16 ก.ค. 2021 เวลา 06:22 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
07 เสียงที่คุ้นเคย
บันทึกเรื่องราวหอกหัก
23/12/2012 – 01/01/2013
เพียงแค่ประตูเครื่องบินเปิด ผู้โดยสารทั้งหมด พากันเดินออกจากตัวเครื่องอย่างรวดเร็ว คงไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกอึดอัดกับการที่เครื่องดีเลย์ในครั้งนี้
ทางเดินทอดยาว นำพาผู้โดยสารทุกคนไปสู่จุดตรวจคนเข้าเมือง ว่ากันว่าสนามบิน JFK แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสนามบินที่มีมาตรการการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้น หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอันนั้นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่หากการตรวจที่เข้มข้นนี้ทำให้ผมออกไปช้า อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมอีกอย่างขึ้นกับผมก็ได้
ช่วงเวลาของการตั้งแถวรอ เจ๊เจ้าหน้าที่อยู่ข้างหน้า เธอเป็นผู้หญิงผิวสี ร่างใหญ่ ลองจินตนาการถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เราเคยชม รูปร่างหน้าตาประมาณเพื่อนนางเอก ที่ช่วยเติมสีสันอารมณ์ขันให้กับคนดู
แต่เห็นมวลอารมณ์ของเธอที่แผ่ซ่านออกมาตอนนี้ ผมขำไม่ออกจริงๆ
เพราะหน้าเธอโหดมาก ไม่ยิ้ม ไม่มีความเป็นมิตร ไม่รู้จะจริงจังอะไรขนาดนั้น ผมได้แต่ภาวนา ขออย่าให้เธอถามอะไรผมมากเลย
“พี่ ถ้ามันไม่ให้เราเข้าประเทศนี่ต้องกลับเลยป่าว” ดุ่ยถามผม
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าผมนั่งเครื่องบินมายี่สิบกว่าชั่วโมง หากมันไม่ให้เข้าประเทศ ผมก็คงโกรธมาก ซึ่งก็คงทำได้แค่นั้นแหละ ผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างผม ให้สู้กับเจ๊ข้างหน้า ผมยังแพ้เลย
แล้วก็ถึงคิวของผม ผมยื่นเอกสารพร้อมกับพาสปอร์ต เธอมองพาสปอร์ต แล้วก็มองหน้า แล้วก็ก้มมองพาสปอร์ต แล้วก็มองหน้าอีกครั้ง... เอาไงดี หรือว่าผมจะเจอปัญหา ผมไม่รู้ทำยังไง เลยพยายามส่งยิ้มหวานสุดชีวิตที่ทำได้ให้เธอ แล้วก็พูดกับเธอว่า... “I am tourist ฮะ” ...มีฮะด้วย เพื่อแสดงว่าเราเป็นคนมีมารยาท พูดจามีหางเสียง...
ได้ผล เธอประทับตราบนพาสปอร์ตผม แล้วก็คืนกลับมา ประตูสู่เมืองนิวยอร์กเปิดต้อนรับผมอย่างเต็มตัว เจ๊เจ้าหน้าที่ส่งยิ้มเล็กๆ ให้ผม
ขอต้อนรับสู่ดินแดนแห่งเสรีภาพ
สายตาของเธอบอกผมอย่างนั้น โชคดีจริงๆ ที่สายตาของเธอพูดภาษาไทยได้
ขั้นตอนต่อมาคือการออกมารอกระเป๋า ปกติการรอกระเป๋าตรงสายพานถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมชอบมากเวลาเดินทาง
จังหวะที่คนมารุมล้อมรอกระเป๋าตัวเอง เห็นกระเป๋าคนอื่นเคลื่อนผ่านหน้าแล้วของตัวเองอยู่ไหน เห็นคนอื่นหยิบกระเป๋าของเขาไป เราได้แต่มองด้วยสายตาอิจฉา แล้วในที่สุดเมื่อกระเป๋าของเรามาถึง เราจะเดินแหวกฝูงชนคนอื่นที่ออกันอยู่ ตรงเข้าไปหยิบกระเป๋าของตัวเองออกมาจากสายพานนั่น แล้วหันมาช้าๆ อย่างผู้ชนะ ทุกสายตาที่ส่งความอิจฉามาให้ นั่นแหละความสุขที่ปรารถนา
แต่ไม่ใช่วันนี้
ในตอนนี้ผมเต็มไปด้วยความร้อนใจ เพราะมันล่วงเลยเวลาที่นัดกับวิวมาแล้วร่วมสองชั่วโมงแล้ว
ผมไม่ปล่อยเวลาให้เลยผ่านไปเฉยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง ซึ่งผมได้เปิดโรมมิ่งเอาไว้ก่อนออกจากประเทศไทย แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไป เป็นเบอร์โทรที่วิวใช้ที่นี่ เธอได้ให้ไว้ก่อนที่ผมจะเดินทางมา ระหว่างที่รอสัญญาณดัง...
นั่น กระเป๋าของผมเคลื่อนที่มาพอดี ผมกดวางสายแล้วรีบแหวกฝูงชนตรงเข้าไปที่กระเป๋า คว้ามันออกมาจากสายพาน แล้วหันมาช้าๆ อย่างผู้ชนะ...
เฮ้อ...มันอดไม่ได้จริงๆ
“ทีนี้จะเอาไงต่อครับพี่”
ตรงบริเวณประตูผู้โดยสารขาเข้า มีคนที่ห้อมล้อมคอยถือป้ายและตะโกนโหวกเหวกเรียกกัน ดูลายตาไปหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“วิวเขามารับพี่ เดี๋ยวต้องโทรหาเค้าก่อน” ผมหันไปตอบดุ่ย
“โอเคฮะ งั้นเราคงต้องแยกกันตรงนี้แล้วล่ะ ป้าของผมมารับแล้ว” ดุ่ยชี้ไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“เออ... เฮ้ย ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ผมบอกดุ่ย
กำแพงของความแปลกหน้าบางทีก็แข็งแกร่ง บางครั้งก็เปราะบาง และพร้อมที่จะโดนทำลายได้ทุกเมื่อ แค่ยี่สิบกว่าชั่วโมงที่ผ่านมา ผมกับดุ่ยคุยกันเยอะกว่าเพื่อนบางคนที่คบกันมาหลายปีเสียด้วยซ้ำ
แม้จะช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ
“เออพี่ ผมขอเฟซบุ๊กพี่หน่อย เดี๋ยวจะแอดไป”
“ได้ เอาของเอ็งมาด้วย... เอานี่...โชคดีนะ”
“โชคดีครับพี่” ดุ่ยทำท่าจะเดินไป ก่อนหันกลับมา “อ้อ Merry Christmas นะพี่”
Merry Christmas ...อืม จริงด้วยสินะ วันนี้ เป็นวันที่ 23 ธันวาคม อีก 2 วันเท่านั้น...
หลังจากดุ่ยแยกไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องอยู่คนเดียว ความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ต่างดาวที่เพิ่งมาเยือนโลกใบนี้เป็นครั้งแรก มองไปทางไหนล้วนแปลกตา มีแต่คนแปลกหน้าและสำเนียงที่แปลกหู
บรรยากาศตรงนี้ดูวุ่นวาย ผมเดินฉีกออกมาจากกลุ่มคน ไปยืนพิงเสาของตัวอาคารสนามบิน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรไปที่เบอร์เดิมอีกครั้ง
...เงียบ
ผมรอสัญญาณรับสายดัง แต่มันเงียบ แล้วสุดท้ายสัญญาณก็หลุดไป
เอาใหม่ ผมกดหมายเลขเดิมอีกครั้ง... อีกครั้ง... และอีกครั้ง...
แต่ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเดิม ไม่มีสัญญาณใดตอบรับ
นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วนะครับ ทำไมมันถึงโทรไม่ติด นี่เธอใช้เครือข่ายโทรศัพท์อะไร ทำไมมันห่วยขนาดนี้...
หรือว่า เพราะเครื่องบินดีเลย์ ทำผมมาช้าไปสองชั่วโมง เธอเลยโกรธแล้วไม่รอ จะบ้าเหรอ หากเธอทำอย่างนั้นจริงๆ แล้วผมจะทำยังไงต่อ ที่นี่ไม่ใช่สุวรรณภูมินะ ผมจะได้เดินไปโบกแท็กซี่กลับบ้านได้
ถ้าผมออกจากสนามบิน JFK แล้วบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่บางนา มันคงให้ผักที่มีวิตามินB2 ที่คนไทยเรียกกันว่าฟักแก่ผมเป็นแน่แท้...
เอาไงดี เอาไงดี
เวลาผ่านไปสิบนาที ผมยังคงกระหน่ำโทรไปตามเบอร์ที่เธอให้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งก็โทรไม่ติดเหมือนเดิม ระหว่างโทรความคิดแง่ลบก็เริ่มงอกเงย หรือว่าเธอจะมารับผมแล้ว แต่ระหว่างที่รอมีแก็งค์ค้ามนุษย์หลอกล่อลวงเธอไป แล้วแย่งโทรศัพท์ของเธอไป ก่อนที่จะปิดเครื่องทำให้ผมไม่สามารถติดต่อเธอได้...
แย่แล้ว หากเป็นอย่างนั้นจริง จะทำยังไง...
ผมยุติความพยายามที่จะโทรหาเธอต่อไป แล้วค่อยๆ ตั้งสติ เราควรไปแจ้งตำรวจ แต่จะอธิบายให้ตำรวจเข้าใจเราได้อย่างไร ภาษาอังกฤษก็ไม่กระดิก
ในขณะที่ในหัวผมพยายามเรียบเรียงประโยคสนทนาภาษาอังกฤษอยู่ ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เบอร์แปลกๆ หรือว่าจะเป็นพวกที่จับเธอไป โทรมาเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ
ผมค่อยๆ เอื้อมนิ้วไปกดปุ่มรับสาย แล้วยกหูฟังขึ้นมา
“นี่! เธออยู่ไหน เรามารอตั้งนานแล้วนะ”
และนั่นคือเสียงที่คุ้นเคย ฟังดูก็รู้ว่าตอนนี้ปลายสายกำลังอยู่ในอารมณ์เคืองขนาดไหน
ก่อนหน้านี้ นี่คือสถานการณ์ที่ผมกลัวว่าจะเกิดขึ้น ผมรู้ว่าวิวไม่ชอบรอ ไม่ชอบคนมาสาย และเธอคงโกรธมาก
แต่ว่าตอนนี้ผมโคตรดีใจเลย ที่ได้ยินเสียงของเธอ
...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา