Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
5 ก.ย. 2021 เวลา 23:51 • นิยาย เรื่องสั้น
6.7. กู้วิกฤตพิษมฤตยู
โจยอย ทายาทคนปริศนา - ฮัวโต๋ หมอเทพยดาย้อนยุค - โจสิด คนบาปแห่งสกุลโจ
ขบวนเรือของทูตกังตั๋งจากไปแล้ว ลกซุนยังไม่ร้ายกาจอย่างที่คาดคิด โจโฉเบิกบานใจที่ได้ชัยต่อสงครามทางการทูต จึงสั่งการให้ทุกคนพักผ่อนดื่มกินในปราสาทสักหลายวันก่อน เพียงให้จัดส่งบรรณาการต่อกษัตริย์เหี้ยนเต้ทั้งหมด ยกเว้นแต่ช้างศึกสีเผือกที่มอบให้กับโจชงไว้ดูเล่นที่ปราสาทนกยูง เป็นรางวัลตอบแทนที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับคนเมืองเหนือได้ทันเวลา สุมาอี้จึงฉวยโอกาสรับอาสานำขบวนบรรณาการกลับฮูโต๋ไปก่อน
แต่น่าเสียดาย วิสัยช้างชอบอากาศร้อน กลัวอากาศหนาวดั่งที่ลกซุนกล่าวไว้ เพียงแค่สามสี่วัน ช้างศึกล้ำค่าจากแดนใต้ก็ล้มลงอย่างง่ายดาย สร้างความเศร้าเสียใจต่อโจชง ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของมันเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง
ความเศร้าเสียใจอาจส่งผลต่อร่างกายของผู้คน โดยเฉพาะเด็กเล็ก นับเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่โจชงป่วยประหลาดนัก ปวดหัว มีไข้สูง ผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย และผมเผ้าหลุดร่วง โดยหมอหลวงก็จนใจหมดหนทางแก้ไข กลับทำให้โจโฉเริ่มกังวลใจแล้ว
ยิ่งโจสิดมารายงานว่า พวกเด็กๆในละแวกใกล้เคียงก็พลอยเจ็บป่วยด้วยอาการเหมือนกัน ยิ่งทำให้โจโฉปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง “หรือว่า ช้างเผือกคือต้นเหตุของปัญหา” โจโฉฉุกคิดขึ้น จึงเอ่ยถาม “หลานยอยมีอาการเจ็บป่วยเช่นเดียวกันหรือไม่”
โจสิดงงงันวูบ พลางกล่าว “หลายวันก่อน โจยอยเป็นไข้หวัด นอนซมบนเตียง จนไม่ได้ลุกไปไหน นอกจากพักผ่อนอยู่แต่ในห้องนอน แต่บัดนี้ เป็นปกติดีแล้วขอรับ”
“ตรวจสอบให้ดี เด็กที่มีอาการเจ็บป่วย ใช่เป็นเฉพาะคนที่ออกไปคลุกคลีกับการชั่งน้ำหนักช้างศึกในวันนั้นหรือไม่” สีหน้าโจโฉเคร่งเครียดลงในทันที ในขณะที่โจสิดหัวไว พอเดาสถานการณ์ฉุกเฉินได้บ้างแล้ว
…
ผิดคาด คนป่วยไม่ได้เป็นเพียงแค่กลุ่มที่ออกไปคลุกคลีกับช้างศึก แต่คนอื่นๆที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับช้างศึก ก็พลอยติดเชื้อไปด้วย บางคนที่สุขภาพไม่แข็งแรงนัก เพิ่งมีอาการ ก็ชักตายไปบ้างแล้ว และข่าวร้ายยิ่งกว่า คือ พวกขุนนางนายทหาร และผู้ใหญ่หลายคนในละแวกใกล้เคียงก็เริ่มออกอาการลักษณะเดียวกัน เท่ากับว่า ขณะนี้ ผู้คนร่วมร้อยกว่าคน กำลังมีปัญหาอยู่ และอาจจะแพร่เชื้อเป็นวงกว้างได้ในไม่ช้า
“ข้าสั่งการให้แยกคนป่วยทั้งหมดออกไปอยู่ด้านหลังของปราสาท ห่างไกลจากคนปกติแล้ว แต่ทางด้านหมอหลวงหรือหมอมีชื่อที่เชื้อเชิญมา ล้วนแต่ส่ายหน้า ไม่มีทางรักษากันทั้งสิ้น นอกจากฝากคำเตือนด้วยเกรงว่า ทั้งหมดอาจจะไม่รอด รวมทั้งพวกเราก็อาจจะติดเชื้อแล้วด้วย เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาอาการจะปรากฏเท่านั้น” โจสิดรายงาน
วุยอ๋อง โจโฉนั่งฟังอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ เกิดความเศร้าสะเทือนใจที่จู่ๆก็เกิดความสูญเสียเช่นนี้ จนหน้ามืดเกือบพลัดตกจากเก้าอี้ ยังดีที่ โจผี อยู่ใกล้ๆ ช่วยกันประคองตัวเอาไว้ได้ทัน ยามนี้ จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่แตกต่างจากผู้เฒ่าสูงวัยที่กำลังจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้คนแถวนี้ก็หมายรวมถึงคนในตระกูลโจและแฮหัวด้วยอีกกว่าสองร้อยคน เรียกว่าแทบหมดสิ้นทั้งตระกูลเลยทีเดียว
พอดี กาเซี่ยง เดินเข้ารายงาน พร้อมมีรอยยิ้มยินดี “ข้าน้อยได้รับการติดต่อจากหมอฮัวโต๋ ขออนุญาตเสนอตัวเพื่อทำการรักษาให้กับผู้ป่วยขอรับ”
“หมอฮัวโต๋รึ” โจโฉทวนคำ หากเป็นเรื่องการรักษาในปัจจุบันนี้ หมอฮัวโต๋นับเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน คนผู้นี้ บางครั้งดี บางครั้งร้าย ยากจะคาดเดาจิตใจที่แท้จริง แต่ก็เคยมีความผูกพันอยู่กับซัวบุ้นกี และโจชงอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะมีน้ำหนักมากพอที่ฮัวโต๋ยินยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง โจโฉพูดพลางขบคิดอย่างวุ่นวายสับสน “ให้เบิกตัวเข้ามาได้”
กาเซี่ยงแอบสังเกตสีหน้าและแววตาของโจโฉ ก่อนจะออกไปเชิญตัวฮัวโต๋เข้ามาพบ แต่กระตั้ว-กาเซี่ยงยังแอบกระซิบเป็นการลับว่า “พี่สี่ การกระทำครั้งนี้ สุ่มเสี่ยงยิ่งนัก ถึงแม้ว่า ท่านจะรักษาโรคร้ายนี้ได้หรือไม่ได้ก็ตาม เกรงว่า โจโฉจะไม่ยอมปล่อยท่านกลับไป หากท่านเปลี่ยนใจ นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว”
นกฮูก-ฮัวโต๋ยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าขอบคุณ ไม่กล่าวตอบคำใดๆ เพียงแค่เดินตามกาเซี่ยงมาพบกับวุยอ๋อง โจโฉ ที่ห้องหนังสือเท่านั้น ด้านหลัง ยังมีชายหนุ่มท่าทางคงแก่เรียนอีกสองคนในชุดหมอเดินตามมาด้วย แสดงว่า ศึกครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก หมอฮัวโต๋จึงต้องพึ่งพาผู้ช่วยที่ชำนาญการจริงๆที่น้อยครั้งจะเปิดเผยตัวให้คนนอกรู้
…
ข่าวพิษร้ายมฤตยูแพร่ระบาดใส่ผู้คนนับร้อยรอบปราสาทนกยูง นับเป็นข่าวสะเทือนขวัญประชาชนเป็นวงกว้าง นกฮูก-หมอฮูโต๋ หัวขวานและเหยี่ยวดำ กำลังเตรียมการอยู่ในละแวกใกล้เคียงจึงพลอยรับรู้ และพอคาดเดาเรื่องราวได้
คราก่อน เมื่อครั้งที่เกิดคลื่นยักษ์ถล่มแดนใต้หลายเมือง ผู้คนที่เจ็บไข้ล้มตายด้วยโรคระบาดอยู่พักใหญ่ หากใครมีความคิดชั่วร้าย ย่อมสามารถเก็บเพาะเชื้อโรคไว้ทำเป็นพิษร้ายได้ไม่ยาก ดังนั้น การนำช้างศึกมรณะมามอบให้ฝ่ายโจโฉ จึงน่าจะเป็นการชะโลมพิษไว้ตามตัวของช้างศึก เพื่อให้พิษร้ายแพร่ระบาดไปทั่วพื้นที่ใกล้เคียง มุ่งหวังชีวิตศัตรูคนสำคัญ นับเป็นการก่อสงครามชีวภาพครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ
หมอฮัวโต๋ ผู้นำหน่วยปักษาสวรรค์คนปัจจุบัน ย่อมไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องราวนอกเหนือบันทึกประวัติศาสตร์ให้ลุกลามใหญ่โต จึงปรึกษากันในกลุ่ม และสรุปแนวทางว่า ฮัวโต๋ต้องกลบเกลื่อนเรื่องพิษร้ายดังกล่าว และกู้วิกฤตการณ์มฤตยูครั้งนี้โดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้คนกังตั๋งย่ามใจใช้วิธีการนี้ซ้ำขึ้นอีกในอนาคต
น่าเสียดายที่หลังจากตรวจสอบคนไข้ในละแวกใกล้เคียงแล้ว ฮัวโต๋กลับพบว่า พิษร้ายแดนใต้ สมควรก่อให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสีย หมดเรี่ยวแรงจนตาย คล้ายเป็นไข้ระบาดที่หลัวหม่าเมื่อหลายสิบปีก่อน มิใช่ ปวดหัว มีไข้สูง ผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย และผมร่วง จนชักตายในที่สุดเช่นนี้ จึงอาจจะมีสิ่งผิดปกติแทรกซึมทำให้พิษร้ายกลายพันธุ์ และให้ผลลัพท์ที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพราะคล้ายกับอาการของคนที่สัมผัสถูกสารกัมมันตรังสีเสียมากกว่า และนั่นหมายถึงภัยพิบัติที่รุนแรงเกินยุคสมัยไปมากนัก
ดังนั้น ฮัวโต๋จำต้องบุกเข้าไปตรวจสอบภายในปราสาทด้วยตนเอง วิธีการเข้านั้นไม่น่ายาก หากได้รับความช่วยเหลือจากกระตั้ว-กาเซี่ยง และข้ออ้างในความสัมพันธ์กับเด็กน้อยโจชง เพียงแต่งานนี้อาจจะมีความยากลำบากเกินกว่าจะทำตามลำพัง ฮัวโต๋จึงได้แต่เรียกหาศิษย์เอกสองคน คือ โงโพ้และฮ่วมอา ติดตามเข้าไปช่วยเหลือกัน
...
“ท่านหมอใหญ่ คนป่วยทะยอยล้มตายไปเรื่อยๆ คนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับช้างศึกก็มีอาการไม่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่า โรคนี้อาจจะติดต่อกันได้ และจำนวนคนที่มีปัญหาทั้งหมดเพิ่มเป็นสามร้อยกว่าคนแล้ว” โจโฉมากประสบการณ์ พอรู้ว่ากำลังรับมือกับสิ่งไร จึงให้ลูกน้องหาข้อมูลมารายงานเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ง่ายขึ้น
“ข้าน้อยได้ตรวจอาการคนป่วยที่อยู่รอบนอกปราสาทมาบ้างแล้ว จึงพอเข้าใจอาการที่เกิดขึ้น แต่ยังต้องการข้อมูลเบื้องลึก จึงจะจัดจ่ายยาที่เหมาะสมให้ถูกกับโรคได้ อาจจะต้องขออภัยที่ต้องรบกวนท่านแล้ว” หมอฮัวโต๋กล่าวอย่างจริงจังหนักแน่น
“เรื่องนี้ ข้าพอเข้าใจได้ ขอเพียงให้แก้ไขสถานการณ์ในครั้งนี้สำเร็จ ข้าต้องตอบแทนเจ้าอย่างงามทีเดียว” โจโฉเหมือนเข้าสู่ภวังค์ความคิด โต้ตอบโดยไม่มองหน้าคนฟัง
“ถ้าเช่นนั้น จัดคนให้ข้าสี่กลุ่ม กลุ่มแรก ให้กักบริเวณคนป่วยไว้ให้อยู่ห่างออกจากคนปกติให้ไกลที่สุด และเหลือคนติดต่อดูแลให้น้อยที่สุด เพื่อชะลอการแพร่กระจายของโรคร้าย กลุ่มที่สอง ให้คนจัดอาหารและเครื่องดื่มที่มีอยู่ในปราสาทมาตรวจสอบในห้องปิดมิดชิด และกว้างใหญ่ห้องหนึ่ง ทุกอย่างให้นำมาอย่างน้อยครึ่งชาม ไม่เว้นแม้แต่น้ำบ่อหรือสุราหมัก หากมีสัตว์ที่เลี้ยงไว้เป็นอาหาร เช่น หมู เป็ด ไก่ ก็ให้นำมาอย่างละห้าตัวเช่นกัน ลูกศิษย์ของข้าจะเป็นผู้ตรวจสอบในห้องนั้นเอง คนอื่นไม่ต้องอยู่ในที่นั้นให้เกิดความผิดพลาด
กลุ่มที่สาม ให้นำข้าไปยังจุดที่ฝังกลบซากช้างเผือกด้วยเลย ข้าจะตรวจดูจุดนั้นด้วยตนเอง และกลุ่มสุดท้าย ให้กักบริเวณผู้คนและสัตว์เลี้ยงรอบปราสาทในระยะห้าสิบลี้ ห้ามเดินทางเข้าออกใดๆทั้งสิ้น และห้ามดื่มกินอาหารใดๆ จนกว่าการทดสอบจะเสร็จสิ้น” หมอฮัวโต๋อธิบายโดยละเอียด เพื่อเริ่มต้นด้วยการค้นหาการระบาดของโรค และหยุดการแพร่กระจายของพาหะติดต่อ
พวกโจโฉทึ่งในคำสั่งการของหมอฮัวโต๋ที่แปลกแตกต่างไปจากหมอหลวงจากราชสำนัก และหมอมีชื่อคนอื่นๆ สมแล้วที่มารับบทบาทเป็นแม่ทัพใหญ่ในการทำสงครามกับมฤตยูโรคร้ายครั้งนี้ ระยะห้าสิบลี้นั่นครอบคลุมแทบทั้งหมู่บ้านที่อยู่รอบบริเวณปราสาทนกยูง ซึ่งนอกจากบ้านพักสกุลโจกับแฮหัวแล้ว ยังมีบ้านเรือนของขุนนางนายทหารคนสำคัญอื่นๆอีกไม่ใช่น้อยเลย เดิมพันครั้งนี้ นับว่าหนักหนาสาหัสยิ่งนัก
…
เวลาผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน หมอฮัวโต๋ในชุดปิดหน้าคลุมตัวแปลกตา สวมถุงมือประหลาดแนบเนื้อ ใช้เวลาไปในการปักเข็มเงินตรวจสอบเลือดเนื้อ และของเหลวของซากช้างทึี่ขึ้นอืด และส่งกลิ่นเหม็นเน่าอยู่ภายในหลุมดินอย่างแน่วนิ่งมีสมาธิ บางครั้ง ยังตัดเศษเนื้อ ตักของเหลวมาทดสอบกับตัวยาที่ตระเตรียมมาในหีบสัมภาระ ผสมผงยาแล้วจุดไฟเผาดูบ้าง ผสมน้ำยาแล้วแกว่งดูสีบ้าง ส่วนลูกศิษย์สองคนที่ตามมาด้วยนั้น ใส่ชุดพิสดารเช่นกัน ก็สาละวนอยู่กับการตรวจสอบอาหารและสัตว์มีชีวิตด้วยวิธีการเดียวกัน อยู่ในห้องกว้างใหญ่ที่ตระเตรียมขึ้นเป็นการเฉพาะตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ภายในห้องหนังสือ สีหน้าโจโฉยิ่งเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม เริ่มปวดหัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง นอกจากโจชงที่เป็นไข้ตั้งแต่แรกๆแล้ว ขณะนี้ ผู้คนในปราสาทล้มป่วยเกินกว่าครึ่งค่อนแล้ว แม้แต่ โจผี เตียวคับ จูกัดเอี๋ยน อองลองก็เริ่มมีอาการป่วยไข้ และถูกนำตัวออกไปกักบริเวณในส่วนหลังเหมือนคนอื่นๆ
ตอนนี้ จะเหลือคนใกล้ชิดก็เพียงโจสิด โจยอย และกาเซี่ยง เท่านั้นที่ยังประคองตัวได้ ส่วนภายนอกเอง ก็เริ่มมีหลายบ้านที่แจ้งอาการป่วยเข้ามาเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องสั่งการให้คัดแยกคนป่วยด้วยวิธีการเดียวกันโดยเร่งด่วน จนเกิดความวุ่นวายไปทั่วทั้งบริเวณ ทั้งหมดได้แต่รอคอยความหวังจากบุคคลคนเดียว เป็นหมอเทพยดา ฮัวโต๋
…
หมอฮัวโต๋ในชุดปกติกลับเข้ามาในห้องหนังสือ พร้อมรายงานผลความคืบหน้า "ช้างศึกไม่ใช่ตัวปัญหา ชิ้นส่วนอวัยวะทั้งภายนอกภายในร่างกายถูกตรวจสอบแล้ว ไม่ปรากฏเชื้อโรคใดๆ แต่คล้ายว่ามันจะล้มตายเพราะโรคระบาดเช่นเดียวกันผู้คนเหล่านี้ มันอาจจะโชคร้ายที่เป็นผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อ และแสดงอาการเป็นรายแรกเท่านั้น” ฮัวโต๋หันมาถามโจสิด “ตั้งแต่มาถึงที่นี่ มันเผชิญอะไรที่ผิดปกติบ้าง พอประเมินให้ฟังได้หรือไม่”
"ช้างศึกเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนสภาพอากาศก็จริง แต่อาหารการกินยังเป็นพืชผักผลไม้ที่ติดเรือมาด้วยจากกังตั๋งทั้งสิ้น ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเป็นแหล่งอาหารจากทางเหนือ คงมีแต่น้ำกินน้ำอาบที่ใช้จากบ่อขุดภายในปราสาทเท่านั้น" โจสิดชี้แจง "ลกซุนแจ้งว่าให้ราดด้วยน้ำสะอาดจากบ่อขุดทุกหนึ่งชั่วยาม คนเลี้ยงจึงทำตามอย่างเคร่งครัด แต่เพียงสามสี่วัน มันก็เซื่องซึมล้มตายลงแล้ว"
"ผิดแล้ว ธรรมชาติช้างป่าคุ้นเคยอากาศร้อนชื้น กลัวความหนาวเย็น วันแรก ลกซุนนำช้างมาตั้งโจทย์ปริศนากลางแจ้ง ทำให้ต้องรับแดดมากกว่าปกติ มันจึงว่ากล่าวไปเช่นนั้น เพื่อให้คลายร้อน หากแต่วันอื่น ต้องดูตามสภาพภูมิอากาศประกอบ การที่ราดน้ำใส่ทุกหนึ่งชั่วยามไปเช่นนั้น กลับทำให้มันเกิดอาการติดเชื้อหนาวตายก่อนเวลาอันสมควร" หมอฮัวโต๋อธิบายพลันสายตากระจ่างวูบ
“ส่งคนลงไปตรวจดูภายในบ่อน้ำที่ใช้ว่ามีสิ่งไรซ่อนอยู่หรือไม่ เราจะไปตรวจดูความคืบหน้าของลูกศิษย์เราก่อน” พูดเสร็จพลันหยิบฉวยอุปกรณ์จำเป็นแล้วรีบวิ่งออกไปโดยเร็ว
…
ภารกิจแก้ต่างให้กับลกซุน ถือว่าผ่านพ้นไปแล้วเปลาะหนึ่ง อย่างน้อย ฝ่ายโจโฉก็กล่าวโทษลกซุนไม่ได้ เพราะทางนี้เป็นฝ่ายเข้าใจผิด ทึกทักเอาเองว่า ต้องสาดน้ำเช่นนั้นทุกวัน ตัดตอนความเชื่อมโยงกับพวกแดนใต้ไปได้แล้ว เหลือแต่การขจัดพิิษร้ายให้ได้
หมอฮัวโต๋นึกทบทวนต่อไป ลกซุนส่งช้างเผือกเคลือบเชื้อพิษมา หมายจะใช้น้ำบ่อที่ชะล้างเป็นตัวแพร่เชื้อโรคระบาด แต่สัตว์เผือกเป็นสัตว์ที่อ่อนแอกว่าปกติ ช้างเผือกจึงล้มตายเร็วกว่าที่วางแผนไว้ นั่นคือประการแรก ส่วนเชื้อพิษระบาดเองนั้น คล้ายถูกน้ำบ่อที่มีปัญหา ทำปฏิกิริยาจนพิษร้ายผิดเพี้ยนไปจากเดิม อาการของโรคจึงไม่ใช่ท้องร่วงท้องเสียตามที่ลกซุนคาดหวัง แต่เป็นอาการคล้ายถูกธาตุกัมมันตรังสีในภาษาของแพทย์ยุคสมัยของมัน จึงต้องเสาะหาสาเหตุจากน้ำบ่อ เป็นประการที่สอง การแพร่กระจายของเชื้อโรคนั้น คงไม่หยุดเพียงแค่น้ำบ่อที่สาดรดลงสู่แหล่งน้ำกินน้ำดื่มเท่านั้น หากแต่แทรกซึมเข้าไปในตัวพืชผักผลไม้ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นในบริเวณใกล้เคียง การกระจายตัวของโรคระบาดจึงรวดเร็วยิ่งนัก นั่นคือประการสุดท้าย
จริงดั่งคาด เมื่อได้พูดคุยปรึกษากันกับโงโพ้ ฮ่วมอา บรรดาแหล่งอาหารการกิน อันได้แก่ พืชผักผลไม้ที่เพาะปลูกไว้เอง และสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร เช่น เป็ด ไก่ หมู ปลา กุ้ง ในบริเวณที่ใกล้เคียงกันกับจุดเลี้ยงช้างศึก ล้วนแต่ติดพิษสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมาก ทำให้หมอฮัวโต๋ต้องรีบสั่งย้ำคำสั่งห้ามกิน และเริ่มให้ทำลายสิ่งมีชีวิตที่ติดพิษร้ายด้วยการใช้ไฟเผาทิ้งในทันที รอบๆปราสาทในระยะห้าสิบลี้ จึงคละคลุ้งไปด้วยควันไฟหนาทึบไปตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งพืชทั้งสัตว์ที่เข้าข่ายต้องสงสัย ล้วนถูกผลักดันเข้าสู่กองไฟอย่างต่อเนื่อง เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อในทันที
…
โจโฉส่งคนมาเชิญตัวหมอฮัวโต๋ไปพบที่ห้องหนังสืออีกครั้ง คนที่ลงไปงมในบ่อน้ำ ค้นพบห่อผ้าเปื่อยขาดใบหนึ่งที่ก้นบ่อ ภายในเป็นเศษกระบี่หักเล่มหนึ่ง ซึ่งโจโฉสามารถระบุได้ว่า เป็นกระบี่ฟ้าสังหารที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วหลายครั้งหลายหน จนสุดท้าย ได้ยินคำร่ำลือว่า ขุนพลจิวยี่ครอบครองกระบี่นี้ไว้ จนตนเองเสียชีวิต กระบี่หายสาบสูญ
นกฮูก-ฮัวโต๋ แอบสบตากันกับกระตั้ว-กาเซี่ยง กระบี่อาถรรพ์เล่มนี้เป็นหัวขวานประดิษฐ์ขึ้นให้กระเรียนนำมามอบให้ผู้คนยุคโบราณ ส่วนผสมอาจจะมีแร่ธาตุพิษตามที่คาดคิด เมื่อผสมผสานเข้ากันกับเชื้อโรคระบาด จึงก่อให้เกิดอาการใกล้เคียงกันกับสภาพที่ถูกสารกัมมันตรังสีแทรกซึม ซึ่งนับว่า หนทางเยียวยาด้วยยาโบราณ จะตีบตันยิ่งนักแล้ว
ทั้งสองคนย่อมนึกถึงสมาชิกคนหนึ่งในหน่วยปักษาสวรรค์ ซึ่งมีบรรพบุรุษที่เคยผ่านเหตุการณ์ระเบิดกัมมันตรังสีครั้งใหญ่แล้วรักษาชีวิตรอดมาได้ คนผู้นั้นจึงมีสารต้านพิษของแร่ธาตุมฤตยูอยู่ในกระแสเลือดที่สามารถสกัดออกมาเป็นตัวยาตั้งต้นได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่สมาชิกคนนั้นเพิ่งจะตายไปเมื่อไม่นานมานี้
มันคือ ผู้เฒ่ากระเรียน สมาชิกตัวแสบที่แฝงตัวในอดีตกาลมายาวนานกว่าสมาชิกคนอื่นในกลุ่มนั่นเอง และที่จริง กระแสเลือดของทายาทเฒ่ากระเรียน ก็ยังพอจะใช้ทดแทนกันได้ แต่บังทอง บังเต๊ก สองทายาทนั้น ก็ล้วนตกตายไปหมดสิ้นแล้วเช่นกัน ทำให้ทางสว่างต้องปิดตัวลงไปอีกครั้ง
ฮัวโต๋แอบสังเกตคนในห้องหนังสือ โจโฉ โจสิด กาเซี่ยง ล้วนมีอาการผื่นแดงพุพองขึ้นตามร่างกาย แต่เด็กน้อยโจยอยกลับยังมีท่าทีเป็นปกติ ทำให้ฉุกใจคิดขึ้น “โจยอยเป็นลูกของโจผีกับสาวงามนางเอียนซี ซึ่งเคยเป็นภรรยาของอ้วนฮี อีกนัยหนึ่งคือลูกสะใภ้ของกระสา-อ้วนเสี้ยว หรือว่า กระเรียนเฒ่าก่อเรื่องบาปกรรมซุกซ่อนไว้อีกแล้ว”
ฮัวโต๋ไม่อยากกล่าวมากความให้วุ่นวาย จึงเสแสร้งกล่าวขึ้นต่อโจโฉ “โจยอยคนนี้มีรูปร่างลักษณะตรงตามตำราโบราณที่ระบุว่า เด็กทารกกำเนิดมาหนึ่งร้อยหมื่นคน จะมีคนหนึ่งเป็นทารกทองคำ สามารถต่อต้านพิษร้ายได้อย่างประหลาด ข้าขอนำตัวเด็กน้อยไปตรวจสอบสักครู่หนึ่ง หากพวกท่านทั้งหลายโชคดี โจยอยอาจจะกลายเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตพวกท่านทุกคนได้อย่างคาดไม่ถึง” กล่าวจบไม่รอช้า รีบลากจูงเอาตัวโจยอยออกไปยังห้องตรวจโรค เพื่อจัดการกระบวนการทางการแพทย์ต่อไปโดยเร็ว
โจโฉได้แต่มองตามตาปริบๆ มันย่อมรู้สถานการณ์ของตัวเองดีว่า ทุกคนในพื้นที่ล้วนติดพิษกันไปหมดสิ้นแล้ว จึงได้แต่หวังว่า หมอฮัวโต๋จะสร้างปาฏิหาริย์กอบกู้วิกฤตร้ายครั้งนี้ไปได้ กาเซี่ยง กุนซือคู่ใจจึงได้แต่กล่าวปลอบโยนให้เชื่อมั่นอีกครั้ง
…
ย้อนกลับไปในช่วงที่เฒ่ากระเรียนร่วมมือกับกระสา-อ้วนเสี้ยว หลอกลวงให้เหยี่ยวดำเข้าใจว่า ตนเองถูกสังหารตายในกระโจมทหาร เฒ่ากระเรียนจึงหลบซ่อนอยู่ภายในกองทัพอ้วนเสี้ยว เพื่อยุยงจนอ้วนเสี้ยวก้าวเข้าสู่หายนะ ช่วงเวลานั้น มันพบเห็นนางเอียนซี ลูกสะใภ้คนใหม่ของกระสาเข้าโดยบังเอิญ แล้วเกิดชอบใจในความงาม กระตุ้นความรู้สึกเก็บกดที่สะสมมายาวนาน
ในเมื่อคิดขบถหันหลังต่ออุดมการณ์แล้ว เฒ่ากระเรียนจึงพาลก่อเรื่องให้ถึงที่สุด อาศัยจังหวะที่ทายาทอ้วนเสี้ยวแตกเป็นสองฝ่าย ตั้งทัพประจันหน้ากันยาวนาน นางเอียนซีเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เซียนเปย ใช้เครื่องอำพรางกายบุกเข้าจี้จุดสลบถึงในห้องนอน แล้วแอบมีความสัมพันธ์ลับกับนางงามอยู่หลายค่ำคืนติดต่อกัน
นางเอียนซีเป็นสาวชนเผ่าป่าเถื่อนในยุคโบราณ มองไม่เห็นตัวตนคนร้าย ได้แต่เข้าใจว่าถูกภูตผีท้องถิ่นรังควานในฝันไม่หยุดหย่อน จนเดินทางเข้าถึงเขตแดนเซียนเปย ความฝันเกี่ยวกับปีศาจราคะในยามค่ำคืนจึงหายสาบสูญไปเอง
ภายหลัง ค่อยพบว่า ตนเองเกิดตั้งครรภ์ขึ้น ยังเข้าใจว่าเป็นเชื้อสายของสกุลอ้วน พร้อมกับรับรู้ข่าวการตายของอ้วนฮี และครอบครัวฝ่ายสามี นางจึงหมดอาลัยบุกเดี่ยวเข้าสู่กองทัพศัตรู หมายจะพลีชีพ เพื่อลอบสังหารคนสกุลโจเป็นการแก้แค้นให้สามี แต่กลับถูกโจผีจับตัวไว้ได้ และกลายมาเป็นภรรยาทางการเมืองกับศัตรูไปในที่สุด
ลูกชายของปีศาจราคะจากอนาคต จึงกลับกลายมาเป็นทายาทสายตรงของสกุลโจ นามว่า โจยอย ด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง
…
หมอฮัวโต๋หายไปนานอีกร่วมหนึ่งชั่วยาม พร้อมระดมหมออื่นๆมาช่วยเหลือในการปรุงตัวยา จนมืดค่ำแล้ว ค่อยจัดส่งตัวยากลิ่นฉุนเฉียวเข้ามาหลายชามใหญ่ แบ่งปันให้ทุกคนในห้องหนังสือได้ดื่มกิน
ภายหลัง ฮัวโต๋ค่อยตามเข้ามาพร้อมกับโจยอย พลางกล่าว “นายน้อยเป็นทารกทองคำจริงดั่งคาด เพียงกรีดเลือดออกมาเป็นกระสายหนึ่งชามใหญ่ ผสมกับตัวยาสมุนไพรสำคัญก็สามารถทำยาขจัดพิษร้ายให้กับทุกท่านได้แล้ว หลังจากดื่มตัวยาซ้ำเช่นนี้อีกสองสามวัน พิษร้ายที่สะสมอยู่ภายในก็จะหมดสิ้นไป ข้าได้จัดการสกัดตัวยาให้เพียงพอกันทุกคน และเร่งแจกจ่ายไปให้กับคนทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว”
โจโฉประสานมือคารวะ “ขอบคุณท่านหมอใหญ่ด้วยความจริงใจ พวกเราทั้งหลายล้วนเป็นหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวง หากมีสิ่งไรพอจะตอบแทนได้ ขอให้ว่ากล่าวมาเถิด”
ยังไม่ทันขาดคำ โจผีที่เพิ่งออกไปตรวจดูอาการคนอื่นๆเมื่อครู่ พลันร่ำไห้เดินเข้ามารายงาน “ท่านพ่อ อาการน้องโจชงกำเริบ เพิ่งดื่มยาเสร็จ ก็ชักตายไปแล้วขอรับ”
โจโฉถึงกับหน้ามืดตาลาย ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ใหญ่อีกครั้ง บรรยากาศที่เพิ่งคลี่คลาย พลันหม่นหมองเศร้าสร้อย ต่างนึกสงสารที่เด็กน้อยต้องมาตายไปตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนี้ ทั้งๆที่เพิ่งสร้างชื่อเสียงจากการไขปริศนาการชั่งน้ำหนักช้างเผือกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
หมอฮัวโต๋ก็นึกเสียใจที่คิดหาวิธีการได้ช้าไปเพียงก้าวเดียว จึงประสานมือกล่าวคำ “ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยไม่ขอรับรางวัลตอบแทนใดๆ เพียงขออยู่ร่วมในพิธีส่งวิญญาณของชงน้อยด้วยก็เพียงพอแล้ว”
โจโฉก้มหน้าซ่อนคราบน้ำตา โบกมืออนุญาต โจผีจึงเชื้อเชิญให้หมอผู้มีคุณไปพักผ่อนตามความเหมาะสมก่อน ค่อยนัดแนะเรื่องงานพิธีศพในวันรุ่งขึ้น
หมอฮัวโต๋ได้อยู่ตามลำพังกับโงโพ้ ฮ่วมอา จึงฉวยโอกาสใช้ช่วงเวลาดังกล่าว รีบใช้น้ำมะนาวเขียนถ้อยคำบางอย่างบนตำราแพทย์ชั้นสูง แล้วยัดใส่มือศิษย์เอก และกระซิบบอกความให้ทั้งสองลอบหลบหนีออกไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงใดๆ
ด้วยสัญชาตญาณ แม้ว่านกฮูก-ฮัวโต๋รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยจากโจโฉ แต่ด้วยความผูกพันส่วนตัว มันไม่อาจทำใจไม่ไปร่วมส่งวิญญาณของโจชงได้ เพราะมันเองเป็นผู้ทำคลอดเด็กน้อยคนนี้ และทำหน้าที่ช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะจนเติบใหญ่ ราวกับลูกหลานคนหนึ่ง แต่สุดท้าย มันเองก็พลาดที่จะรั้งชีวิตน้อยๆไว้อย่างเฉียดฉิวจริงๆ แม้จะเป็นถึงหมอเทพยดาฮัวโต๋ก็ตาม
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 6 - พญายมถล่มแดนดิน
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย