Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ท่านโอ๊ตฮิ
•
ติดตาม
17 ก.ค. 2021 เวลา 06:24 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
11 ค่ำคืนที่ว่างเปล่า
“เฮ้ย!”
ผมสะดุ้งตื่น เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง ที่นี่ที่ไหน...
“อ่า โทษที เราทำเธอตื่นเหรอ” ...วิว ทำไมวิวมาอยู่ที่นี่ สมองของผมค่อยๆ เรียบเรียงความคิด
1
อ๋อ ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ห้องนอนของผม ตอนนี้ผมอยู่ที่นิวยอร์ก ในห้องของวิว ผมเดินทางไกลมายี่สิบกว่าชั่วโมง และนี่อาจจะเป็นผลกระทบจากอาการเจ็ทแลค ร่างกายของผมยังไม่ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ วิวนั่งอยู่หน้ากระจกบานเล็ก และกำลังยุ่งอยู่กับการแต่งหน้าเพื่อไปออกทำงาน
1
“เธอต้องไปทำงานกี่โมง” ผมงัวเงียถาม
“แปดโมงครึ่ง” เธอตอบพร้อมกับเริ่มเก็บเครื่องสำอางที่อยู่บนโต๊ะ ผมเหลือบมองไปที่นาฬิกา อีกห้านาทีจะแปดโมง
“งั้นเดี๋ยวเราไปส่งนะ รอแปร๊บ ขออาบน้ำก่อน” ผมลุกขึ้นจากเตียง
“ไม่ต้องไปหรอก รอเธออาบน้ำ เราไปไม่ทันพอดี” เธอเก็บของที่โต๊ะเสร็จ แล้วเอื้อมไปหยิบกระเป๋ามาสะพาย
“นอนต่อเหอะ เราไปเองได้” เธอหยิบกุญแจแล้วยื่นให้ผม
“อ่ะ นี่กุญแจห้องนะ เก็บดีๆ ละ เรามีชุดเดียว” แล้วเธอก็เดินตรงไปที่ประตู
ไอ้ง่วง มันก็ง่วงอยู่นะ ข้างนอกอากาศก็หนาว ถ้าตามใจตัวเองในสถานการณ์อย่างนี้ผมคงเลือกนอนต่อดีกว่า แต่ว่าผมไม่ได้เดินทางมาครึ่งโลกเพื่อมานอนซักหน่อย
“เดี๋ยว เราไปด้วย”
ว่าแล้วผมก็หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่แล้วเดินตามวิวออกไปทันที
...
ผมออกมายืนที่หน้าตึก องค์ประกอบของเช้าวันแรกในนิวยอร์ก
ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น เสียง แสง ทำเอาผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่รายล้อม ตัวอาคารทั้งสองข้างทาง ต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งกับก้าน มีใบไม้บางตา ผสมกับอุณหภูมิเย็นๆ บนทางเท้ามีผู้คนเดินกันควักไขว่ และมีเธอที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดเหมือนจะดึงผมเข้าไปในบรรยากาศแห่งความละมุนละไมในภาพยนตร์แนวรักโรแมนติก ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของเธอ
“เร็วสิเธอ เดี๋ยวเราไม่ทันรถไฟ”
วิวหันมาเร่งก่อนที่มือของผมจะถึงมือของเธอ แล้วออกเดินอย่างรวดเร็ว เสียงแตรรถยนต์ และภาพความเร่งรีบของคนรอบตัว ความละมุนละไมที่กำลังค่อยๆ ก่อตัวเมื่อซักครู่นี้ โดนทำลายลงในทันที
นิวยอร์กก็เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ทั่วโลก ที่แต่ละวัน ชีวิตของแต่ละคนเต็มไปด้วยการแข่งขัน และเผลอๆ นี่อาจจะเป็นเมืองที่มีอัตราการแข่งขันของประชากรสูงที่สุดในโลกด้วยซ้ำ นั่นเองที่ทำให้ใครเรียกเมืองนี้ว่าเป็น มหานคร
วิวยังคงเดินจ้ำอย่างรวดเร็ว ผมก็เร่งฝีเท้าตามเธอไปติดๆ ช่วงเวลาที่หวังไว้ว่าจะได้เดินพูดคุยสนทนา หัวเราะหยอกล้อกัน ไม่เป็นตามที่หวัง เพียงแค่ไม่กี่นาที เราก็มาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Grand Av. Newton
“ส่งแค่นี้พอแล้ว เธอกลับไปเถอะ เดี๋ยวเราไปต่อเอง” วิวหันมาบอกผม
“แล้วเลิกงานกี่โมง ให้เรามารอที่นี่มั้ย”
“ยังไม่แน่ ไม่ต้องมารอหรอก เราไปละ โชคดี” พูดจบเธอก็หันหลังจะลงไปที่สถานี
ท่ามกลางความวุ่นวาย ทุกอย่างดูเร่งรีบ ทุกคนพากันเดินลงไปที่สถานี เสียงพูดคุย ผสมกับสรรพเสียงต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
“เธอ...ขอเรากอดหน่อย”
วิวไม่หันกลับมา เธอเดินตรงดิ่งหายเข้าไปรวมกับฝูงคน
ไม่เป็นไร เธอคงไม่ได้ยิน ผมหันหลัง แล้วเดินกลับที่พัก
...
แถวที่วิวพักนี้ เรียกว่า Elmhurst อยู่ในย่าน Queen เป็นย่านที่ฉีกตัวออกมาทางตะวันออกของใจกลางเมืองนิวยอร์ก แม้บรรยากาศไม่วุ่นวายเท่ากับในตัวเมือง แต่ก็ใช่จะไม่วุ่นวาย ตามที่ทราบมาเค้าว่ากันว่า ที่นี่จะเป็นย่านที่มีคนหลายเชื้อชาติมาอาศัยอยู่รวมกัน ซึ่งคนไทยก็มีไม่น้อย คงเป็นเพราะราคาที่พักที่ค่อนข้างถูก และไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก
ระหว่างเดินกลับผมแวะซื้ออาหารเช้าจากร้านสะดวกซื้อข้างทาง
ภายในร้านมีเจ้าของซึ่งเป็นคนแขกยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่หลังเคาน์เตอร์ ไม่มีทีท่าสนใจลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามา
หากร้านนี้ เหมือนร้านเซเว่นในกรุงเทพทุกอย่างก็คงเป็นเรื่องง่าย เพราะความคุ้นเคย ทำให้เรารู้ว่าสามารถจะหาซื้ออะไรได้จากตรงไหน ตู้เย็นอยู่ด้านในสุด ชั้นตรงข้ามมีสแน็คขบเคี้ยว ข้างๆ ก็มีมาม่า ใกล้ที่จ่ายเงินก็มีไส้กรอก ผมก็คงเดินเข้าไปซื้อสโมคกี้ ไบท์ แซนวิช ขนมจีบ ซาลาเปา ชาเขียว อะไรต่อมิอะไรได้ตามปรารถนา
แต่ที่นิวยอร์กแห่งนี้ ไม่มีเซเว่นมากมายเท่าเมืองไทย ร้านสะดวกซื้อแต่ละแห่งก็มีการจัดวางสินค้าไม่เหมือนกัน ผมเดินเข้าไปในร้านแบบไร้แนวคิด และไม่มีแนวทางในการเลือกซื้อที่ชัดเจน
ของในร้านถูกจัดวางกระจัดกระจายแบบหยาบๆ จะซื้ออะไรก็ต้องชั่งใจให้หนัก อันนี้จะอร่อยมั้ย จะกินเป็นมั้ย อันที่กินเป็นแน่ๆ ราคาก็แพงจัง ก็แหงละครับ ค่าครองชีพในนิวยอร์กมันสูงกว่าที่กรุงเทพตั้งกี่เท่า
สายตาผมพลันมาสะดุดกับของสิ่งหนึ่ง อันนี้แหละ ราคาไม่แพง และเรากินเป็นแน่ๆ ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วตรงไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันที
“ฮัลโหล...บานาน่า แอนด์ ครัวซอง...พลีส”
ภาษาอังกฤษต่ำชั้นของผมถูกเปล่งออกมาจากปาก และเพื่อความสุภาพ ไม่ลืมที่จะเติม พลีส ต่อท้ายประโยคทุกครั้ง เจ้าของร้านแขกละสายตาจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมามองหน้า แล้วมันก็อ้าปากพูด
“@#%$#&*^(&)*&()%(%(*%&)”
อ้าว... มันพูดอะไรครับเนี่ย เอาไงดีละ ผมแค่อยากรู้ราคาเท่านั้น จะได้จ่ายไป แล้วจะจบๆ
“เอ่อ...เยส ฮ่าฮ่า” แสดงความเป็นมิตรกลับไปก่อนละกัน
“%@#^%*&(&^(*)*_&*_(_^ ”
มันยังไม่หยุด ยากแล้ว ทำไงดี
ช่วงเวลานั้น ผมตระหนักว่าหากยังคงแสดงความเป็นมิตรกันต่อไป เรื่องราวการสนทนาก็คงดำเนินต่อเรื่อยๆ และไม่แน่ว่าการสนทนานั้นอาจจะสื่อสารกันคลาดเคลื่อน เพราะความไม่เข้าใจทางภาษา นำไปสู่บทสรุปที่เลวร้าย และสุดท้ายมิตรภาพดี อาจจะโดนทำลาย ผมจึงตัดสินใจจบบทสนทนานี้โดยการยื่นแบงค์ 10 ดอลล่าร์ให้ไป
“$^#&^%$%^$%”...
เจ้าของร้านยังพูดอะไรต่อไป ซึ่งแน่นอนครับผมฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ทำได้เพียงแค่ยิ้มหล่อๆ กลับไปเท่านั้น
แล้วในที่สุดเขาก็ยื่น กล้วยหอม และครัวซองมาให้พร้อมเงินทอน
“แท็งกิ้ว” ว่าแล้วผมก็รีบเดินออกจากร้านทันที
ผ่านไปแล้ว ครั้งแรกกับการสนทนากับชาวต่างชาติในต่างแดนโดยลำพัง
ถือว่าผมทำได้ดีเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยตอนนี้อาหารเช้าก็มาอยู่ในมือของผม มองดูเงินทอนที่เพิ่งรับมา
“...1...2....3...4 ดอล...4.25”
เงินทอนทั้งหมด 4.25 ดอลล่าร์ เมื่อกี้ผมให้ไป 10 ดอล นั้นก็แสดงว่า ราคาของกล้วยและครัวซองนี้เท่ากับ...
5.25 ดอลล่าร์ ตอนนี้ดอลล่าร์นึงก็ประมาณ 33 บาท
ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณร้อย...ร้อยเจ็ดสิบบาท...
โอ้ว แม่เจ้า กล้วยกับครัวซองร้อยเจ็ดสิบบาท
ราคานี้ผมนึกถึงบะหมี่เกี๊ยวแถวบ้านขึ้นมาทันที ความกังวลเริ่มบังเกิด
ผมจะอยู่รอดในนิวยอร์กถึงวันกลับบ้านรึเปล่าเนี่ย
...
หลังจากกลับมาถึงที่พัก ล้างหน้าล้างตาให้พอสดชื่นขึ้น ก็ได้เวลาจัดการกับอาหารเช้าที่เพิ่งซื้อมา ด้วยราคาร้อยเจ็ดสิบบาท...
เอาเข้าจริงแล้วสภาพกล้วยช้ำๆ อย่างนี้ดูไม่สมราคาซักเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ ผมเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศอันอุดมสมบูรณ์เหมือนประเทศไทยของเรา ต้นทุนของมันก็อาจจะสูงกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผมค่อยๆ ปลอกเปลือกกล้วยช้าๆ พยายามเก็บทุกอารมณ์ระหว่างที่เปลือกกล้วยค่อยๆ ปลิดออกมา เอาให้คุ้มค่าทุกเพนนีที่จ่ายไป
ผมค่อยๆ กัดลงไปที่เนื้อกล้วยช้าๆ... อืม รสชาติก็งั้นๆ นะ
ไหนลองกินครัวซองหน่อย จับดูแล้วรู้สึกว่าเนื้อแข็งดีนะ ท่าทางจะเคี้ยวยาก ผมเกร็งขากรรไกร แล้วกัดลงไปช้าอีกครั้ง...
อืม แข็งจริงด้วย เปรี้ยวนิดหน่อยนะ หมดอายุรึเปล่าวะ ความสงสัยบังเกิด แต่มองข้างถุงก็ไม่เห็นมีบอกวันหมดอายุ
หรือว่า หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เจ้าของแขกคนนั้นพยายามจะบอกเรา
จะหมดอายุหรือไม่ ยังไงก็ช่าง ตั้งร้อยเจ็ดสิบบาท ผมไม่มีทางจะยอมให้มันเหลืออยู่บนโลกนี้เป็นอันขาด ว่าแล้วทั้งกล้วยและครัวซองก็ทยอยเดินทางลงไปในท้องของผมช้าๆ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
นิวยอร์ก ห อกหัก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย