22 ก.ค. 2021 เวลา 13:27 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
27 กุญแจคล้องอะไร
เมื่อใดก็ตามคุณผู้หญิงต้องเจอกับเหตุการณ์ล่มปากอ่าว หรือนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เมื่อนั้นสิ่งที่จะตามมามันคือสถานะอารมณ์ค้าง ซึ่งอานุภาพของอารมณ์นี้ มันส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับหลายอย่างในชีวิตประจำวันของคุณ ทำให้คุณหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสีย เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
ขอบอกว่า จริงๆ แล้วอาการนี้มันก็คงไม่ใช่เกิดแค่กับคุณผู้หญิงหรอกครับ ผู้ชายอย่างเราก็มีสถานะอารมณ์ค้างกันได้เหมือนกัน
“เป็นอะไรเหรอพี่ ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี” โจ้เข้าทักทาย
ผมหันไปมอง เห็นหน้าของโจ้ยิ้มอารมณ์ดี
อยากตอบกลับเหลือเกินว่า เรื่องของกู มึงอย่าเสือก
แต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่มีศีล สติ สมาธิ ปัญญา จึงพยายามสกัดกลั้นควบคุมอารมณ์ทั้งหลายเอาไว้
“สงสัยจะนอนน้อยอะ” ผมตอบโจ้กลับไป
“อ๋อ ผมก็นึกว่ายังแฮงค์อยู่ซะอีก” แฮงค์...ที่โจ้หมายถึงคือเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ผมได้สร้างวีรกรรมเอาไว้ แน่นอนว่าเรื่องมันเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่วัน ยังไม่มีใครลืมง่ายๆ และทั้งๆ ที่ผมอยากจะลืม โจ้ก็ยังอุตส่าห์ขุดมันขึ้นมาอีก
ทั้งเรื่องน่าอายเมื่อคืนก่อนนั้น และเรื่องค้างเติ่งเมื่อคืนนี้ แค่นี้ก็ทำให้ผมหงุดหงิดได้แล้ว แล้วตอนนี้ยิ่งต้องมามองหน้าโจ้ในระยะประชิดอย่างนี้ ยิ่งรู้สึกเห็นอะไรขวางหูขวางตาเข้าไปอีก
...
เที่ยงวันนี้ผมกับวิว มีแผนว่าจะไปซื้อของฝากกัน ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจว่าจะมีแค่ผมกับวิวเท่านั้น แต่ที่ไหนได้...
เดี๋ยวเราไปเจอโจ้ที่ร้านน้ำตาลก่อนนะ ประโยคที่วิวบอก นั่นคือที่มาที่ทำให้โจ้มาอยู่เบื้องหน้าผมในตอนนี้
ร้าน Sugar Club หรือที่คนไทยแถวนี้เค้าเรียกกันว่า ร้านน้ำตาล เป็นร้านขายขนมนำเข้าจากเมืองไทย ให้คนไทยได้มาซื้อกินกันเพื่อช่วยบรรเทาอาการคิดถึงบ้านได้ ซึ่งนอกจากจะขายของนำเข้าจากไทยแล้ว ที่ร้านน้ำตาลนี้ยังเปรียบเสมือนศูนย์รวมข่าวสารที่ประชาชนชาวสยามมาฝากทิ้งไว้ ทั้งในเรื่องของห้องพัก หาเพื่อนร่วมห้อง และประกาศหางาน ทั้งหมดนี้ก็สำหรับคนไทยที่นิวยอร์กโดยเฉพาะ
“ฮัด...ชิ้ว !!...สาวที่ไหนนินทาเราวะเนี่ย” โจ้บ่นพึมพัม พร้อมกับส่งยิ้มไปให้พนักงานสาวไทยที่ยืนขายของอยู่
“โจ้ไม่สบายรึเปล่า ไม่ไหวก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ” ผมพยายามหาช่องทางในการกำจัดโจ้ออกไปจากชีวิต
“ไม่เป็นไรพี่ นิดหน่อย เพื่อพี่ผมทนได้” โจ้ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
...คือโจ้ครับ ถ้าโจ้อยากทำเพื่อพี่ พี่ขอร้องกรุณากลับบ้านไปซะ ผมคิดในใจ
“พี่อาร์ม ไอ้โจ้มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ไอ้นี่มันชอบสำออย” เอ๋เข้ามาร่วมในบทสนทนา
จริงสินะ ต่อให้ผมเอาโจ้กลับบ้านไปได้ แต่เรื่องมันยังไม่หมดเท่านั้น เพราะยังมีเอ๋อีกคน และนอกจากเอ๋แล้วก็ยังมี
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเหอะ” เปิ้ลเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี นั่นแหละครับ มากันครบทีม
วันนี้เปิ้ลมาฝากข้อความหาเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ เพราะเดือนหน้าเหมียวจะกลับไทยแล้ว
“อ้าว แล้ววันนี้เหมียวไม่มาเหรอ” ผมถามเปิ้ล
“วันนี้เหมียวติดงานค่ะ...อุ๊ย พี่อาร์มคิดถึงเหมียวเหรอ” เปิ้ลหันมาแซวผม
“ได้ข่าวว่าเมื่อวานมีพากันไปเลี้ยงชาบูกันด้วย” เอ๋ตามสมทบทันที
ผมทำหน้าไม่ถูก แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับเหมียว แต่โดนรุมแซวอย่างนี้ก็มีอาการเขินอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ผมมองไปที่วิว และพยายามส่งยิ้มให้เธอ ไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด แต่วิวไม่แสดงทีท่าสนใจแต่อย่างใด
“งั้นวันนี้พี่อาร์มเลี้ยงชาบูน้องโจ้ด้วยได้มั้ยครับ” โจ้ทำเสียงอ้อน
ผมอยากบอกโจ้เหลือเกินว่า โจ้ครับ โจ้เสือกเลยครับโจ้...
หลังจากที่แซวผมกันสนุกสนานแล้ว ผมหาจังหวะบอกกับวิว...
“วิว เรากับเหมียวไม่มีอะไรนะ เมื่อวานแค่เลี้ยงชาบูขอบคุณที่เค้าพาไปซื้อฟูกเท่านั้น”
“อืม” วิวหันมาพยักหน้า แล้วเดินตามไปสมทบกับเพื่อนของเธอ...
เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเธอเข้าใจง่ายอย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้ไง ทีเวลาเราเห็นเธอไปทำดีกับผู้ชายคนอื่นเรายังหึงเลย ทำไมเธอไม่หึงเราวะ ไม่เข้าใจ หงุดหงิดโว้ย !
...
ออกจากร้านน้ำตาลพวกเราก็มาเริ่มต้นกันที่สถานี Elmhurst Av.
สำหรับวันนี้ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าจะไปซื้อของฝาก แต่ไปซื้อที่ไหน ไปอย่างไรก็ไม่รู้ คนต้องปล่อยให้โชคชะตานำพาไป
ซึ่งหนึ่งในโชคชะตาที่อยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้ นั่นก็คือโจ้ และถัดจากโจ้ ก็คือสุดยอดโชคชะตาในดวงใจของผม...วิว ส่วนโชคชะตาที่ชื่อเปิ้ลกับเอ๋ก็นั่งถัดจากวิวไปอีกที
ผมไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมโจ้ถึงต้องมานั่งคั่นระหว่างผมกับวิวด้วย ทั้งๆ ที่บนรถไฟก็มีที่ว่างอีกเยอะแยะ วิวก็คุยกับกลุ่มเพื่อนสาวของเธออย่างออกรส โจ้ก็นั่งหลับ เหลือผมที่ถูกกันออกจากสังคม
อยากจะชมทิวทัศน์ภายนอกก็ไม่มีอะไรให้ดู เพราะมันเป็นรถไฟซับเวย์ มันอยู่ใต้ดิน มองออกไปก็เห็นแต่ความมืดมิด ผมทนนั่งเบื่อๆ เหงาๆ มาจนถึงสถานี Union Square เหล่าโชคชะตาของผมก็เริ่มขยับตัว
โจ้บอกว่าสถานี Union Square นั้นเปรียบได้กับสถานีรถไฟฟ้าสยามสแควร์ที่บ้านเรา เป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับรถไฟสายอื่น ที่สยามเราเห็นว่ามีรถไฟเชื่อมกันแค่สองสาย แต่สถานีนี้เค้าขยันเชื่อมกันไม่รู้กี่สายต่อกี่สาย
สำหรับพวกที่มาอยู่นิวยอร์กใหม่ๆ ก็มักจะหลงอยู่ในสถานีนี่แหละไม่รู้จะไปขึ้นรถไฟที่ชานชลาไหน และที่นิวยอร์กก็ไม่ได้มีแค่สถานีUnion Square เพียงที่เดียวเท่านั้นที่เป็นสถานีเชื่อมต่อ ยังมีอีกหลายสถานีที่มีการเชื่อมต่อในลักษณะนี้ เรียกได้ว่าทั้งเมืองนี่เชื่อมกันมั่วไปหมด เชื่อมกันจนหวานไปเลย
1
และจากสถานี Union Square แห่งนี้เราต้องเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสายสีเขียว ลากยาวมาจนกระทั่งมาถึงสถานี Brooklyn Bridge City Hall อันเป็นจุดหมายแรกสำหรับการเดินทางในวันนี้
...
“สะพานบรู๊คลินแห่งนี้...” หลังจากที่หลับเต็มอิ่มบนรถไฟ โจ้ก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง
“เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างฝั่งแมนฮัตตัน และฝั่งบรู๊คลิน จุดเด่นคือทางเดินกว้างกลางสะพานที่สร้างด้วยไม้ ให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปเดิน และคนได้มาใช้เป็นที่วิ่งออกกำลังกาย ซึ่งทางเดินไม้นี้จะถูกยกระดับจากถนนข้างๆ ทำให้เราสามารถมองเห็นแม่น้ำอีสต์ได้ และยามเย็นหากได้มาดูภาพอาทิตย์ลับขอบฟ้ากันที่นี่ รับรองว่าโคตรโรแมนติกเลยฮะพี่” โจ้หันมาทำหน้าซึ้งใส่ผม
ครับโจ้ พี่เข้าใจว่ามันโคตรโรแมนติก แต่นั่นมันต้องเป็นสำหรับกรณีที่มากันแค่สองคน โดยไม่มีพวก...ไม่พูดดีกว่า
นอกจากความโรแมนติกที่โจ้ได้กล่าวไปแล้ว ผมยังจำได้สะพาน Brooklyn Bridge แห่งนี้ เคยมีโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เกิดขึ้น
ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี ค.ศ.1998 ตอนนั้นก็อตซิลล่าบุก Manhattan เกิดการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประหลาด ด้วยร่างอันใหญ่โตมโหฬารของมันได้ทำลาย Manhattan จนเสียหายย่อยยับ ฝั่งมนุษย์จึงวางแผนล่อเจ้าสัตว์ประหลาดร่างยักษ์นี้มาที่ Brooklyn Bridge
เจ้าสัตว์ประหลาดเสียรู้ ตามมนุษย์มาติดกับสายเคเบิ้ลที่ยึดสะพานนี้ไว้ มันขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้ และเมื่อนั้นเหล่ามนุษย์ก็ระดมยิงอาวุธใส่ก็อตซิลล่าอย่างไม่ปราณี ในที่สุดมันก็สิ้นชีพที่สะพาน Brooklyn Bridge แห่งนี้นี่เอง
“...จริงเหรอพี่ ทำไมเรื่องนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย” โจ้ถึงกับอึ้งกับเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าให้ฟัง ท่าทางมันยังไม่เคยดูหนังเรื่อง Godzilla ฉบับปี 1998
“ไหนๆ แล้วมีเรื่องอะไรสนุกอีกมั้ย” เปิ้ลเข้ามาแย่งกระดาษในมือของโจ้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านั่นคงเป็นข้อมูลที่โจ้ปริ้นท์มาจากอินเตอร์เน็ตนั่นแหละ
“มา...ตาเราเป็นไกด์บ้าง” เปิ้ลหยิบกระดาษของโจ้ขึ้นมาอ่าน “สะพานบรู๊คลิน ถูกสร้างมาเมื่อ 130 ปีก่อนโดย John Augustus Roebling แต่ไม่นานเขาก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ก่อนตายเขาได้สั่งเสียให้ลูกชาย ให้ช่วยสร้างสะพานต่อให้เสร็จ แต่เหมือนอาถรรพ์หลังจากลูกชายเขามาสานงานต่อได้ไม่นาน ก็ต้องมากลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว มีเพียงนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้นที่ขยับได้ ลูกชายเลยใช้นิ้วที่ขยับได้นี้สื่อสารกับแม่ผู้ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องงานวิศวกรอะไรเลย ให้ช่วยคุมงานก่อสร้างสะพานนี้ต่อจนสำเร็จ รวมเวลาในการสร้างทั้งหมดสิบสามปีเต็ม”
แม้จะเป็นเนื้อหาที่โจ้เอามาจากในอินเตอร์เน็ต แต่ผมว่ามันช่างเป็นเรื่องราวที่มีพลังอย่างเหลือเชื่อ... ชายผู้ไม่ย่อท้อต่อการสร้างสะพานจนสำเร็จ ต่างกับผมลิบลับที่พยายามสร้างสะพานไปหาเธอเท่าไหร่ก็ถูกเธอตัดขาดอยู่ร่ำไป พูดแล้วก็ยังเซ็งกับเหตุการณ์เมื่อคืนไม่หาย
...
“ครับ แล้วตอนนี้เราก็เดินมาถึงหอคอยของสะพานบรู๊คลินกันแล้วนะครับ” โจ้ชี้ให้ดูกลุ่มก้อนของแม่กุญแจที่ถูกคล้องอยู่บนหอคอยหินของสะพาน “มีใครรู้บ้างมั้ย ว่าทำไมเขาถึงเอากุญแจมาคล้องเอาไว้”
“หนูรู้ค่ะ เขากลัวสะพานหายเลยมาคล้องไว้ค่ะอาจารย์” เอ๋ล้อเลียนโจ้ ทำเอาทุกคนหัวเราะ
“นี่หนู ไม่ตลกนะจ๊ะ” เปิ้ลเบรคเอ๋ “สะพานออกจะใหญ่ ถ้าจะล็อคกันสะพานหาย มันต้องใช้กุญแจใหญ่กว่านี้สิจ๊ะ”
“ความจริงมันเป็นอย่างนี้ครับพี่” ในเมื่อไม่มีใครตั้งใจจะฟังสิ่งที่โจ้จะพูด สุดท้ายโจ้ก็ต้องหันกลับมาหาผม
โจ้บอกว่าที่ประเพณีการคล้องกุญแจที่สะพานนี้ ก็เป็นประเพณีนิยมที่ทำกันในหลายๆ ประเทศ คือเชื่อว่าหากคู่รักคู่ไหนที่ได้มาคล้องกุญแจด้วยกันที่นี่ แล้วโยนลูกกุญแจทิ้งลงแม่น้ำ คู่รักนั้นจะรักกันตลอดไป ไม่มีวันพรากจากกัน...
เล่นเกริ่นมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ลองซักหน่อยก็กระไรอยู่
“วิว เรามาคล้องกุญแจกันมั้ย” ผมถามวิว ในจังหวะที่คนอื่นกำลังถ่ายรูปกันอยู่
“...” วิวนิ่งไป ผมมองเธอ คล้ายๆ ว่าผมเห็นเธอส่ายหัว นี่ผมตาฝาดไปรึเปล่า
“คล้องมั้ย” ผมถามเธออีกครั้ง
“แล้วเธอมีกุญแจมาเหรอ” วิวถามผมกลับ จริงด้วยสิ ผมไม่มีกุญแจติดตัวมา “นั่นไง แล้วจะเอาที่ไหนมาคล้อง ไม่ต้องคล้องหรอก อย่างมงายเลย”
อย่างที่วิวบอกนั่นแหละ เรื่องอย่างนี้มันเป็นแค่ความเชื่อ เราไม่น่าจะมางมงายกับมัน แต่จริงๆ แล้ว ที่ผมชวนเธอคล้องกุญแจก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องรักกันตลอดไปหรอก เพียงแค่ผมอยากรู้ว่าตอนนี้เรายังรักกันอยู่รึเปล่า แค่นั้นเอง...
“พี่อาร์มระวัง!!” โจ้ร้องตะโกนเตือน แต่ก็สายเกินไป สิงห์นักปั่นพร้อมจักรยานของเขามาจากไหนไม่รู้ พุ่งชนเข้ากลางลำตัวของผม แรงกระแทกทำเอาผมไถลล้มลงอย่างแรง และจักรยานคันนั้นพร้อมคนปั่นก็ถลามาทับบนตัวผม เสียงวี๊ดว๊ายของหญิงสาวก็ตามมา
สิงห์นักปั่นเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม แล้วเขาก็มอบฟัก กับลูกชิดให้ผมอย่างรุนแรง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วขยับขึ้นค่อมจักรยานของเขา ก่อนจากไปไม่ลืมกระแทกนิ้วแห่งความเป็นกลางมาให้ผมอีกด้วย
“เป็นอะไรมั้ยพี่” โจ้ช่วยพยุงผมขึ้นมา “ระวังหน่อยนะพี่ อย่าไปยืนอยู่ในไบค์เลน”
Bike Lane ผมลืมสังเกตว่าที่ทางเดินของ Brooklyn Bridge จะถูกแบ่งออกเป็นสองเลน คือเลนเดินเท้า และเลนสำหรับรถจักรยาน และผมดันเผลอก้าวข้ามไปเดินเลนจักรยานซะได้
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยพี่” เอ๋กับเปิ้ลก็เข้ามาถามไถ่...
ผมมองผ่านหลังของเอ๋ไปเห็นวิวยืนมองผมอยู่ตรงนั้น เธอมองผมนิ่ง ผมพูดไม่ถูก ผมรู้สึกแปลกกับสายตาที่เธอมองผม ทั้งๆ ที่เธอควรจะมายืนข้างๆ ผม เป็นห่วงผม และมาถามผมว่าเป็นอะไรมั้ยแต่ทำไมเธอถึงยังยืนอยู่ตรงนั้น
สำหรับคำถามนี้ หากตอนนี้ผมมีกุญแจอยู่ในมือ ก็อาจจะรู้คำตอบได้
...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา