4 ก.ย. 2021 เวลา 01:27 • นิยาย เรื่องสั้น
6.6. กำเนิดสงครามชีวภาพ
บิต๊ก บิฮอง ตัวประกอบคนบาป - โจชง หนูน้อยอัจฉริยะ
ข่าวการสูญเสียมือดีสายเครือข่ายใต้ดิน ตั้งแต่ ฮกเหอ ฮกเสียว ซุนแจ้ง ซุนเกา ทะยอยเข้ามาสู่สายตาของซุนกวนที่เมืองต๋องง่ออย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตระหนกให้กับพยัคฆ์หนุ่มจนสีหน้าซีดเผือด เหตุการณ์สามแห่งเสร็จสิ้นภายในหนึ่งวัน โดยเบาะแสทั้งหมดชี้ชัดไปที่การล้างแค้นให้กับกวนอู ต้องเป็นฝีมือของพวกเล่าปี่อย่างแน่นอน
ที่ประชุมเมืองกังตั๋งถกเถียงกันถึงแนวทางการล้างแค้นกลับคืนในทันที กำเหลง จิวท่าย พัวเจี้ยง และขุนนางฝ่ายบู๊ เสนอให้จัดทัพออกไปเปิดสงครามอย่างซึ่งหน้า ในขณะที่ เตียวเจียว โกะหยง จูกัดกิ๋น และขุนนางฝ่ายบุ๋น ยังลังเลใจ ต้องการเล่นศึกในทางลับเสียมากกว่า ต่างฝ่ายต่างถกเถียงกันจนวุ่นวาย ทำให้ซุนกวนออกอาการปวดหัว ไม่ต่างจากสถานการณ์ในอดีตเมื่อครั้งโจโฉยกทัพร้อยหมื่นมาท้ารบ
ยังดีที่คนที่ซุนกวนเฝ้ารอคอยกลับมาถึงในที่สุด เป็นลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง หนึ่งบุ๋นแห่งกังตั๋ง อัจฉริยะที่มีความสามารถรอบด้านที่สุดในเวลานี้ ที่เพิ่งโดนย้ายให้ไปดูแลเครือข่ายใต้ดินแทนสี่ทายาทสกุลซุนได้เพียงไม่นาน ก็ต้องถูกเรียกตัวให้กลับมาแล้ว
เมื่อเทียบกันกับจิวยี่ ผู้ตัดสินชะตาในคราก่อน ลกซุนยังด้อยอาวุโสกว่ามาก จึงกวาดตามองผู้คนในที่ประชุมทางทหาร พร้อมประกาศก้อง “ทุกท่าน โปรดฟังทางนี้ การลอบสังหารทั้งสามแห่งนั้น มิใช่ฝีมือของพวกเล่าปี่อย่างแน่นอน แต่เป็นผลงานการเสี้ยมให้ผิดใจกันของฝ่ายโจโฉ”
ขุนพลจิวท่ายชี้มือไปยังหลักฐานตรงหน้า ”ท่านลกซุน รายงานจากที่เกิดเหตุทั้งสามจุด ล้วนมีหลักฐานบ่งบอกว่า เป็นการแก้แค้นให้กับกวนอูชัดๆ จะเป็นคนอื่นได้อย่างไรกัน”
ลกซุนกวาดตามอง พร้อมกล่าว “หากท่านเป็นคนของเล่าปี่ จะเรียกชื่อกวนอูที่เป็นน้องรองของหัวหน้า ห้วนๆเช่นนั้นหรือ ดูเหมือนจะให้เกียรติแก่คนตายน้อยเกินไปหรือไม่”
พอกล่าวเช่นนี้ หลายคนเริ่มฉุกใจคิดถึงความเป็นไปได้กันต่างๆนานา พัวเจี้ยง ขุนพลที่อยู่ในเหตุการณ์ลอบสังหารที่เมืองเกงจิ๋ว รีบก้าวออกมาอธิบายเพิ่มเติม “คนที่ลงมือสังหารที่เมืองเกงจิ๋วปิดบังใบหน้า ใช้ทั้งเกาทัณฑ์ ทั้งปีกเหินบินลอยตัวอย่างรวดเร็ว สมควรที่จะเป็นอุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง และสุดท้าย ยังช่วยเหลือม้าต้าย คุณชายแห่งตระกูลม้าออกไปจากที่คุมขังด้วยนะท่าน”
ลกซุนสวนคำในทันที “ทุกครั้งที่มีการสร้างกองทัพรูปแบบใหม่ หรือมีสิ่งประดิษฐ์พิสดารเกิดขึ้น สายข่าวของแต่ละฝ่ายย่อมนำเสนอไปยังต้นสังกัด เราเองก็เคยศึกษาลอกเลียนวิธีการเดินทัพแบบเกลียวคลื่น พัฒนารถฟ้าลั่นมาปรับใช้ในกองทัพเรือเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น คนของฝ่ายโจโฉก็ย่อมสามารถหยิบยืมความคิดจากคนอื่นได้เช่นกัน ส่วนการช่วยเหลือม้าต้าย อาจจะเป็นเพียงการกลบเกลื่อนให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น หากอ้างเป็นคนของเล่าปี่มาลงมือแล้วไม่ช่วยคุณชายม้าออกไป ย่อมจะแปลกประหลาดแล้ว” ลกซุนหยุดหายใจเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อกับซุนกวนโดยเฉพาะ “แต่ที่จริง การช่วยเหลือม้าต้ายออกไปนั่นแหละที่ดูชอบกลต่อฝ่ายเรา เรื่องนี้ นายน้อยน่าจะพอคาดเดาได้อยู่กระมัง”
สกุลม้ามีความสัมพันธ์เบื้องลึกอยู่กับพวกตระกูลซุนเป็นเรื่องราวความลับประการหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยล่วงรู้นอกจากคนทั้งสองสกุล การบุกยึดเมืองเกงจิ๋วนั้น ที่จริงก็เป็นม้าต้ายแสร้งยอมแพ้ต่อฝ่ายกังตั๋ง จึงถูกควบคุมไว้ให้พอเป็นพิธี ไม่ให้เป็นจุดสังเกตมากเกินไป แล้วภายหลังก็โยกย้ายมาควบคุมตัวไว้ในที่พักอันสมควร เรียกว่า รอคอยเวลาปลดปล่อย เสียมากกว่า ดังนั้น คนสกุลม้าย่อมไม่เดือดร้อนที่จะมาช่วยคนกลับไปเลย แต่พอกลับกัน คนอื่นภายนอกย่อมยึดถือว่า นี่คือเรื่องที่สมควรต้องกระทำเป็นลำดับแรก จึงกลายเป็นการจัดลำดับความสำคัญที่ผิดพลาดไปจากความเป็นจริงที่ซ่อนเร้นอยู่
ซุนกวนเริ่มคล้อยตามคำชี้แนะของลกซุน แต่เตียวเจียวยังติดใจอยู่ “แล้วเหตุไรท่านจึงคิดว่าเป็นฝีมือของโจโฉ ไม่ใช่มือที่สามอื่นใดแสร้งก่อกวนหาเรื่องขึ้นมา”
“เป็นเพราะว่าข้าน้อยได้แวะตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่เมืองซงหยง และได้ตัวพยานปากสำคัญมาช่วยยืนยันในเรื่องนี้” ลกซุนส่งสัญญาณเบิกตัวพยาน เป็นผู้ชายในชุดหรูหราแต่สกปรกขาดวิ่น ใบหน้าซูบเซียวแฝงประกายเขียวคล้ำ จึงถูกทหารพาตัวเข้ามา
“คนผู้นี้มีนามว่า บิฮอง เคยอยู่ช่วยกันรักษาเมืองซงหยง ร่วมกันกับบิต๊ก ผู้พี่ จนถูกพวกท่านซุนแจ้งยึดเมืองก็ยอมสวามิภักดิ์เพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งสองคนที่จริงเป็นพี่น้องกับบิฮูหยิน จึงนับศักดิ์ฐานะค่อนข้างสูงในกลุ่มเล่าปี่ หากแต่มีเรื่องบาดหมางใจกับกวนอูอยู่อย่างไรไม่ชัดแจ้ง เมื่อสิ้นบุญของบิฮูหยินไปแล้ว จึงมักจะถูกกวนอูดูแคลนมาโดยตลอด สำหรับเหตุการณ์เมืองซงหยงนี้ มันเองอยู่ในงานเลี้ยง และหลบหนีมาได้อย่างหวุดหวิด”
“บิฮอง ใครคือผู้ลงมือสังหารคนที่เมืองซงหยง” พัวเจี้ยงตรงเข้าเค้นคอถามอย่างไม่ไว้หน้า ในขณะที่จูกัดกิ๋นต้องรีบเข้ามายับยั้งห้ามปราม “ใจเย็นก่อนเถิดท่านพัว เดี๋ยวพยานปากเอกจะตายคามือไปเปล่าๆ บิฮอง รู้อะไรก็รีบบอกกล่าวมาเถอะ”
บิฮองกระแอมไอ พร้อมเอามือนวดลำคอกวาดตามองไปรอบๆ ค่อยกล่าว “ข้าเคยพำนักอยู่ในเมืองหลวง เมื่อครั้งที่กวนอู และสองฮูหยินถูกโจโฉจับตัวไป จึงคุ้นเคยกับขุนพลสำคัญของฝ่ายโจโฉหลายคน คนที่ลงมือในค่ำคืนนั้น คือ ซิหลง เสือสมิง”
พอเห็นทุกคนยังตั้งใจฟัง จึงรีบเสริมต่อ “ตอนไล่ล่าสังหารผู้คน ข้าน้อยชิงดำน้ำหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ใต้สระน้ำ จึงได้ยินมันพูดคุยกับคนที่มาด้วยว่า พวกเรากับเหล่าห้าเทพบุตรแยกย้ายกันลงมือกระทันหันเช่นนี้ สมควรจัดการเรื่องราวได้ไม่ยาก กุนซือเงาปีศาจช่างแยบยลยิ่งนัก ถึงกับคิดเรื่องฆ่าคนป้ายความผิดเช่นนี้ออกมาได้"
แต่เดิม ฝ่ายโจโฉมีสามเทพบุตรอยู่ก่อนแล้ว คือ แฮหัวป๋า ลูกแฮหัวเอี๋ยน โจจิ๋น โจฮิว ลูกของโจหอง แต่เพิ่งมีเพิ่มมาอีกสองคน คือ เสี่ยวตัน-แฮหัวหลิม ลูกเลี้ยงแฮหัวตุ้น และ โจต้าย ลูกโจหยิน ทั้งหมดจึงผนวกกันเรียกเป็น ห้าเทพบุตร แทน นับว่าเป็นกลุ่มขุนพลรุ่นใหม่สืบต่อจากสี่เทวะ ผู้เป็นรุ่นพ่อ ดังนั้น พอมีคำว่า ห้าเทพบุตร กุนซือเงาปีศาจ ปรากฏอยู่ในคำให้การ คนของกังตั๋งจึงเชื่อถือมากขึ้นว่า โจโฉคือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
“ท่านลกซุน โปรดชี้แนะด้วยว่า เหตุไร โจโฉที่เป็นพันธมิตรกับกังตั๋ง อยู่ดีๆจึงลงมือสังหารผู้คนเช่นนี้เล่า” เตียวเจียวยังไม่ลดละข้อข้องใจ
“ประการแรก มันมีความแค้นกับคนทั้งสี่ที่เคยไปถล่มเมืองอ้วนเซียคราก่อน จึงต้องหาเหตุแก้แค้น ประการที่สอง สองฝ่ายเป็นพันธมิตรหย่าศึกเมืองเกงจิ๋วกันก็จริง แต่เป็นเพราะกริ่งเกรงในขุมกำลังของเรา หากมีจังหวะ ก็ต้องฉกฉวยตัดกำลังสำคัญทิ้งเสีย ประการที่สาม ในเมื่อกวนอูมาตายในเขตแดนเราอย่างคลุมเครือ มันจึงใช้โอกาสนี้ลงมือสังหารแล้วป้ายความผิดไปที่คู่กรณีกัน ยุแยงให้สองฝ่ายปะทะกัน คนที่นั่งบนภู ดูเสือกัดกัน ย่อมได้รับแต่ผลดี และประการสุดท้าย หากเป็นพวกเล่าปี่ลงมือจริงตามที่หลักฐานปรากฏ ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้า ทำตัวลับๆล่อๆเช่นนี้ดอก” ลกซุนชี้แจงเป็นลำดับ
ซุนกวนพยักหน้ากันกับเตียวเจียว คนทั้งหลายล้วนคล้อยตามคำชี้แจงของลกซุน กุนซือที่ปราดเปรื่อง คนลงมือครั้งนี้ สมควรเป็นฝ่ายโจโฉมากกว่าฝ่ายเล่าปี่จริงๆ ทำให้หลายคนเริ่มแบ่งกลุ่มเสนอความคิดตอบโต้จอมทรราชย์แห่งแผ่นดินฮั่นแทน
บิฮองลอบกระหยิ่มใจที่คนกังตั๋งคล้อยตามในเรื่องราวที่มันเพิ่งโกหกหน้าตายตามคำสั่งของลกซุน สืบเนื่องมาจากวันก่อน มันซ่อนตัวอยู่ในถ้ำลับใต้น้ำ ซึ่งสมควรพำนักอาศัยได้สักห้าวันเจ็ดวัน แต่เพียงชั่วข้ามคืน สระน้ำกลับส่งกลิ่นคล้ายของบูดเน่าอย่างกระทันหัน ก่อกวนให้มันกบดานต่อไปไม่ได้ ต้องรีบว่ายขึ้นฝั่ง และถูกลกซุนที่กำลังสำรวจร่องรอยอยู่ด้านบน จับตัวไว้ได้อย่างง่ายดาย พอลกซุนสังเกตพบว่า มันถูกพิษจากสระน้ำ ฝ่ายตรงข้ามจึงเสนอให้มันกล่าวหาใส่ร้ายต่อโจโฉ เพื่อแลกกับยาถอนพิษ
ทันใดนั้น บิฮองที่กำลังครุ่นคิดวุ่นวายนั้น กลับเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตาเหลือกสูง ร่างกายเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ และกล้ามเนื้อแขนขาพองโตจนเสื้อผ้าฉีกขาด ดูคล้ายอสูรร้ายในตำนานเล่าขาน กางมือไขว่คว้าพัวเจี้ยง คล้ายต้องการแก้มือเรื่องเมื่อครู่ จนวุ่นวายปั่วป่วนไปทั้งที่ประชุม ซุนกวนเห็นท่าไม่ดี จึงโบกมือสั่งการให้สังหารบิฮองได้
แต่ปัญหาคือ ในที่ประชุมกังตั๋ง มีกฏห้ามพกพาอาวุธเข้ามาด้วย พวกขุนพลมีชื่อจึงได้แต่ใช้มือเปล่าเข้าช่วย แต่เห็นบิฮองรวบคอพัวเจี้ยงไว้ได้ เพียงออกแรงอีกนิด คงตายคามืออยู่แล้ว ยังดีที่ลกซุนหัวไว รีบคว้ากระบี่อาญาสิทธิ์ของซุนกวนจากหิ้ง แทงทะลุช่องปากของอสูรร้ายบิฮองให้สิ้นฤทธิ์เดช ช่วยชีวิตพัวเจี้ยงไว้พอดี
พอบิฮองตาย ร่างกายค่อยกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง เหตุการณ์ปีศาจกวนอูอาละวาดยังคุกรุ่นอยู่ คนทั้งหลายจึงเชื่อมโยงไปว่า บิฮองทรยศต่อเล่าปี่ จึงถูกวิญญาณแค้นกวนอูตามมาสิงจนกลายเป็นอสูรร้ายไปอีกรอบหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลกซุนที่เสี้ยมให้บิฮองจุดชนวนสงครามเหนือใต้ ก็คลายใจที่ไม่ต้องหาทางแก้ไขเรื่องยาถอนพิษที่หลอกลวงเอาไว้ เพราะจนบัดนี้ มันก็ไม่รู้ว่าใครกันเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดสระพิษเช่นนั้นได้ และย่อมไม่มียาถอนพิษอยู่ในมือ แต่ถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่า พิษร้ายชนิดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียให้น่าครอบครองยิ่งนัก
ซุนกวนเห็นว่าเหตุการณ์วุ่นวายสงบลงแล้วด้วยฝีมือของลกซุนอีกครั้ง จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พวกท่านทั้งหลายได้ฟังคำวิเคราะห์ของลกซุนแล้ว คงเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนดีแล้ว คนผู้นี้ เก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เราจึงขอแต่งตั้งให้ลกซุนเป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊แทนซุนเกาผู้ล่วงลับ และให้ดำเนินการนำกองทัพไปทำสงครามกับโจโฉให้ได้ในเร็ววัน ลกซุน เจ้าต้องการใช้กำลังพลสักเท่าไหร่”
ลกซุนรีบคุกเข่ารับตำแหน่ง พร้อมบอกข้อเสนอ “การศึกไม่จำเป็นต้องใช้กำลังพล ในเมื่อโจโฉยังไม่ประกาศศึกอย่างโจ่งแจ้ง เราก็ชะลอการทำสงครามไว้ก่อน ข้าน้อยขอเสนอให้ใช้สงครามการทูตเป็นการตอบโต้ขอรับ”
ซุนกวนงุนงงพลางทวนคำ “สงครามการทูตหรือ มันเป็นอย่างไรกัน และต้องการใช้อะไรบ้าง จงเร่งอธิบายความโดยเร็ว”
“เพียงใช้กองเรือขนาดกลางสิบลำ ทหารหนึ่งพันห้าร้อยนาย ทองหนึ่งพันชั่ง อัญมณีสิบหีบ ช้างเผือกหนึ่งตัว ขุนพลเล่งทอง และตัวข้าน้อยเท่านั้นขอรับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ข้าน้อยขอพูดคุยเป็นความลับ” ลกซุนเสนอแผน
ซุนกวนกลอกตาวูบหนึ่ง จึงลูบหนวดเครา เงยหน้าหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า เอาเถิด เจ้าเป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊แล้ว ข้าย่อมต้องเห็นดีด้วย กระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้ ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลล่วงหน้าก่อน จงรีบจัดการไปตามสมควรเถิด”
ลกซุนตาเป็นประกาย นึกขอบคุณบิฮองที่ตายอย่างงมงายพิสดาร ยังชี้ทางสว่างต่อแผนการทำร้ายโจโฉอย่างสาสมใจ
กองเรือทูตของลกซุนเดินทางล่องไปตามลำน้ำไต้กังออกเลียบทะเลใหญ่อ้อมเข้าสู่แม่น้ำฮวงโห มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงฮูโต๋อย่างเปิดเผย บนใบเรือจารึกคำว่า “เชื่อมสัมพันธ์ดินแดนเหนือใต้” ตลอดทางจึงไม่มีท่าทีการต่อต้านจากฝ่ายโจโฉ นอกเสียจากความงุนงงสงสัยว่า พวกกังตั๋งจะมาไม้ไหนในครานี้
ทางด้านโจโฉทราบข่าว จึงสั่งการให้จัดพิธีต้อนรับทูตเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีขึ้นที่ปราสาทนกยูงทองแดงอย่างสมเกียรติ ลกซุน เล่งทอง ยังไม่มีผลงานปรากฏมากนัก แต่ก็เป็นที่รู้จักกันดีในนามหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ คนสนิทซ้ายขวาของขุนพลจิวยี่ในอดีต และอยู่ในกลุ่มคนสำคัญของซุนกวนมาโดยตลอด จึงต้องการพบปะศึกษารูปลักษณ์ด้วยตนเองสักครั้ง แต่ยังเตรียมการป้องกันเหตุร้าย จึงเลือกสถานที่นัดพบเป็นปราสาทนกยูงแทน
ฝ่ายโจโฉนั่งเป็นประธานในพิธี มีโจผี โจสิด กาเซี่ยง สุมาอี้ เตียวคับ อองลอง ประมุขสำนักหอสมุดใต้หล้า ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองฮูโต๋คนใหม่ และขุนนางนายทหารระดับรอง นั่งกระหนาบซ้ายขวาตามลำดับ โดยมีจูกัดเอี๋ยน องครักษ์คนใหม่เดินสำรวจความปลอดภัยโดยรอบ รอคอยขบวนทูตที่มีกำหนดการจะมาถึงท่าเทียบเรือตั้งแต่เช้าตรู่
หากแต่นั่งรอจนสายมากแล้วกลับยังมาไม่ถึง ยังดีที่อากาศเริ่มหนาวเย็นเพราะเปลี่ยนฤดูกาล แม้จะมีแดดจ้า ก็ไม่ร้อนมากนัก สายข่าวรายงานว่า กองเรือไม่ชินเส้นทางร่องน้ำ ซ้ำยังต้องล่องทวนกระแสน้ำเข้ามาด้วย จึงเดินทางมาล่าช้ากว่าที่คิด แต่ฟังแล้วไม่สมศักดิ์ศรีของชาวเรือผู้ช่ำชองทางน้ำอย่างพวกนักรบจากแดนใต้สักเท่าไหร่นัก
สุดท้าย กองเรือทูตก็เข้าเทียบท่าเรือแล้ว กองทหารเรือลงมาตั้งแถวให้ขบวนทูตเชื่อมสัมพันธ์ได้ทะยอยเดินลงจากเรือ ยกถาดใส่ทองคำ ถาดใส่อัญมณี จำนวนมากมายลายตา และสุดท้าย กลับมีสัตว์รูปร่างประหลาดในสายตาคนทางเหนือ นั่นคือ ช้างใหญ่สีเผือกขาวทั้งตัว หุ้มงาด้วยเครื่องทอง แต่งประดับตามตัวด้วยเครื่องทรงแปลกตา เดินตามหลังมาในกลุ่มด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
โจโฉเพ่งสายตามองดูหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ที่เดินเคียงข้างกันมาในฐานะทูตเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี แต่ทั้งสองถือป้ายคารวะบดบังใบหน้าพอดี จึงได้แต่รอคอยจนทั้งสองมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ค่อยเห็นหนึ่งบุ๋นลดป้ายลง ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองที่เลื่องลือว่า กำลังจะขึ้นเป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊ ถึงกับเป็นบัณฑิตหนุ่มที่อ้างตนว่าเป็นลูกของลิแปะเฉีย คนที่เคยต่อสู้ฟาดฟันกับมันมาตั้งหลายครั้งเมื่อไม่นานมานี้ จึงหลุดปากชี้หน้า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
ในเมื่อคู่แค้นทั้งสองต่างอยู่ในฐานะตัวแทนของรัฐ จึงไม่สะดวกจะประกาศศึกต่อกันให้เสียความสัมพันธ์ทางการเมือง จึงได้แต่จ้องตากันอย่างเคียดแค้นในใจ คนรอบข้างจึงได้แต่งุนงงในท่าทีของคนทั้งสอง
ลกซุนฉีกยิ้มคล้ายเยาะเย้ย ประสานมือคารวะค่อยตอบ “คารวะท่านวุยอ๋อง ข้าน้อยลกซุนมาเป็นตัวแทนของท่านซุนกวน เจ้านครกังตั๋ง ขอน้อมส่งเครื่องบรรณาการจำนวนหนึ่งมาให้ด้วยความเคารพนับถือ นอกจากนั้น ยังนำพาช้างศึกสีเผือก สัตว์หายากยิ่งจากดินแดนสุวรรณภูมิทางใต้มาให้ พร้อมกับการเดิมพันประการหนึ่ง”
ลกซุนหยุดคำเล็กน้อย พลางกวาดสายตาไปทั่วๆ “ร่ำลือกันว่า ทางเหนือเป็นดินแดนแห่งผู้เจริญทางปัญญา ท่านวุยอ๋องเองก็เป็นผู้ริเริ่มให้ก่อตั้งสำนักหอสมุดใต้หล้าขึ้นเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ทั้งเก่าใหม่ให้เป็นที่แพร่หลาย ท่านซุนกวนจึงฝากข้อความมาว่า ภายในเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หากพวกท่านคนใดสามารถชั่งน้ำหนักของช้างศึกสีเผือกนี้ได้ ของบรรณาการล้ำค่าเหล่านี้และช้างศึกหายาก ก็จะส่งมอบให้กับท่านแต่โดยดี เป็นการยอมรับว่า ผู้คนทางเหนือยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ แต่หากพวกท่านไม่สามารถให้คำตอบมาได้ทันเวลา ขอให้ติดประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไว้ที่หน้าปราสาท และสำนักหอสมุดใต้หล้าทุกสาขาให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป”
โจโฉและพวกต่างตระหนกในถ้อยคำท้าทายของลกซุน ทางหนึ่งไม่อาจฉีกหน้าปฏิเสธการเดิมพันให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทางหนึ่ง ก็ขบคิดหาทางชั่งน้ำหนักสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ไม่ได้ในทันที จึงได้แต่มองหน้ากันไปมา นี่คงเป็นต้นแบบของสงครามสายบุ๋นโดยแท้ ไม่ต้องรบพุ่งด้วยกำลังทหาร แต่สร้่างความอับอายเสียหายต่อฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลกซุนจึงกล่าวเชิญชวนต่อไปอย่างทรนง “พวกท่านสามารถเข้าไปตรวจสอบช้างศึกได้อย่างเต็มที่ ยามนี้เข้าสู่ช่วงเที่ยงวัน เจ้าช้างเพิ่งกินหญ้ากินน้ำจนอิ่มหนำมาจากบนเรือแล้วจึงเชื่องเชื่อยิ่งนัก ขอให้คนนำน้ำสะอาดจากบ่อขุดมาสาดรดตามตัวให้คลายร้อนลงบ้างทุกหนึ่งชั่วยาม มันก็สบายตัวมากแล้ว”
เจ้าหน้าที่ต้อนรับนำพาลกซุน เล่งทอง ไปนั่งพักผ่อนดื่มกินในที่นั่งอันสมควร ไม่ห่างไกลจากโจโฉผู้เป็นประธานในพิธีนัก โจผี เตียวคับ จูกัดเอี๋ยนจึงขยับขึ้นมาระวังอยู่ใกล้ๆ ปล่อยให้กาเซี่ยง สุมาอี้ อองลอง และขุนนางสายบุ๋น รวมทั้งโจสิด ร่วมกันปรึกษาหารือกันอย่างคร่ำเคร่ง เพราะไม่เคยศึกษาเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่ช้างศึกถูกนำตัวไปหลบแดดภายใต้ร่มต้นไม้ใหญ่เป็นการชั่วคราว
พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นระดับสูงยกให้กาเซี่ยง สุมาอี้ อองลอง กับโจสิด ร่วมกันเป็นประธานนำประชุม ต่างช่วยกันนำเสนอวิธีการต่างๆนานา แผนการอันใดน่าสนใจ ก็จะส่งต่อให้กับขุนนางนายทหารระดับรองนำไปทดลองกับช้างศึกตัวมหึมา แต่แผนแล้วแผนเล่าที่ส่งไป ก็ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นวี่แววความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาได้เลยแม้แต่น้อย บางคนเรี่ยวแรงมาก ลองช่วยกันยกหลายๆคนก็ไม่อาจยกช้างศึกขึ้นได้ดังใจคิด บางคนเคยแยกส่วนสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่มาชั่งน้ำหนักก็ไม่อาจทำได้กับสิ่งมีชีวิตเช่นนี้
 
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม เรื่องราวร่ำลือกันไปถึงด้านในที่พักปราสาท เรียกความสนใจจากผู้คนทั้งชายหญิง คนแก่และเด็กเล็ก ที่พำนักอยู่ละแวกใกล้เคียงให้ออกมาดูเหตุการณ์กันอย่างครึกครื้น จนเด็กน้อยในชุดชาวบ้าน แต่มีท่าทีองอาจ ก้าวออกมาด้านหน้าด้วยสีหน้ามั่นใจ พยักเพยิดให้กับพี่ชาย
โจสิดเห็นเข้าพอดี หลายเดือนที่ผ่านมา เร่ิมตระหนักถึงสติปัญญาของน้องต่างมารดาคนนี้ จึงกวักมือเรียกโจชงด้วยความคุ้นเคย พอโจชงวิ่งเข้ามาใกล้ จึงเอ่ยปากถาม “เจ้ามีหนทางแก้ปัญหานี้แล้วหรือ”
“ตอนอยู่บ้านเดิม ท่านอาหมอข้างบ้านมักจะประลองปัญญากับข้าบ่อยครั้ง ครั้งหนึ่ง ท่านอาเคยถามน้ำหนักของฝูงวัวควายที่ข้าเลี้ยงไว้ ข้าขบคิดอยู่หลายวัน จึงนำตัวพวกมันลงไปในเรือเปล่า พอเรือจมลงเท่าใดก็ขีดเส้นไว้ หลังจากนั้น ก็เอาฝูงวัวควายออก แล้วใส่ก้อนหินขนาดย่อมจำนวนหนึ่งใส่ลงไปให้เรือจมถึงระดับเดียวกัน เราก็เพียงนำก้อนหินมาค่อยๆชั่งน้ำหนักอีกทอดหนึ่ง ก็จะได้น้ำหนักเช่นเดียวกันกับฝูงวัวควายแล้ว” โจชงทบทวนความคิดให้อย่างย่นย่อ
โจสิด กาเซี่ยง สุมาอี้ อองลอง และคนอื่นๆรับฟัง ถึงกับตบโต๊ะแสดงความยินดีกันทั่วหน้า สั่งการให้ลูกน้องไปจัดการตามที่โจชงแนะนำ แต่โจชงยังไม่พ้นวิสัยเด็กน้อย จึงขอไปร่วมวงในการลากจูงช้างเผือก และขนย้ายก้อนหินด้วยตนเอง คล้ายเป็นเรื่องสนุกสนานตามวัย จนพรรคพวกเด็กน้อยที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง และเป็นเพื่อนเล่นคุ้นเคยกับโจชง พลอยออกมาช่วยเหลือด้วย สุดท้าย ตัวเลขของน้ำหนักช้างศึกจึงไปถึงมือของโจสิดได้ก่อนเวลาเส้นตายถึงครึ่งชั่วยาม
เรื่องราวทั้งหมดย่อมอยู่ในสายตาของโจโฉ และลกซุนที่นั่งเสพสุราอาหารอยู่ด้านบน ฝ่ายหนึ่งคล้ายพึงพอใจที่เห็นผู้คลี่คลายปัญหาเป็นทายาทคนโปรดของตนเอง แต่ฝ่ายหนึ่งคล้ายอีดอัดระคนเสียใจ แต่ในเมื่อเป็นสงคราม ก็จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม
โจสิดจูงมือโจชง นำคำตอบไปส่งมอบให้กับมือของโจโฉ พอโจชงมองเห็นลกซุน จดจำได้ว่า เป็นบัณฑิตที่เคยก่อกวนเรื่องราว จนทำให้มารดาซัวบุ้นกีถูกสังหาร แม้จะไม่ใช่ฆาตกรโจวจู๋ แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงหลุดปากกล่าว “ท่านพ่อ คนผู้นี้..”
โจโฉรู้เท่าทัน รีบยกมือห้ามปราม “ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก จงสงบปากคำไว้ก่อน” แล้วขยิบตาให้โจสิดนำตัวน้องชายไปนั่งอยู่ด้วยกัน ค่อยตอบโต้กับลกซุนที่มาในฐานะทูต “คำตอบได้มาถึงก่อนเวลาที่กำหนด เจ้าคงจะยอมรับความพ่ายแพ้แล้วกระมัง”
ลกซุนประสานมือคารวะพร้อมกล่าวคำอำลา “แน่นอน การเดิมพันครั้งนี้ ถือว่า ท่านเป็นฝ่ายชนะ จงรับของบรรณาการทั้งหลาย และช้างศึกไปด้วยเถิด ข้าน้อยทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว จะขอลากลับไปรายงานต่อท่านซุนกวน อ้อ ช้างศึกมาจากดินแดนที่ร้อนชื้น อาจจะไม่ถูกกับอากาศเมืองหนาว ขอให้ท่านจงระมัดระวังการดูแลเอาไว้ด้วย มิฉะนั้น ของบรรณาการอาจจะเสียหายสูญเปล่าไปได้”
โจโฉจ้องตาเขม็ง แต่ยังไม่พร้อมจะลงมือฉีกหน้า จึงได้แต่กล่าวส่งท้าย “เอาไว้เจอกันคราวหน้า ขอให้อยู่นานๆหน่อยก็แล้วกัน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้ามากมายนัก”
“เช่นกัน ขออำลา” ลกซุนกวาดตามองรอบๆอีกครั้ง และเจาะจงหยุดลงที่โจชง เด็กอัจฉริยะที่ไขปริศนาได้ พร้อมค้อมตัวลงคำนับ โจชงสำนึกว่าการทูตไม่อาจเสียมารยาท จึงก้าวออกมาคำนับตอบบ้าง
ภาพขุนนางผู้ใหญ่กับเด็กน้อยในชุดชาวบ้านคำนับให้กันล้อกับแสงแดดยามเย็น โดยมีช้างศึกสีเผือกยืนอยู่ด้านหลัง กลับกลายเป็นภาพประทับใจที่สุดในวันสำคัญนี้
ลกซุนพยายามจดจำรายละเอียดกลุ่มคนใกล้ชิดที่มาร่วมพิธีไว้ให้มากที่สุด บ่ายวันนี้เป็นช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งต่อการทำสงครามในภายภาคหน้า จนสุดท้าย จึงสะดุดกับใบหน้าที่คุ้นเคย เป็นสุมาอี้ เต่าสมถะ ศิษย์พี่ใหญ่ของมันเอง
หากมีใครสักคนที่ล่วงรู้ความนัยของสงครามสายบุ๋นในครั้งนี้ ก็ต้องมีชื่อของคนคนนี้อยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ลกซุนแย้มยิ้มให้กับสุมาอี้อย่างคนที่รู้เท่าทันกัน พลางเอามือปัดที่ริมฝีปากเบาๆเป็นรหัสสัญญาณ ส่วนสุมาอี้ทำเฉไฉหรุบตาให้เป็นการตอบรับเช่นกัน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา