มิได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก โจโฉต้องการพิสูจน์ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองให้เป็นที่ประจักษ์ชัด จึงจงใจลงโทษให้อยู่ในบริเวณไม่ใกล้ ไม่ไกล จนเกินไป เพื่อดูว่า โจสิด นางเอียนซี จะประพฤติตนเช่นไรต่อไป ค่อยตัดสินใจให้เด็ดขาดในภายหลัง
โจสิด นางเอียนซี ย่อมดีใจที่ตัวเองรอดพ้นจากความตาย น้อมรับโทษตามคำตัดสินแต่โดยดี กลับเป็นโจผี ที่ยังเก็บงำความแค้นเอาไว้ เพราะรู้อยู่ในใจว่า ทั้งสองคนแอบสวมหมวกเขียวให้กับมันไปแล้ว ภายหลัง ยังสืบทราบมาว่า ถึงกับมีพยานรักกันด้วยซ้ำ แต่กลับไม่พบร่องรอยของทารกตอนที่เกิดการจับกุม
แน่นอนว่า สักวันหนึ่ง มันค่อยเอาคืนกับชายชู้หญิงสามานย์ให้สาสมใจ และจัดการกับทารกของคนทั้งสองให้จงได้ เพียงต้องรอให้เรื่องราวอื้อฉาวนี้เบาบางลงไปเสียก่อน เพื่อรักษาความรู้สึกที่ดีให้กับโจยอย ผู้เป็นบุตรชายของมัน และรักษาใบหน้าของตนเอง
…
ท่ามกลางความคุกรุ่นของกระแสการเมือง และการศึกสงครามกับพวกเล่าปี่ กลับเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นระหว่างโจผีกับโจหองอย่างเหลวไหลขึ้นเรื่องหนึ่ง ระหว่างที่โจผีพักอยู่ที่เมืองเตียงอัน ได้นำพรรคพวกไปดื่มกินที่เหลาดังอยู่บ่อยครั้ง และใช้วิธีจดบัญชีติดหนี้ค่าสุราอาหารเอาไว้ก่อน พอถึงคืนก่อนที่ต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ต้องการระบายความคับแค้นใจ จึงส่งคนไปแจ้งให้โจหองที่อยู่ในเหลาแห่งนั้น ให้ช่วยจัดการไปก่อน เพราะโจผีถือว่า การที่โจหองพ่ายทัพ เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายอัปยศที่เกิดขึ้น
แต่ทว่า โจหองมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว บวกกับความมึนเมาอยู่หลายส่วน พอเห็นว่าเป็นจำนวนเงินก้อนโต กลับเฉไฉชักดาบ ไม่ยอมช่วยรักษาหน้าให้วุยก๋งคนใหม่ ซ้ำยังอ้างชื่อโจผี สั่งการยกหนี้ให้กับเหล่าขุนพลขุนนางที่ออกเดินทางไปจนหมดสิ้นด้วย ทำให้ราษฎรนำไปล้อเลียนกันอย่างสนุกปากถึงความเหลวแหลกของโจผี
ภายหลัง โจผีค่อยทราบข่าวครหา และส่งเงินไปชดใช้หนี้ค้างจ่ายให้ทั้งหมดถึงเหลาดังกล่าว แต่ข่าวลือนั้นก็ิมิได้จางหายไปเสียทีเดียว ทำให้ภายในใจของโจผีมีความแค้นเคืองอยู่กับโจหองในเรื่องนี้เรื่อยมา ส่วนโจหอง พอทราบเรื่องที่บานปลายขึ้นเช่นนี้ ก็ไม่สบายใจ และเข้าหน้ากับโจผีไม่ติด เมื่อสบโอกาส จึงขออนุญาตโจโฉ กลับไปรักษาการณ์ที่เมืองเตียงอัน ร่วมกันกับแฮหัวตุ้น สุมาอี้ เช่นเดิม
อันที่จริง เรื่องดังกล่าวกลับเป็นฝีมือการบ่อนทำลายภายในของเครือข่ายใต้ดินตระกูลซุนนั่นเอง พอทราบข้อมูลจากเหลาดังในสังกัด ซุนแจ้งจึงตีไข่ใส่ความ สร้างความร้าวฉานภายในกลุ่มสกุลโจ
…
เอียวหงีทั้งสามเดินทางจากไปแล้วสักพักใหญ่ หน่วยปักษาสวรรค์ที่เหลืออยู่ อันมี นกฮูก-ฮัวโต๋ นางแอ่น-เตียวหุย หัวขวาน-ม้ากิ๋น และเหยี่ยวดำ จึงปรึกษากันถึงแนวทางในอนาคตของหน่วยปักษาสวรรค์ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอาการคลุ้มคลั่งของจูล่งกันต่อ
“พวกท่านก็เห็นอยู่ว่า ความยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมดล้วนเกิดมาจากฝีมือของเฒ่ากระเรียน คนของหน่วยปักษาโดยแท้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย ข้าเริ่มเห็นจริงกับความคิดของเฒ่ากระเรียนที่ว่า พวกเรานี่แหละคือส่วนเกินของประวัติศาสตร์ ยิ่งยื่นมือช่วยเหลือ ยิ่งสร้างความยุ่งเหยิงให้กับประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเฒ่ากระเรียน กระสา-อ้วนเสี้ยว เป็ดน้ำ-บังทอง และหัวขวาน-เตียวล่อที่ย้อนอดีตไป” อันดับเก้า นางแอ่น-เตียวหุย ร่ายยาวด้วยความคับข้องใจ
“จนบัดนี้ ตัวละครหลักสามคนที่ก่อกวนยุคสมัย จนพวกเราต้องเดินทางย้อนอดีตมานั้น อันได้แก่ อ้วนเสี้ยวกับโลซกก็ตายไปแล้ว เหลือแต่เพียงขงเบ้งที่ยังคงอยู่ แต่ฝ่ายเรายังมีพี่ห้า กระตั้ว-กาเซี่ยง ค้ำบัลลังก์โจโฉ น้องสิบ นกยูง-หวดเจ้ง ค้ำบัลลังก์เล่าปี่ และลกซุน หลานรักของเหยี่ยวดำ ค้ำบัลลังก์ซุนกวน เมื่อผนวกกันกับพี่สี่ นกฮูก-ฮัวโต๋ น้องสิบเอ็ด หัวขวาน-ม้ากิ๋น และน้องสิบสาม เหยี่ยวดำแล้ว ก็สมควรจัดการเรื่องราวได้แล้ว
จุดจบตามประวัติศาสตร์คือ เตียวหุย จูล่ง ล้วนหายสาบสูญไปในช่วงผลัดเปลี่ยนยุคผู้กล้า ข้าจึงคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ ขอพักรักษาอาการตัวเอง กลับคืนสภาพเป็นเพศหญิง ใช้ชีิวิตสันโดษดูแลรักษาจูล่งที่คลุ้มคลั่ง กับเลี้ยงดูเตียวซิงไช่ ซิงเหอ สองฝาแฝดกำพร้าในป่าเขา ถอนตัวออกจากศึกสงครามทั้งปวง อาณาจักรกว้างใหญ่ ผู้คนมากมาย พวกมันสมควรหาทางออกกันได้เอง” เตียวหุยประกาศเจตนารมย์อย่างชัดเจน ต้องการถอนตัวออกจากปัญหาการเมืองทั้งปวงแล้ว
หัวขวานนึกถึงเรื่องหนึ่ง จึงหลุดปากทักท้วง “ท่านไม่อาจอยู่ร่วมกับเตียวหยุน มันคือ..”
นกฮูก-ฮัวโต๋ เดาความคิดออกว่าหัวขวานจะเอ่ยถึงการตายของจ้าวอินทรีที่นางแอ่นไม่เคยรับรู้ จึงรีบเหยียบเท้าห้ามไว้ “มันคือคนที่ต้องกลับมาค้ำบัลลังก์ให้กับเล่าปี่ เล่าเสี้ยนไปอีกนานแสนนานน่ะหรือ ทุกอย่างคือประวัติศาสตร์หน้าใหม่อยู่แล้ว ปล่อยให้น้องเก้าทำตามแต่ใจไปเถิด เพราะอาการทางประสาทของมันคงต้องใช้เวลาฝังเข็มรักษาเส้นสมองไปอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งหรือสองปี เราจะถ่ายทอดวิธีการรักษาให้เจ้าไว้ แล้วเจ้าจงใช้สถานะของภรรยาอยู่ดูแลมันไปอย่างสงบ ก็นับเป็นทางออกที่ดี”
หมอฮัวโต๋ในฐานะของผู้นำคนปัจจุบัน ย่อมต้องควบคุมภาพรวมของสถานการณ์ จูล่งยังต้องมีบทบาทสำคัญในอนาคต ในขณะที่ตอนนี้ แผ่นดินกำลังจะเข้าสู่ช่วงแรกของสามก๊กอย่างแท้จริง พวกมันคนอื่นๆน่าจะเพียงพอจัดการเรื่องราวได้อยู่ ดังนั้น การฝากให้นางแอ่นที่บาดเจ็บสาหัส คอยดูแลจูล่งผู้คลุ้มคลั่ง และทารกฝาแฝด ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
หลายวันต่อมา หมู่บ้านน้อย ณ หุบเขาสงบร่มรื่นที่มีนามว่า จื่อหวู่ ในเขตแดนรอยต่อเมืองเตียงอัน-ฮันต๋ง จึงได้ต้อนรับครอบครัวนายพรานใหม่ที่ประกอบไปด้วยหนุ่มใหญ่ท่าทางองอาจแข็งแรง หญิงร่างอวบเค้าหน้าสวยงาม และเด็กทารกแฝดเพศหญิงสองคน นาม เตียวหยุน เอียนจื่อ (นางแอ่น) เตียวซิงไช่ เตียวซิงเหอ ตามลำดับ
…
ณ เมืองหลวงฮูโต๋ ฮัวหิมสั่งความให้บุตรสาวซินเหียนเอ๋งรับดูแลทารกอายุไม่ครบปีไปเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม โดยใช้แซ่ “ออง” ตั้งชื่อคำเดียวว่า “โยย” พ้องเสียงกับ “ยอย” พี่ชายต่างพ่อ แต่เกิดจากแม่คนเดียวกันของมัน แต่เรียกหาเป็น หยาถง (เด็กน้อย)
“เหียนเอ๋ง เผือกร้อนถูกอองลองนำตัวมาจากนายหญิงที่เราคุ้นเคยในอดีต จึงไม่อาจปฏิเสธภาระอันหนักหน่วงนี้ได้ ต่อไป เจ้าเด็กน้อยอาจจะเป็นคุณอนันต์ต่อวงศ์ตระกูลเรา และแผ่นดินในภายหน้า เจ้าเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เสียดายแต่ที่สามีเจ้าจำต้องด่วนจากไปก่อนวัยอันควร เจ้าจงเฝ้าอบรมดูแลเด็กน้อยผู้นี้ให้ดีเถิด”
ซินเหียนเอ๋งยังคงสะเทือนใจที่สามีเอียวตันชิงฆ่าตัวตาย เพื่อตัดตอนให้พวกนางรอดพ้นจากคดีความของเอียวสิ้วทั้งปวง สามารถกลับคืนสู่ชีวิตปกติได้อีกครั้ง แต่นางย่อมตระหนักว่า เรื่องราวพัวพันลึกซึ้งเกินกว่าที่ครอบครัวของนางจะต้านรับไหว จึงจำเป็นต้องผ่อนปรนไปตามสถานการณ์ เพราะบางครั้ง ฮ่องเต้ก็จำต้องมีแพะรับบาปเช่นกัน
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 5 - พยัคฆ์หยกนรกทักษิณ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย