25 ก.ค. 2021 เวลา 06:09 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
36 นิวยอร์ก หอกหัก
“มาครับพี่ เดี๋ยวผมช่วยยกกระเป๋า” โจ้เดินเข้ามาช่วยผมถือกระเป๋าเดินทาง
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง ผมยืนอยู่ที่หน้าตึก และกำลังจะเดินทางกลับประเทศไทย
ในหัวยังงงงง กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
...
“เธออย่าพยายามอีกเลย” น้ำตาของวิวไหลออกมา
“...วิว เธอหมายความว่ายังไง” ผมถามเธอ
วิวหลับตา เธอกลั้นหายใจก่อนที่จะปล่อยมันออกมาช้าๆ
“มันไม่มีทางดีขึ้นกว่านี้แล้วล่ะอาร์ม”
“ทำไมล่ะ” แล้วก็ถึงคิวของผมบ้าง น้ำตาของผมร่วงลงมา “ทำไมมันจะไม่ดีขึ้น ถ้าเราพยายาม เธอพยายามช่วยกัน เราเชื่อว่าทุกอย่างมันกลับมาดีเหมือนเดิมได้ เธอเชื่อเราสิวิว”
“อาร์ม แต่เราพยายามแล้ว มันไปต่อไม่ได้แล้วจริงๆ”
ขอบเหว ผมยืนอยู่ตรงนั้น มองด้วยตาเปล่าไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจุดสิ้นสุดของความลึกนี้มันอยู่ที่ไหน จนกระทั่งวินาทีที่เพิ่งผ่านไป เป็นคำพูดของวิวที่ผลักผมให้ตกลงไปในเหวลึกนี้
ตอนนี้ตัวผมเบาโหวง พื้นที่ในสมองตอนนี้มีเพียงประโยคที่ว่า...มันไปต่อไม่ได้แล้ว
ร่างกายเหมือนกำลังจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ไปสู่จุดที่ต่ำสุด ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าจุดต่ำสุดที่ว่านี้มันจะมาถึงเมื่อไหร่
“ช่างมันเหอะ เราง่วงแล้ว นอนเถอะ”
เสียงของวิวดึงผมกลับมาจากทุกความคิด เธอหันหลังให้ผมแล้วก็ล้มตัวลงนอนทันที ระยะห่างระหว่างเราตอนนี้ใกล้กันเพียงแค่มือเอื้อม แต่ก็ดูเหมือนมันจะเป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดที่ผมจะสามารถไปถึงได้ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอทิ้งผมไว้คนเดียวกับความรู้สึกที่โคตรโดดเดี่ยว มีเพียงความมืดมนที่ล้อมรอบตัวผมอยู่ หรือว่าที่นี่แหละคือจุดต่ำที่สุดของเหวลึกที่ผมตกลงมา
...
“ไม่เป็นไรโจ้ พี่ถือเองไหว”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมช่วย”
“โจ้ เรื่องเมื่อคืน พี่ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรพี่ มันมืดแล้ว พี่ก็เลยเข้าใจผิด คิดว่าผมจะมาทำร้ายวิวใช่มั้ย”
“อืม” ผมพยักหน้ายิ้มๆ ในความเลวร้ายที่ผมต้องเจอ มันก็มีเรื่องดีๆ เจือปนอยู่บ้าง
“เครื่องออกกี่โมงนะพี่” โจ้หันมาถามผม
“ค่ำๆ น่ะ” จริงๆ เวลาในนิวยอร์กสำหรับผมก็ยังพอมีอยู่บ้าง แต่เพราะเย็นนี้โจ้ติดธุระ เลยต้องรีบไปส่งผมตั้งแต่บ่าย รถคันเดิมที่ไปรับผมที่สนามบินจอดรออยู่ผมอยู่ด้านหน้า
“โจ้ พี่ฝากขอบคุณไนท์ด้วยนะ อุตส่าห์ให้ยืมรถทั้งไปรับไปส่งเลย”
โจ้ยิ้มตอบ แล้วถือกระเป๋าของผมไปเก็บที่ด้านหลังของรถ
ที่ด้านนอกยังคงมีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองให้เห็นต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อคืน อากาศก็ยังคงหนาวเย็นเหมือนเดิม ผมสูดไอเย็นเข้ามาจนเต็มปอด ยืนมองรอบๆ อีกครั้ง ทั้งบ้านเรือน ชีวิตของผู้คน ทุกอย่างที่รายล้อมผม ถึงเวลาที่ต้องบอกลากันแล้ว
ช่วงเวลาสิบวันที่ผมเดินทางมาที่นี่ มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ดี และ...
“เธอ เราคงไม่ได้ไปส่งนะ” วิวที่เดินตามผมมาข้างหลังเป็นคนเอ่ยประโยคนี้ “เดี๋ยวเราต้องไปทำงาน”
“...อืม” ผมคงไม่คะยั้นคะยอ หรือร้องขออะไรอีกแล้ว
“ถ้ากลับถึงกรุงเทพฯแล้ว ส่งข้อความมาบอกเราด้วยนะ”
“...อืม”
“พี่อาร์ม” โจ้ตะโกนเรียกผม “พร้อมแล้วนะฮะ” ผมหันไปพยักหน้ารับ
“อืม เราส่งแค่นี้นะ เดินทางปลอดภัยล่ะ” วิวเอามือตบไหล่ผมเบาๆ
“วิว” ผมเรียกเธอ “ก่อนกลับ เราขอกอดเธอซักครั้งได้มั้ย”
เธอยืนมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น แล้ว “...อืม” นั่นคือคำตอบ
วิวยืนนิ่ง ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปโอบเธอแล้วดึงเธอเข้ามาใกล้ชิด ให้สนิทแนบที่สุด ในใจลึกๆ ก็แอบหวังว่าความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ในครั้งนี้อาจจะช่วยทำให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิมได้
...ว่างเปล่า
คือความรู้สึกในช่วงเวลาที่ผมกอดเธอ และความว่างเปล่านี้เองที่ทำให้ผมตาสว่าง เพราะสิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีความรู้สึกอะไรเหลือเลยแม้แต่น้อย มันอาจจะจริงอย่างที่เธอบอก ผมไม่ควรจะพยายามอีกแล้ว
นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้กอดวิวในมหานครนิวยอร์กแห่งนี้ และอาจจะเป็นการกอดกันครั้งสุดท้ายในชีวิตของผมและเธอ แม้อยากจะกอดเธอไว้อย่างนี้ให้นานที่สุด แต่ผมก็รู้ว่า เวลาที่เรากอดความว่างเปล่า มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราต้องกอดตัวเอง
ตอนนี้ก็เหลือแค่ตัวเรา​ และสุดท้ายเราก็คงไม่สามารถเก็บความว่างเปล่าไว้กับตัวเองได้ตลอดไปหรอก
...
“ตกลงพี่ได้เที่ยวทั่วนิวยอร์กยัง” โจ้ชวนผมคุยระหว่างทาง
“จะไปทั่วได้ยังไง เมืองมันใหญ่ขนาดนี้” ผมตอบ สายตามองไปที่ความวุ่นวายที่อยู่ข้างทาง
“แล้วได้ไปที่ไหนมาบ้างแล้วล่ะฮะ”
“ก็มีที่ที่ไปกับเอ็งนั่นแหละ แล้วก็วันก่อนไปเซ็นทรัล ปาร์ค กับกราวน์ ซีโร่”
“แล้วได้ไปที่เทพีเสรีภาพมารึยังฮะ”
...เทพีเสรีภาพเหรอ
“ยังไม่ได้ไปเลย”
จริงๆ แล้วเทพีเสรีภาพก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนมาถึงนิวยอร์กควรไปเยือนซักครั้ง แต่สำหรับผม ตอนนี้มันก็ไม่ได้มีความสำคัญเท่าไหร่นักหรอก
“พี่รู้มั้ยเทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ประเทศฝรั่งเศส สร้างให้อเมริกา เพื่อแสดงถึงความชื่นชมที่อเมริกาลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และสามารถประกาศอิสรภาพได้สำเร็จ ตัวเทพีเสรีภาพนี่สร้างจากโลหะสำริด ซึ่งออกแบบโดย...เดี๋ยวนะพี่” โจ้ก้มลงไปดูข้อมูลเปิดอยู่ในโทรศัพท์
“โจ้มองทางก่อนก็ได้นะ” ผมพยายามเตือน
“ไม่เป็นไรพี่... เดี๋ยวนะ... อ้อ ชื่อ เฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี และโครงร่างเหล็กภายในก็ออกแบบโดย...เดี๋ยวนะ” โจ้ก้มลงไปดูโทรศัพท์อีกครั้ง
“โจ้ ไม่เป็นไร”
“แปร๊บพี่ แม่งอ่านยาก ตัวหนังสือมันเล็ก อ้อ โครงสร้างเหล็กนี่ออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ชื่อคุ้นๆ ใช่มั้ยพี่”
กูจะไปคุ้นได้ไงวะ ผมนึกในใจ
“พี่ต้องคุ้นแน่นอนก็เพราะเขาเป็นคนเดียวกับที่ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ผู้นี้นี่เอง” โจ้พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ขอบคุณมากโจ้” ผมชื่นชมในความพยายามของโจ้จริงๆ
“แหม จริงๆ ผมก็อยากพาพี่ไปนะ แต่วันนี้สงสัยจะไม่ทัน น่าเสียดายนะ เอาไว้โอกาสหน้านะ” โจ้บ่นงุบงิบ
“โจ้ เดี๋ยวจอดตรงนี้แปร๊บนึง” ผมหันไปบอกโจ้
“มีอะไรเหรอพี่” โจ้เลี้ยวรถไปจอดที่ข้างทาง
“โจ้ช่วยอะไรพี่อย่างสิ” โจ้พยักหน้า “ช่วยถ่ายรูปให้พี่หน่อยนะ”
เบื้องหน้านั่นคือร้านอาหาร และที่หน้าร้านนั้น มีเทพีเสรีภาพจำลองที่ย่อส่วนลงมา ขนาดประมาณจ่าเฉยของบ้านเรา
“ไม่ต้องรอโอกาสหน้าหรอก วันนี้นี่แหละ”
ผมให้โจ้ช่วยถ่ายรูปผมคู่กับเทพีเสรีภาพจิ๋วตัวนั้น
หลังจากที่กลับขึ้นมาบนรถ ผมจัดแจงโพสต์รูปถ่ายคู่เทพีเสรีภาพนั้นลงไปที่หน้าเฟซบุ๊กของตัวเอง สำหรับครั้งแรกกับการมาเยือนนครแห่งเสรีภาพ และตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านพร้อมกับเสรีภาพที่วิวเพิ่งคืนกลับมาให้
3
สถานะบนเฟซบุ๊กของผมยังคงเป็น In a relationship ผมนึกถึงคืนนั้น คืนวันคริสต์มาสที่ผมสารภาพรักกับวิว กว่าที่จะรวบรวมความกล้าถึงกับต้องไปกราบขอพรจากพระตรีมูรติ เพื่อที่จะให้ความรักสมหวัง
คิดดูแล้ว กว่าที่เราจะรักกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่พอถึงบทที่จะจบทุกอย่างมันดูง่ายดายไปหมดทุกอย่าง ง่ายมาก เพียงแค่ปุ่มปุ่มเดียวเท่านั้น และแล้วผมกลับมาอยู่ในสถานะ Single อีกครั้ง
สวัสดีเสรีภาพที่กลับมาเยือน
และลาก่อนนิวยอร์ก มหานครแห่งความหอกหัก
...
(โปรดติดตามตอนสรุป...อีกบทเดียวแระ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา