20 ก.ค. 2021 เวลา 03:46 • หนังสือ
#38 เล่ม 3 บทที่ 7 หน้า 176 ~ 182
★บทนี้สำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องเปิดใจให้กว้างนะครับ ลองคิดพิจารณาตามสิ่งที่พระองค์บอกดูให้ดี ผมเชื่อว่ามันจะทำให้พวกคุณ(ที่นับถือคริสต์) เป็นอิสระ (จากความกลัว) ได้มากขึ้น
แอดมิน
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
N : เราคุยกันหลายเรื่องมากเลย มากจริงๆ เราจะไปต่ออีกขั้นกันได้หรือยัง❓ พระองค์พร้อมจะไปต่อหรือยังครับ❓
G : เธอล่ะ❓
N : แน่นอนครับ เครื่องติดแล้วตอนนี้ สุดท้ายเครื่องก็ติดจนได้ อยากจะถามมันทุกเรื่องที่รอถามมาสามปีแล้ว
G : ไม่มีปัญหา ว่ามาเลย
N : เยี่ยม ตอนนี้ผมอยากคุยเกี่ยวกับความเร้นลับทางจิตวิญญาณอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์พูดเรื่อง 🔸การเวียนว่ายตายเกิด (reincarnation)🔸 ให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ❓
G : แน่นอน
N : หลายศาสนาบอกว่าการเวียนว่ายตายเกิดคือหลักคำสอนที่ผิด คือความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง บอกว่าเรามีเพียงชีวิตเดียวตรงหน้านี้เท่านั้น มีเพียงโอกาสเดียว
G : ฉันรู้ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง
N : ศาสนาเหล่านั้นสอนเรื่องที่สำคัญมากขนาดนี้ผิดได้ยังไงครับ❓ เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นรากฐานขนาดนี้❓
G : เธอต้องเข้าใจว่ามนุษย์มีหลายศาสนาที่มีพื้นฐานจาก 💢ความกลัว💢 ซึ่งคำสอนจะแวดล้อมอยู่กับความเชื่อเรื่องพระเจ้าที่ต้องสักการบูชาและต้องยำเกรง
💢 ความกลัวนี่ล่ะที่ทำให้ทั้งสังคมโลกปฏิรูปตัวเองจากแต่เดิมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่กลายเป็นสังคมที่มีผู้ชายเป็นใหญ่แทน
💢 ความกลัวนี่ล่ะที่นักบวชในยุคแรกๆใช้ขู่ผู้คนให้ "ปรับแก้ความชั่วร้ายของตน" และ "จงสดับฟังวจนะของพระผู้เป็นเจ้า"
💢 ความกลัวนี่ล่ะที่ศาสนจักรใช้เพื่อเพิ่มและควบคุมเหล่าสาวก
💢 มีนิกายหนึ่งถึงกับยืนยันว่า พระเจ้าจะลงโทษเธอหากเธอไม่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งการไม่ไปโบสถ์ถือว่าเป็นบาป
💢 แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไปโบสถ์ไหนก็ได้นะ เธอต้องเข้าให้ถูกโบสถ์ด้วย หากเธอไปโบสถ์ของนิกายอื่นก็ถือว่าเป็นบาปเหมือนกัน
💢 นี่เป็นวิธีควบคุมผู้คนโดยใช้ความกลัว เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน
ที่น่าทึ่งก็คือ 🔹มันได้ผล🔹
นรก❗ ตอนนี้ก็ยังได้ผลอยู่
N : พระองค์คือพระเจ้านะครับ อย่าสบถสิ
G : ใครสบถ❓
ฉันเพียงแต่พูดไปตามความเป็นจริง ฉันบอกว่า :🔸นรก – ตอนนี้ก็ยังได้ผลอยู่🔸
📌 ผู้คนจะเชื่อเรื่องนรกอยู่วันยังค่ำ แล้วก็เรื่องที่พระเจ้าจะส่งพวกเธอลงนรกต่อไปอย่างนี้ ✴️ตราบที่ผู้คนยังคงเชื่อว่าพระเจ้าเป็นเหมือนมนุษย์✴️ นั่นคือ "ไร้ความปรานี" "เอาตัวเองเป็นใหญ่" "ไม่ให้อภัยใคร" และ "อาฆาตพยาบาท"
ในยุคก่อน คนส่วนใหญ่นึกภาพพระเจ้าที่ดีกว่านี้ไม่ออกจริงๆ ก็เลยต้องยอมรับคำสอนของโบสถ์ต่างๆที่บอกให้ "จงหวาดเกรงความพยาบาทอันน่าสะพรึงกลัวของพระผู้เป็นเจ้า"
มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า ผู้คนไม่สามารถทำใจให้เชื่อว่าตัวเองนั้นจะเป็นคนดีได้ ไม่สามารถมีพฤติกรรมที่เหมาะสมด้วยตัวเองได้เพราะเหตุผลที่ถูกกำหนดไว้แล้วบางอย่าง สุดท้ายก็ต้องไปสร้างศาสนาที่สอนความเชื่อเรื่องพระเจ้าจอมพิโรธและจอมลงทัณฑ์ เพื่อควบคุมตัวเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
✴️ และตอนนี้ แนวคิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็ทำให้ความเชื่อทั้งหมดนั่นพังครืน❗
N : ยังไงครับ❓ ตรงไหนของคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทำให้มันมีพลังคุกคามได้ขนาดนั้น❓
G : ศาสนจักรประกาศว่า เธอควรทำตัวให้ดี "ไม่งั้นล่ะก็"
แต่แล้วก็มีคนที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเข้ามาบอกว่า "เธอยังมีโอกาสหลังจากนี้อยู่นะ แล้วก็มีโอกาสหลังจากนั้นอีก แล้วก็ยังมีโอกาสมากกว่านั้นอยู่อีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล เพียงทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าปล่อยให้ความกลัวครอบงำซะจนขยับเขยื้อนไม่ได้ สัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีขึ้น แล้วก็เริ่มจากตรงนั้นนั่นล่ะไม่เป็นไร"
เป็นปกติที่ศาสนจักรในยุคต้นจะทนฟังเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องออกมาจัดการ "สองเรื่อง"
🔹หนึ่ง🔹กล่าวประณามว่าความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งนอกรีต
🔹สอง🔹 คิดพีธีสารภาพบาปขึ้นมา การสารภาพบาปทำให้คนเข้าโบสถ์ได้รับสิ่งเดียวกับที่การเวียนว่ายตายเกิดให้คำมั่นไว้ นั่นคือ ▪️ให้โอกาสใหม่▪️
N : แล้วเราก็สร้างหลักคำสอนขึ้นมาว่า พระเจ้าจะลงทัณฑ์เราสำหรับความผิดบาปของเราถ้าเราไม่ยอม "สารภาพมันออกมา" ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้สึกปลอดภัย เพราะรู้ว่าเมื่อพระเจ้าได้ยินคำสารภาพของเราก็จะยกโทษให้เราสำหรับความผิดบาปนั้น
G : ใช่ แต่🔹ประเด็นมันอยู่ตรงนี้🔹 — พระเจ้าไม่สามารถยกโทษให้เธอได้โดยตรง" แต่ต้องถูกส่งผ่านมาทางศาสนจักร ผ่าน "พิธีอภัยบาป" ที่บาทหลวงได้ประกาศวิธีการที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งมักเป็นบทสวดที่ผู้มาสารภาพบาปต้องกล่าว ถึงตรงนี้เธอมีเหตุผลสองข้อแล้วที่จะต้องไปโบสถ์ต่อ
ศาสนจักรพบว่าพิธีสารภาพบาปเป็นจุดดึงคนเข้าโบสถ์ได้ดี จนผ่านไปไม่นานก็ประกาศว่า "ใครไม่สารภาพบาปถือว่าบาป" ทุกคนต้องเข้าพิธีนี้อย่างต่ำปีละหน ถ้าไม่ทำพระเจ้าก็มีเหตุผลที่จะพิโรธเพิ่มขึ้นอีกข้อ
ศาสนจักรเริ่มออกกฏเกณฑ์และบทบัญญัติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลายเรื่องก็เป็นไปตามอำเภอใจและเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ละข้อก็จะมีโทษทัณฑ์ชั่วนิรันดร์จากพระเจ้ากำกับไว้ถ้าไม่ยอมทำ แน่นอน เว้นแต่ว่าจะไป "สารภาพบาป" เสีย พระเจ้าถึงจะยกโทษให้และไม่ต้องรับโทษทัณฑ์
แต่ตอนนี้ดันมี "ปัญหา" เพิ่มมาอีกข้อก็คือ ผู้คนเข้าใจว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ยังคงมาสารภาพบาป ศาสนจักรชักเริ่มมึน ไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไรต่อไปดี เพราะคนเริ่มไม่กลัวเหมือนเดิมแล้ว คนเข้าโบสถ์และสมาชิกโบสถ์ลดลง คนมาโบสถ์เพื่อจะ "สารภาพ" ปีละหน กล่าวคำสารภาพบาปเพื่อให้ได้รับการยกโทษ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตต่อได้
📌 ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องมีการหาวิธีใหม่มาทำให้ 💢คนกลัวแบบสุดขั้วหัวใจอีกรอบ💢
📌 ดังนั้น 🔹ไฟชำระ🔹★จึงถูกสร้างขึ้น
★สถานที่ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ ~ แอดมิน
N : ไฟชำระ❓
G : ใช่ ไฟชำระ มันถูกอธิบายไว้ว่า — "เป็นสถานที่ที่คล้ายกับนรก แต่จะไม่ต้องอยู่ที่นั่นไปชั่วนิรันดร์แบบนรก"
หลักคำสอนใหม่นี้ประกาศว่า — "ไม่ว่าอย่างไรพระเจ้าก็ต้องทำให้เธอทุกข์ทรมานจากบาปที่ทำไว้ แม้ว่าเธอจะสารภาพมันแล้วก็ตาม"
ภายใต้หลักคำสอนนี้ พระเจ้าประกาศว่าวิญญาณที่ยังไม่บริสุทธิ์จะต้องทุกข์ทรมานก่อนสักระยะหนึ่ง ส่วนจะทุกข์ทรมานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งและประเภทของบาปที่ทำ ซึ่งมีบาป "หนัก" กับบาป "เบา" (หรือบาปที่ให้อภัยได้) ถ้าทำบาปหนัก ตายแล้วจะถูกส่งไปนรกทันทีถ้าไม่ได้สารภาพบาปไว้
แล้วจำนวนผู้ไปโบสถ์ก็พุ่งสูงขึ้นอีกรอบ รายรับของโบสถ์ก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะเงินบริจาค เพราะหลักคำสอนเรื่องไฟชำระนี้จะรวมวิธีที่ 🔹เราสามารถจ่ายเงินเพื่อไม่ให้ตัวเองทุกข์ทรมานได้🔹
N : อะไรนะครับ❓
G : ตามการสั่งสอนของศาสนจักร ทุกคนสามารถได้รับการผ่อนผันเป็นพิเศษจากบุคลากรของศาสนจักรเท่านั้น (แต่ไม่ใช่จากพระเจ้าโดยตรง – อีกแล้ว) การผ่อนผันเป็นพิเศษนี้ทำให้เราไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ในไฟชำระที่เกิดขึ้นจากบาปที่ทำได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความทุกข์ทรมานได้ส่วนหนึ่ง
N : ทำนองเดียวกับ "ประพฤติตัวดีเลยได้หยุดพัก" ใช่มั้ยครับ❓
G : ใช่ แต่แน่นอนว่ามีบางคนเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษนี้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็เป็นคนที่บริจาคให้กับทางศาสนจักรด้วยจำนวนเงินที่มากพอสมควร
แต่ถ้าบริจาคเงินก้อนใหญ่ คนๆนั้นจะได้รับการผ่อนผัน "อย่างสมบูรณ์" หมายความว่า "ไม่ต้องอยู่ในไฟชำระแม้แต่วินาทีเดียว แต่ได้ตั๋วส่งตรงขึ้นสวรรค์ไปเลย"
สิทธิพิเศษจากพระเจ้านี้มีไว้สำหรับคนจำนวนน้อยลงไปอีก อาจเป็นพวกชนชั้นสูง หรือพวกพ่อค้ามหาเศรษฐี ซึ่งเงินทอง อัญมณี และที่ดินที่ศาสนจักรได้รับมอบเพื่อแลกการผ่อนผันอย่างสมบูรณ์นี้ถือว่ามากมายมหาศาล การเลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มนี้ทำให้มหาชนไม่พอใจมากและแค้นหนัก – 🔸เรื่องนี้ไม่ได้พูดเล่น🔸
คนยากคนจนและประชาชนคนธรรมดาก็เลิกหวังไปได้เลยว่าตัวเองจะได้รับการผ่อนผันจากบิชอบ คนส่วนใหญ่จึงหมดศรัทธากับระบบแบบนี้ คนเข้าโบสถ์ก็เลยลดฮวบลงอีก
N : คราวนี้ศาสนจักรแก้สถานการณ์ยังไงครับ❓
G : เอา "เทียนนพวาร" (novena candles) เข้ามา
ผู้คนสามารถมาที่โบสถ์และจุดเทียนนพวารเพื่ออุทิศแก่ "ดวงวิญญาณในไฟชำระที่น่าสงสาร" และการสวดนพวาร★ จะช่วยลดจำนวน "โทษทัณฑ์" ของผู้เป็นที่รักที่ล่วงลับไปแล้วได้หลายปี ซึ่งทำให้วิญญาณพ้นจากไฟชำระได้เร็วกว่าที่พระเจ้าตั้งใจไว้
★การสวดนพวาร คือการสวดภาวนาด้วยบทสวดเฉพาะติดต่อกันเก้าวันเก้าคืนเพื่อรับพระพรพิเศษจากพระผู้เป็นเจ้า ตามความเชื่อของชาวคาทอลิก ~ ผู้แปล
ผู้คนทำอะไรให้ตัวเองไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สวดภาวนาให้พระเจ้าเมตตาดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับได้ และแน่นอนว่าจะช่วยได้มากหากหย่อนเหรียญลงไปตรงช่องสักหนึ่งหรือสองเหรียญเวลาจุดเทียนแต่ละเล่ม
เทียนเล่มเล็กมากมายให้แสงกระพริบไหวอยู่ด้านหลังแก้วสีแดงมากมาย เหรียญและแบงก์มากมายก็ถูกหย่อนลงไปในกล่องโลหะมากมายด้วยหวังให้ฉัน "ช่วยบรรเทา" ความทุกข์ทรมานที่เหล่าวิญญาณในไฟชำระต้องประสบ
N : โอ้ว❗ นี่มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ พระองค์หมายความว่าผู้คนมองเรื่องพวกนี้ไม่ออก❓ ผู้คนมองไม่ออกว่ามันคือความพยายามที่สิ้นหวังของศาสนจักรที่สิ้นหวัง ที่ให้สมาชิกผู้สิ้นหวังของตัวเองทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องตัวเองจากคนสิ้นคิดที่พวกเขาเรียกว่าพระเจ้า❓ พระองค์หมายความว่าผู้คนเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้จริงๆใช่มั้ย❓
G : เชื่อหมดใจ
N : ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมศาสนจักรถึงประกาศว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่เป็นความจริง
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา