15 ก.ค. 2021 เวลา 15:02 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
06​ ผ่าน ผ่าน
จากคูเวตไปสู่นิวยอร์ก
ตามเวลาที่หน้าตั๋วบอกผมว่า เราจะต้องใช้เวลาอีก 17 ชั่วโมง บนเครื่องบินลำนี้
มองเผินๆ อาจจะดูเหมือนว่าจะเป็นเวลาที่แสนยาวนาน แต่หากเทียบกับเวลาหกเดือนที่ผมต้องห่างกับวิว มันช่างสั้นนัก
“พี่ ผมไม่ไหวแล้วอ่ะ ขอนอนก่อนนะ” ในที่สุดดุ่ยก็หมดแรงที่จะฟังเรื่องราวของผมต่อไป
เวลาท้องถิ่นขณะนี้จวนเจียนใกล้เที่ยงเต็มแก่ เวลาที่ประเทศไทยตอนนี้น่าจะอยู่ประมาณสามหรือสี่โมงเย็นได้
นี่หากนับกันจริงๆ ผมยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้ และก็น่าแปลกใจ ว่าทำไมผมถึงไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย
พนักงานต้อนรับบนเครื่องเดินเอาอาหารมาแจกให้ผู้โดยสารอีกรอบ พอมาถึงที่นั่งของผม ผมก็เลยรับเอาโควต้าของดุ่ยมาด้วย ดุ่ยยังหลับอยู่
ด้วยความเกรงใจ ผมก็เลยไม่ปลุกดุ่ยขึ้นมากิน และช่วยรับผิดชอบอาหารในส่วนของดุ่ยแทน
อาหารบนเครื่องรสชาติแปลกๆ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ถูกปาก
ในที่สุดอาหารทั้งสองชุดก็ลงไปอยู่ท้องผมเป็นที่เรียบร้อย ผมเข้าใจแล้วทำไมผมไม่ง่วง เพราะผมโคตรหิวเลย และเมื่อกำจัดความหิวออกไป ความง่วงก็เริ่มคืบคลานเข้ามา
1
ช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องนับจากนี้ ไม่มีเรื่องอะไรน่าสนใจ หากจะสรุปใจความสั้นๆ ก็มีแค่ผมพยายามจะนอน แต่นอนไม่ได้เลย
ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากดุ่ยจะเป็นคนหลับง่ายแล้ว มันยังเด็กช่างกรนอีกด้วย
เพราะเพียงแค่หลับตา เครื่องจักรกรนของดุ่ยก็เริ่มทำงานทันที การกรนของดุ่ยมีหลากหลายรูปแบบ บางทีก็เบาๆ ฟังสบายสไตล์บอสซ่า บางครั้งก็กระโชกโฮกฮากราวกับเฮฟวี่เมททัล แม้ผมพยายามทำใจคิดว่านั่นเป็นดนตรีที่ขับกล่อมบรรเลง แต่การเปลี่ยนจังหวะบ่อยครั้งก็กระชากให้ผมตื่นจากภวังค์ทุกที
เมื่อไม่ได้นอน ก็ต้องกิน พนักงานมาเสิร์ฟอาหารรอบใหม่ แน่นอนผมรับผิดชอบในส่วนของดุ่ยเช่นเดิม
กินเสร็จ ไม่มีอะไรทำก็อ่านหนังสือ อ่านจนเริ่มเคลิ้ม ตาเริ่มปิด แล้วเฮฟวี่เมททัลของดุ่ยก็กระชากผมตื่นอีก ทุกอย่างวนเวียนเป็นไปอย่างนี้สิบกว่าชั่วโมง
“โอยยยย...” เสียงดุ่ยคราง ดูท่ามันจะตื่นแล้ว “ถึงไหนแล้วเนี่ย”
ไม่รู้ว่าดุ่ยต้องการคำตอบอะไรจากผม
 
ก. ถึงมหาสมุทรแอตแลนติก
ข. ถึงเส้นรุ้งที่ 63 เส้นแวงที่ 96
ค. ถึงกิโลเมตรที่ 4788 นับจากที่เราเริ่มออกเดินทาง
ง. ถึงก้อนเมฆก้อนที่ 1378
ผมไม่รู้จะตอบดุ่ยยังไงดี คำตอบไหนที่ดุ่ยต้องการจะได้ยินจากผม
“โอยยยย...หิวจังเลย มีไรกินมั้ยพี่” เออ... คำถามนี้ผมพอรู้คำตอบ แต่ผมขอไม่ตอบดีกว่า
“อ่ะนี่ น้ำ...เอาไปลูบท้องก่อนนะ” ผมยื่นน้ำให้ดุ่ย แล้วดุ่ยก็กระดกดื่มอย่างกระหาย
“อ้า เจ็บคอจัง” หึ แหงสิครับ ก็เล่นกรนหลายจังหวะเหลือเกิน
ดุ่ยหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู “เฮ้ย พี่นี่เรายังไม่ถึงอีกเหรอ”
ดุ่ยยื่นนาฬิกาให้ผมดู นาฬิกาที่บอกว่าขณะนี้ เวลาที่นิวยอร์กคือ 19.23 น.
ผมหยิบตั๋วเครื่องบินขึ้นมาดู เวลาที่หน้าตั๋วบอกผมว่า เครื่องของเราควรลงจอดที่นิวยอร์กตั้งแต่เวลา 18.55 น.แล้ว
แล้วทำไมตอนนี้เราอยู่บนฟ้าอย่างนี้หรือว่าจะเกิดเรื่องร้าย มีผู้ก่อการร้าย จี้เครื่องบินลำนี้ แล้วออกคำสั่งไม่ให้ลงจอด แล้วให้นักบินขับไปลงที่อื่น...นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนกังวล โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครอยากนึกถึง และไม่มีใครที่อยากให้เกิดขึ้นอีก
เสียงของกัปตันประกาศออกลำโพง ให้ผู้โดยสารได้ทราบว่าเครื่องบินของเราจะลงจอดดีเลย์ และขออภัยผู้โดยสารทุกท่านมาในโอกาสนี้ ผู้โดยสารหลายคนออกอาการเซ็งอย่างเห็นได้ชัด แม้สถานการณ์จะไม่ได้เลวร้าย และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่สำหรับผมยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน
...
Armstrong วิว เดี๋ยวเราจะไปถึงที่วันอาทิตย์นี้นะ
View Wow อืม ถึงกี่โมงละ
Armstrong ประมาณทุ่มนึง
View Wow เคร
Armstrong เธอจะมารับเราใช่ป่ะ
View Wow อืม
...
นั่นคือข้อความที่ผมคุยกับวิวผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนที่ผมจะออกจากประเทศไทย
ซึ่งตอนนี้เธอน่าจะรอผมอยู่ที่สนามบินแล้ว แต่ผมยังอยู่บนเครื่อง...
ครั้งหนึ่งผมเคยนัดวิวไปดูละครเวที แต่วันนั้นรถติดมาก ผมไปสายสิบนาที และทำให้เธอต้องพลาดช่วงต้นของละคร ผมจำได้ว่าวันนั้นเธอโกรธผมมาก
“เราไม่ชอบคนมาสาย”
คำพูด น้ำเสียง สีหน้า และแววตาของเธอ ผมยังจำได้ถึงวันนี้
หลังจากครั้งนั้น เวลานัดกันผมพยายามจะไม่ไปสายอีกเลย
จนกระทั่งตอนนี้ เวลาบอกเวลาท้องถิ่นอยู่ที่ 19.55 น. ตอนนี้สายไปแล้วหนึ่งชั่วโมง เวลาหนึ่งชั่วโมงอาจจะดูสั้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาทั้งหมดที่ใช้ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา แต่ถ้าเป็นเวลาแห่งการรอคอย มันช่างยาวนานนัก
สัญญาณคาดเข็มขัดนิรภัยเด้งขึ้นมา มองไปที่นอกหน้าต่างเครื่องบิน
แสงสีของมหานครนิวยอร์กส่องสว่างให้เห็นอยู่ไกลๆ
เครื่องบินค่อยๆ ลดระดับ แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่ผมก็รู้ว่าเบื้องหน้าของผมคือสนามบิน JFK และที่นั่นมีคนที่ผมรักรอผมอยู่
แต่ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ตอนนี้เธอจะอยู่ในอารมณ์ไหน
...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)​

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา