8 ก.ย. 2021 เวลา 00:02 • นิยาย เรื่องสั้น
6.9. ฟ้าสิ้นเสียงคำราม
อีเจี้ย โลติด จูฮี เหยื่อการเมืองต่างรุ่น
หลายวันก่อน เล่าปี่เพิ่งจะได้รับข่าวดีจากภารกิจสวมรอยป้ายสีที่จากการส่งหกขุนพลแยกย้ายไปก่อการร้ายในถ้ำเสือ ใช้เวลาชั่วข้ามคืนสามารถปั่นหัวให้สิงห์เหนือเสือใต้ห้ำหั่นกันเอง ตามแผนการของกุนซือหวดเจ้ง
แผนการนั้นเริ่มต้นที่ เงียมหงัน เตงจี๋ ไปจัดการกับบิต๊ก บิฮอง คนทรยศ และ ฮกเหอ ฮกเสียวที่เมืองซงหยงกลางงานเลี้ยงยามค่ำคืน ต่อด้วย ตันเตา องครักษ์พิราบขาว กับเลียวฮัว ลอบสังหารซุนแจ้งที่หุบเขาละทิ้งอดีตในช่วงเช้าวันใหม่ และปิดท้ายด้วย ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน สองขุนพลเอก ที่ลอบฆ่าซุนเกา ช่วยม้าต้ายกลางเมืองเกงจิ๋วในยามสาย โดยทิ้งร่องรอยหลักฐานให้เป็นการลงมือของฝ่ายโจโฉ จนทำให้พวกกังตั๋งมีความเคลื่อนไหวในรูปแบบสงครามการทูต สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักในแดนเหนือ
แต่แล้ว จูกัดเหลียง-ขงเบ้งกลับทำลายความชื่นชมยินดี ด้วยการนำตัวบิฮุย ลูกชายของบิฮอง ทายาทสกุลบิที่เหลือรอดเพียงคนเดียว เข้ามาพบต่อหน้า พร้อมกับคำเฉลยที่กระชากหัวใจผู้คนที่ได้รับฟัง
ที่แท้ การสวามิภักดิ์ต่อพวกกังตั๋งของพวกสกุลบิเป็นแผนการลวงที่คนทั้งสองจำยอมไปตามสถานการณ์ และได้แอบส่งข่าวแจ้งเข้ามาทางเสฉวนก่อนแล้ว เพียงแต่กุนซือใหญ่ รับเรื่องเอาไว้ก่อน ไม่ทันได้แจ้งต่อเล่าปี่ที่ช่วงเวลานั้นเก็บตัวเงียบอยู่ตามลำพัง ด้วยเกรงว่า คนรู้มากจะเป็นภัยต่อตระกูลบิ และนึกไม่ถึงว่า กุนซือหวดเจ้งจะส่งแผนลอบสังหารมาจากเมืองฮันต๋ง ทำให้เล่าปี่ส่งเงียมหงัน เตงจี๋เจาะจงฆ่าคนทรยศล้างตระกูลบิถึงเมืองซงหยงด้วยความเข้าใจผิดไปเช่นนั้น
ด้วยความที่บิต๊ก บิฮองเป็นคนเก่าแก่ คบหากันมายาวนาน อีกทั้งเป็นพี่น้องกันกับบิฮูหยิน อดีตภรรยาผู้ล่วงลับ ทำให้เล่าปี่สะเทือนใจอย่างมากที่เสมือนสั่งฆ่าคนที่ไร้ความผิด จนถึงกับกระอักเลือดออกมากองโต จ้องมองบิฮุยที่มีศักดิ์เป็นหลานด้วยความสำนึกผิด และสั่งการให้ขงเบ้งจัดหาตำแหน่งสำคัญให้กับบิฮุย ชดเชยความผิดพลาดที่ตนเองได้กระทำต่อคนสกุลบิทั้งตระกูลแบบน้ำท่วมปาก ไม่อาจเปิดเผยความนัยให้ทราบ
ดังนั้น พอข่าวคราวการตายอย่างกระทันหันของหวดเจ้งเข้ามาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน เล่าปี่ที่อยู่ในช่วงเวลาจิตใจเปราะบาง ถึงกับไม่อาจทนทานรับความเสียใจเพิ่มเติมได้อีก ถึงกับหงายหลังชักตาค้างไปรอบหนึ่ง จากนั้น เล่าปี่ก็กลับกลายเป็นคนซึมเซาเลื่อนลอย ไม่รับรู้เหตุการณ์ตรงหน้า แม้แต่ภรรยา อุยฮูหยิน ก็มิอาจสื่อสารต่อกันได้ จนกุนซือหนึ่งเดียวอย่างขงเบ้ง จำเป็นต้องปิดบังปัญหาใหญ่ครั้งนี้เอาไว้ อ้างเพียงว่าป่วยหนัก และลงมือควบคุมขุมกำลังเสฉวนเอาไว้เอง
ขุมกำลังเล่าปี่เพิ่งตั้งหลักปักฐานได้ไม่นาน ยังไม่ถึงเวลาที่จะผลัดเปลี่ยนหัวหน้าใหญ่จากพระเจ้าอาเล่าปี่ ไปเป็นเด็กน้อยเล่าเสี้ยน หรือแม้แต่จะให้กุนซือใหญ่อย่างตนเองขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการก็ตาม มันจึงต้องรักษาโครงสร้างเดิมไว้ก่อน แต่ลอบคัดเลือกคนที่ไว้วางใจได้ เช่น ม้าเจ๊ก เจียวอ้วน เอียวหงี บิฮุย ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญระดับสูง สร้างฐานอำนาจทางการเมืองให้อยู่ในกำมือของมันไว้ก่อน รอโอกาสที่สุกงอมค่อยผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากคนแซ่เล่าเป็นคนแซ่จูกัด
ทางด้านกำลังทหารนั้น ขงเบ้งยังไม่กล้าแตะต้องในทันที เพราะยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงปล่อยให้ ฮองตง อองเป๋ง ปักหลักอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ยันทัพฝั่งโจโฉด้านเหนือ โดยส่งเจียวอ้วนไปกำกับเพิ่มเติม ส่วน ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน ม้าเลี้ยง ม้าต้าย เฝ้าระวังอยู่ที่ด่านแฮบังก๋วนฝั่งตะวันออก ป้องกันทั้งพวกโจโฉและซุนกวน ก็มีพวกสกุลม้าเป็นพันธมิตรอยู่แล้ว จึงไม่น่าห่วงกังวล ทางด้านภายในเมืองเสฉวนเอง ยังมี ตันเตา เงียมหงัน เตงจี๋ และ เลียวฮัว ซึ่งก็เป็นคนใหม่ทั้งสิ้น จึงชักจูงได้ไม่ยากนัก
ประเด็นสำคัญในตอนนี้ กลับมุ่งเป้าไปยังน้องรอง เตียวหุย และ ขุนพลคนสนิท จูล่ง ที่หายสาบสูญไป หากแม้นคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนกลับคืนสู่เสฉวน ไข้ใจของเล่าปี่อาจจะพอทุเลาลงได้บ้าง ดังนั้น ในทางกลับกัน ขงเบ้ง-จูกัดเหลียงอาจจะต้องลงมือสังหารคนทั้งสองทิ้งไปอย่างไร้ร่องรอย
อีกประการหนึ่ง ม้าเจ๊กเคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวลึกลับของกลุ่มคนประหลาดที่หลอกล่อเตียวสงไม่ให้เข้ากับโจโฉ เป็นกลุ่มคนที่มีฝีมือร้ายกาจและมีโอกาสที่จะแฝงตัวอยู่ในเสฉวนนี้มากที่สุด เบื้องแรกมันก็สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับหวดเจ้ง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จนภายหลัง กลับเป็นเตียวหุยที่หายตัวไปพร้อมกันกับจูล่ง นั่นแหละที่ทำให้มันเริ่มเปลี่ยนจุดสนใจ และเชื่อมั่นว่า กลุ่มคนประหลาดที่ม้าเจ๊กกล่าวถึง กับเตียวหุย ต้องมีความเชื่อมโยงกันแน่นอน
ช่วงหลังมานี้ มันจึงปล่อยให้ฮองเย่อิงพาเด็กน้อยสี่คนไปนอกเมืองบ่อยๆ เพื่อเป็นเหยีื่อล่อ สาวชาวบ้านร่างใหญ่ที่มาแอบมองกลุ่มเด็กน้อยที่นอกเมืองอยู่เป็นประจำนั้น อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังกลุ่มคนลึกลับที่ม้าเจ๊กกล่าวถึง และนำพาไปพบเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม ได้ในที่สุด
ขงเบ้งในฐานะผู้สำเร็จราชการชั่วคราว นั่งโบกพัดขนนกอยู่บนเก้าอี้ล้่อหมุนเหนือกำแพงเมืองเสฉวน มองดูความเป็นอยู่ของราษฎร พร้อมตรวจตราระหัดวิดน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างเลียนแบบเครื่องมือทันสมัยทางการเกษตรของพวกกังตั๋ง โดยมีเอียวหงี เตงจี๋ บิฮุย คอยดูแลอยู่ด้านหลัง
และแล้ว อีกทางด้านหนึ่ง ภายนอกกำแพงเมือง พลันปรากฏเสียงอึกทึกมาจากขบวนรถนักโทษที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา ธงสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า เป็นนักโทษสำคัญจากเมืองฮันต๋ง จึงมีจำนวนทหารควบคุมมามากเป็นพิเศษ แต่กรงขังกลับทำเป็นแบบปิดทึบ มองไม่เห็นตัวนักโทษ ทำให้ขงเบ้งต้องขมวดคิ้วสงสัย ในขณะที่ม้าเจ๊กนำหนังสือราชการเดินเข้ามาพอดี
“ท่านเจียวอ้วนส่งตัวนักโทษสำคัญมาจากเมืองฮันต๋ง มีหนังสือราชการกำกับมาถึงท่านโดยตรงขอรับ” ม้าเจ๊กรายงาน
ขงเบ้ง-จูกัดเหลียง ยื่นมือรับเอาหนังสือกำกับมาอ่านอย่างรวดเร็ว จนหน้าเปลี่ยนสี พร้อมส่งหนังสือคืนให้ม้าเจ๊ก “สั่งการให้นำกรงนักโทษไปยังห้องโถงใหญ่ของข้า พวกเราทั้งหมดรีบไปชมดูกัน และตามเงียมหงัน เลียวฮัว มาด้วย”
ขงเบ้งระดมแต่พรรคพวกคนสนิทให้มาประชุมพร้อมกัน นั่นคงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสแล้ว ม้าเจ๊กเปิดอ่านหนังสือราชการจากเจียวอ้วน เขียนไว้เพียงไม่กี่คำ “พบท่านเตียวหุยถูกจองจำในที่คุมขังมานานหลายสิบปี แต่ดูเหมือนถูกทำร้ายสาหัสจนสติเลอะเลือน จดจำอะไรไม่ได้เลย”
ภายในห้องโถงใหญ่ในจวนขงเบ้ง ขงเบ้งนั่งบนเก้าอี้ล้อหมุนในตำแหน่งประธาน โดยมี เงียมหงัน เตงจี๋ เลียวฮัว เป็นฝ่ายบู๊ ม้าเจ๊ก เอียวหงี บิฮุย เป็นฝ่ายบุ๋น นั่งเรียงรายซ้ายขวาตามลำดับ และกรงนักโทษลึกลับถูกนำเข้ามาวางไว้กลางห้องพร้อมแล้ว
ม้าเจ๊กจึงส่งสัญญาณให้ทหารเปิดประตูกรงออก เป็นบุรุษสูงวัย ผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราดกครึ้ม หงอกขาวประปราย รูปกายผอมแห้ง เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเก่าขาดรุงรัง ถูกมัดมือไว้ข้างตัวด้วยเชือกหนังหนาแน่น ค่อยๆก้าวออกมาอย่างมึนงง พร้อมส่งเสียงอ้อแอ้ในลำคอ ท่าทางเหมือนคนบ้าวิปลาส แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยกันมานาน ทุกคนต่างก็เห็นเป็นเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำรามอย่างแน่นอน เพียงแต่รูปลักษณ์ที่แตกต่างไปมาก และดูสีผิวขาวซีดกว่าเดิม โดยเฉพาะส่วนใบหน้าที่ซูบตอบ
ม้าเจ๊กจ้องมองนักโทษประหลาดไม่วางสายตา จึงประสานมือทักทายมาแต่ไกล “คารวะท่านผู้อาวุโส ขอเรียนถามชื่อแซ่อันสูงส่ง”
นักโทษเตียวหุยมองหน้าคนร่วมห้องไปมา ดูงุนงงสงสัย คล้ายไม่รู้จักกันมาก่อน จนพบเห็นเลียวฮัว ค่อยทำเสียงอ้อแอ้ อ้าปากตอบโต้ เหมือนคนรู้จักกัน จนม้าเจ๊กสงสัย เดินเข้าไปตรวจดู ถึงกับสะดุ้งตกใจ ภายในช่องปาก กลับไม่มีลิ้นปรากฏ หรือว่า เตียวหุย ขุนพลฟ้าคำรามถูกทำร้ายจนเป็นบ้าใบ้ไปเสียแล้ว
พอฟังคำรายงาน ขงเบ้ง-จูกัดเหลียงยิ่งขมวดคิ้วแนบแน่นขึ้นกว่าเดิม ใครกันที่ทำร้ายขุนพลชื่อดังจนสาหัสเช่นนี้ มิน่าเล่า เจียวอ้วนจึงไม่กล้าเสี่ยงเปิดเผยตัวตนน้องสามออกไป แต่กลับยัดเยียดสถานะนักโทษ เพื่อเคลื่อนย้ายตัวเข้ามาถึงเมืองเสฉวนเป็นการลับ หวังให้ขงเบ้งจัดการสะสางเรื่องราวด้วยตัวเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ขงเบ้งสงสัยไม่วาย คือ สรีระร่างกายของเตียวหุยที่ดูเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่น้อย สายตาของขงเบ้งสามารถจดจำแยกแยะโครงสร้างของผู้คนได้อย่างแม่นยำมาโดยตลอด แต่บัดนี้ ทฤษฎีนั้นกลับกำลังถูกท้าทายด้วยรูปลักษณ์และตัวตนที่ขัดแย้งกัน จนทำให้มันเองก็ขาดความมั่นใจที่จะตัดสินใจใดๆในครั้งนี้ หรือว่า เป็นเพียงเตียวหุยตัวปลอมที่ผู้ไม่ประสงค์ดีส่งมาก่อกวน
ขณะที่ขงเบ้งจมอยู่กับความคิดนั่นเอง เตงจี๋สบตากันกับเงียมหงัน เลียวฮัว ภายในห้องนี้มีเพียงสามคนนี้ที่มีฝีมือต่อสู้พอตัว จึงนัดแนะกันหมายจะทดลองฝีมือของเตียวหุยผู้นี้ดูสักครา เห็นทั้งสามขยับตัวประกบหน้าหลัง เตงจี๋ ทดสอบด้วยการฟาดฝ่ามือไปกลางอก ในขณะที่เงียมหงัน เลียวฮัว อ้อมตัวไปกระแทกฝ่ามือใส่เตียวหุยจากด้านหลัง
กระบวนท่าหน้าหลังเช่นนี้ ถ้าเป็นเตียวหุยตัวจริง ก็สมควรรับมือได้โดยง่าย แต่นักโทษเตียวหุยกลับเซื่องซึม ปล่อยให้สามคนหกฝ่ามือกระแทกใส่จนกระอักเลือดออกมา ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่แสดงให้เห็นว่ามีวิชาฝีมือใดๆหลงเหลืออยู่เลย
ขงเบ้งได้แต่ทอดถอนใจ สั่งให้ทั้งสามหยุดมือ เอียวหงีจึงเอ่ยปากไต่ถาม “นายท่าน ขุนพลสามเป็นบ้าใบ้ สูญสิ้นพลังฝีมือไปเช่นนี้แล้ว สมควรจัดการเช่นไรดี”
ม้าเจ๊กผู้ชำนาญการเล่นข้อมูล จึงเสนอความเห็น “คนเสียสติไร้วิทยายุทธ์ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อขุมกำลังเรา ซ้ำยังกลับเป็นภาระให้เสื่อมเสียชื่อเสียงบารมี แต่หากคนผู้นี้อาศัยเงาร่างที่เกรียงไกร ตายไปอย่างมีเงื่อนงำ กลับจะเป็นคุณต่อเรามากกว่า”
ขงเบ้งสบตาม้าเจ๊ก กุนซือรุ่นน้องที่รับไว้เป็นลูกศิษย์ พลันคาดเดาความหมายได้ในทันที จึงเอ่ยปากชม “ถูกต้องแล้ว ม้าเจ๊ก ศิษย์เรา เจ้ากับเตงจี๋ เลียวฮัว จงไปจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้น และปล่อยข่าวคราวให้แพร่งพรายออกไปตรงตามที่เราต้องการ"
หลายวันต่อมา จึงมีข่าวคราวของขุนพลฟ้าคำราม เตียวหุยที่หายสาบสูญไปร่วมปี ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองลองจิ๋ว ส่งสารให้กับเจ้านครเล่าปี่ที่กำลังป่วยหนัก เพื่อขออนุญาตออกศึกตีเมืองเกงจิ๋ว แก้แค้นแทนพี่รองกวนอู
แต่แล้ว พอได้รับการอนุมัติ กลับร่ำลือกันต่อว่า เตียวหุยอยู่ในสภาวะโศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก ถึงกับกินเหล้าเมามาย สั่งโบยตีทหารใกล้ชิดไม่ไว้หน้า จนทำให้นายทหารสมัครใหม่ไม่พอใจ และลอบสังหารขุนพลชื่อก้องตายกลางดึก แล้วหลบหนีไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายกังตั๋งพร้อมศีรษะคนตาย สร้างความเจ็บช้ำเป็นระลอกสอง
ข่าวการตายอย่างกระทันหันของขุนพลสวรรค์คนที่สอง ย่อมก่อให้เกิดระลอกคลื่นการเมืองภายในเมืองเสฉวน บารมีของเล่าปี่ที่เคยมีสองพี่น้องคนเก่งเกื้อหนุนมาโดยตลอด ยิ่งลดด้อยถอยลง อีกทั้งการที่เล่าปี่ป่วยหนัก ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสถานะของตนเอง ในขณะที่ขงเบ้งกลับก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจ เริ่มฉายแววผู้นำขึ้นเทียบเคียง
แม้ว่า ขุนพลสวรรค์ยังมีถึงสามคน แต่สถานการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปยังรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คนที่จงรักภักดีต่อเล่าปี่อย่างจริงจังตั้งแต่เก่าก่อน เช่น ซุนเขียน อีเจี้ย กันหยง ทะยอยป่วยไข้ตายไปอย่างปริศนา ทำให้ ฮองตง อุยเอี๋ยน ตันเตา และขุนพลขุนนางสายต่างๆ เริ่มมีความกังวลใจ เกรงว่า จะเกิดการปฏิวัติยึดอำนาจจากท่านกุนซือใหญ่ผู้สำเร็จราชการ แต่ยังจนใจ ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรดี และไม่แน่ใจว่าใครเป็นพวกใครในช่วงเวลานี้ ทำให้ไม่อาจรวมตัวกันได้ชัดเจน
ส่วนขุนพลมีชื่อที่เปลี่ยนใจไปแล้ว อย่างเช่น ม้าเฉียว เงียมหงัน เตงจี๋ เลียวฮัว ต่างยังคงสงวนท่าที ไม่แสดงอาการใดๆโจ่งแจ้งเกินไป เพื่อรอคอยวันเวลาที่จะยึดอำนาจ และกำจัดขุนพลฝ่ายตรงข้ามที่เคยอยู่ข้างกายกันมาให้มั่นใจมากขึ้นเสียก่อน อย่างมาก จึงทำเพียงแค่ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาทความสำคัญ และจำนวนทหาร เสบียง และยุทโธปกรณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามกำกับดูแลลงไปให้ไม่ทันรู้สึกตัว
ยังมีกลุ่มตัวแปรสำคัญของการเมืองภายในเสฉวน นั่นคือ กลุ่มขุนนางเก่าซึ่งมีลิเงียม งอปั้น งออี้ เล่าป๋า เป็นอาทิ ผู้คนเหล่านี้ต่างเก็บตัวไม่สุงสิงกับฝ่ายเล่าปี่ หรือขงเบ้งมาตั้งแต่ต้น คล้ายสงวนท่าที ถวายความอาลัยและจงรักภักดีต่อเล่าเจี้ยงไม่เสื่อมคลาย
ฝ่ายโจโฉ ซุนกวน รับฟังข่าวคราวเช่นนี้ ย่อมคลายความกังวลใจลงบ้าง เมื่อเกิดความสูญเสียเช่นนี้ ก๊กเล่าปี่คงจะไม่กล้าก่อสงครามในช่วงเวลาอันสั้นนี้อย่างแน่นอน จึงสามารถทุ่มเทสมาธิจัดการกับการเมืองภายในแว่นแคว้นตนเองได้เช่นกัน ภาพการศึกสงครามระหว่างรัฐจึงน่าจะว่างเว้นลงไปได้สักระยะหนึ่ง
ย้อนกลับมาที่ นางแอ่นที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจื้อหวู่นอกเมือง รับทราบข่าวคราวการกลับมาของเตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม ที่เมืองลองจิ๋วเนิ่นช้าไปบ้าง แต่ก็เปี่ยมด้วยความสงสัยระคนตกใจ หากพวกหน่วยปักษาสวรรค์ยังดำเนินการอยู่ ก็อาจจะเป็นเพียงแผนการของใครสักคนหนึ่งในกลุ่ม แต่บัดนี้ ไม่มีหน่วยงานนั้นแล้ว การปรากฏตัวของเตียวหุยย่อมเป็นไปได้สองแนวทาง คือ เตียวหุยตัวปลอม ที่ขุมกำลังใดส่งมาก่อกวนสถานการณ์ หรือ เตียวหุยตัวจริง ที่บังเอิญถูกค้นพบแล้ว
นางนึกถึงอดีตหลายสิบปีก่อน ตอนที่ลอบแฝงตัวเป็นสาวรับใช้ ศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของเตียวหุย ดาวร่ำรวยแห่งพรรคฟ้าเหลือง ทำให้ค้นพบว่า เบื้องหลังของตัวละครตัวนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เปลือกนอก เป็นเพียงพ่อค้าหนุ่มมีฐานะ แต่ที่จริงคือสายลับของโจรโพกผ้าเหลือง ที่เกาะกุมความลับสำคัญของพรรคเอาไว้ด้วย (แต่ครั้งนั้น นางแอ่นไม่รู้ว่า เตียวหุยเป็นถึงลูกเลี้ยงของเตียวก๊ก ไม่ใช่เพียงลูกสมุนธรรมดา)
เมื่อถึงเวลาสวมหน้ากากพิสดารเข้าแทนที่ตัวจริง นางจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้ความลับหายไปจากโลกนี้เสียทีเดียว แทนที่จะลบความทรงจำทั้งหมด หรือ สังหารทิ้งอย่างที่ควรจะเป็น นางจึงหยุดเพียงแค่ตัดลิ้น สะกดความทรงจำ และทำลายวิทยายุทธ์ให้หมดสิ้นพิษสง แล้วสวมใส่หน้ากากคนธรรมดาปกปิดหน้าตาที่แท้จริงเอาไว้ ทำให้คหบดีเตียวหุยกลายเป็นคนทั่วไปที่บ้าใบ้ และให้คนสนิทส่งตัวให้ไปอยู่ในคุกมืดเมืองฮันต๋งที่รู้อยู่แล้วว่าจะปลอดภัยต่อการทำสงครามชิงแผ่นดินไปอีกหลายสิบปี
หมายเหตุ ในจุดนี้ การฝากขังลืมเตียวหุยนั้น อาจจะถูกเตียวล่อจับพิรุธได้ หากแต่เตียวล่อก็คือหัวขวานที่ย้อนกลับไปในอดีต มันจึงช่วยกลบเกลื่อน และร่วมมือขังลืมให้กับนางแอ่นด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความลับ ความบังเอิญทีี่หัวขวานย้อนเวลาไปอยู่ถูกที่ถูกเวลา
พอผ่านกาลเวลาและเหตุการณ์วุ่นวายมานานเป็นสิบๆปี มันเองก็ลืมเลือนเรื่องราวของเตียวหุยตัวจริงไปเสียหมดสิ้น เป็นไปได้ว่า หน้ากากพิสดารขาดการดูแลซ่อมแซมอาจจะเสียหายฉีกขาดไปแล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของเตียวหุยจึงปรากฏ แต่ก็ยังคงเป็นนักโทษขังลืม ไม่มีใครใส่ใจเท่าใดนัก จนกระทั่งเมืองฮันต๋งแตก เตียวล่อตาย ตามเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมืองฮันต๋งกลับมาเป็นของฝ่ายเล่าปี่ อาจจะมีคนไปพบตัวนักโทษที่หน้าตาคล้ายคลึงกันกับเตียวหุยเข้า และนำตัวออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งหนึ่ง
นางแอ่นจึงต้องการเข้าไปสืบดูให้รู้ความจริง ถึงกับลอบติดตามเข้าไปถึงกระโจมที่พักนายทหารช่วงระดมพลเตรียมออกศึกในยามค่ำคืน พอดีพบเห็นม้าเจ๊ก เตงจี๋ เลียวฮัว คนสนิทฝ่ายขงเบ้ง ร่วมมือกันลอบสังหารเตียวหุยผู้น่าสงสารตาย และตัดหัวมอบให้สองนายทหารหน้าใหม่ สั่งกำชับให้นำไปสวามิภักดิ์ต่อซุนกวน หวังจะจุดชนวนแค้นระหว่างเล่าปี่กับซุนกวนเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
หากเกิดศึกสงครามใหญ่โตกันในเวลานี้แล้ว ขงเบ้ง-จูกัดเหลียง คงฉวยโอกาสกำจัดคนที่ไม่เข้าพวกทั้งหลาย และยึดอำนาจจากเล่าปี่ที่ล้มป่วยอยู่ บางที จูกัดกิ๋น พี่ชายที่อยู่ด้านกังตั๋ง และจูกัดจิ๋น ประมุขหุบเขามังกรซ่อน ก็อาจจะมีจังหวะสำคัญทางการเมืองด้วยอีกทางหนึ่ง พอเล่าปี่ ซุนกวน เสื่อมถอยกำลัง พวกจูกัดก็จะเข้าแทนที่ครอบครองทั้งสองแคว้นในทันที มันจึงได้แต่ขัดขวางแผนการในครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ
นางแอ่นทบทวนดูสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เริ่มสงสัยว่า ตัวเองและสามีจะลอยตัวอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร หรือว่า ถึงเวลาที่ จูล่ง ขุนพลท่องเมฆา ควรจะกลับไปค้ำจุนบัลลังก์ให้กับเล่าปี่เสียที แต่อาการคลุ้มคลั่งของจูล่งยังไม่ทันหายดี และตัวนางกับลูกสาวทั้งสองจะกลับเข้าไปอยู่ในฐานะเช่นไร
คนที่รู้สึกลำบากใจที่สุดในยามนี้อีกคนหนึ่ง กลับกลายเป็นนางฮองเย่อิง ภรรยาสุดที่รักของขงเบ้ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของฮองตง เพราะรับรู้ว่า คนที่รักทั้งสองกำลังจะเดินทางมาถึงจุดแตกหักกันคนละขั้วการเมืองเสียแล้ว นอกเสียจากจะมีใครชักจูงให้ลุงของตนเองเปลี่ยนใจได้ ก่อนที่การสูญเสียจะเกิดขึ้น
แม้ว่านางจะไม่ได้สนิทสนมผูกพันกับลุงคนนี้ และเพ่ิงรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็มีความรู้สึกผิดต่อญาติอาวุโสที่พ่อแม่ของตนเคยก่อกรรมเอาไว้ในอดีต หากมีทางใดพอช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้ท่านได้บ้าง นางก็ยินยอมพร้อมใจจะยื่นมือเข้าจัดการให้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางอาสาขงเบ้ง ขอเดินทางมายังเมืองฮันต๋ง เพื่อเกลี้ยกล่อมฮองตงด้วยตนเอง ซึ่งขงเบ้ง-จูกัดเหลียงย่อมจะยินดีที่ได้ลดศัตรูเพิ่มสหาย และมอบหมายให้เงียมหงันช่วยเป็นผู้พิทักษ์ติดตามขบวนเกี้ยวมาด้วย ในฐานะที่รู้จักคุ้นเคยกันกับฮองตงมานาน แต่เหมือนเป็นโชคชะตาที่ขบวนของนางฮองเย่อิง และเงียมหงันเดินทางมาถึงบ้านพักของฮองตงในจังหวะที่เกิดความพลิกผันพอดี
เป็นเวลาใกล้สนธยา แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันกำลังส่องเข้ามาจากภายนอกอย่างแรงกล้า ฮองเย่อิงให้ทหารส่งข่าวมาแจ้งกำหนดการเดินทางไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ฮองตงจึงนั่งรอคอยหลานสาวอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ตามลำพัง รับรู้ว่าผู้มามีเรื่องสำคัญ จึงขับไล่คนนอกให้ไปห่างไกลพื้นที่ เพื่อป้องกันความลับรั่วไหล
กลับมีอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าห้องโถงใหญ่ เป็นผู้เฒ่าในชุดนักสู้รัดกุมสองคน พร้อมอาวุธคู่มือ ท่าทางทรนง องอาจราวกับนักรบมากประสบการณ์ ยืนขวางลำแสง จนเงาร่างทอดยาวไปถึงตัวฮองตงแล้ว
สัญชาตญาณของผู้เฒ่าฮองตงตระหนักถึงความรู้สึกที่ไม่เป็นมิตรของคนทั้งสองเบื้องหน้า ในใจนึกมานะถือดี จึงไม่ตะโกนเรียกผู้คนมาช่วยเหลือ ความคิดแรก พลันนึกถึงคำเล่าขานเกี่ยวกับเมธีพิณสังหาร และนักรบทวนแกร่ง ที่ปั่นป่วนแถบเมืองเกงจิ๋วเมื่อไม่นานมานี้ แต่มองดูฝ่ายตรงข้ามไม่มีพิณหรือทวนติดตัวมา จึงตัดประเด็นนั้นทิ้งไปได้
ยิ่งผู้เฒ่าทั้งสองเดินย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้า จนสุดท้าย กลับเป็นฮองตงเองที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป แดงฉานด้วยโทสะ หรือ ความละอายแก่ใจ จนฝ่ามือเกร็งแข็ง กดที่ท้าวแขนแนบแน่น เห็นเส้นเลือดปูดโปนออกมา แสดงถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านใจ
“เป็นเจ้าจริงๆด้วย หลายสิบปีมานี้ พวกเราเฝ้าตามหาเจ้าทุกวี่วัน นึกไม่ถึง เจ้ากลับเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนตัวตนอยู่ในจุดที่ผู้คนไม่สนใจเช่นนี้นี่เอง ที่จริง เมืองต๋องง่อที่เราอยู่อาศัย กับเมืองที่เจ้าซ่อนตัวนั้น ก็มิได้ห่างไกลกันมากเท่าไหร่นัก แต่เพราะต่างฝ่ายต่างเก็บตัวปลีกวิเวก จึงกลับไม่เจอกันสักที โชคดีวันนี้ ฟ้าดินเป็นพยาน ความแค้นที่รอการชำระมานาน จะได้เวลาสิ้นสุดลงแล้ว” ผู้เฒ่าคนท้วมกว่า กล่าว
“นั่นต้องตำหนิลูกศิษย์ของเจ้าที่แสดงฝีมือเกาทัณฑ์พิสดารที่ใจกลางเมืองเกงจิ๋วอย่างโจ่งแจ้ง กระตุ้นให้พวกเราสังเกตพบร่องรอยของเจ้าได้ วิธีการยิงแบบเกาทัณฑ์เงาสะท้อน หรือเกาทัณฑ์คู่สุริยันในอดีต ทำให้พวกเรารู้ว่า มือสังหารที่มาจากเสฉวน เรียนรู้วิชามาจากเจ้า และหลังจากการวิเคราะห์สืบค้นแล้ว คนที่เข้าข่ายน่าสงสัยที่สุด คือ ขุนพลเฒ่าที่ชอบเก็บตัว ไม่ยอมเปิดเผยฝีมือมานาน เจ้าของฉายา จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ เฮอะ ใครจะนึกถึงเล่า ที่แท้ ขุนพลฮองตงแห่งฮันต๋ง ขุนพลยิงตะวันผู้เลื่องชื่อ ก็คือ ฮองฮูสง หนึ่งในยอดขุนพลราชวงศ์ฮั่นที่หายสาบสูญไป และเป็นคนทรยศที่ขายสหายร่วมตาย ขายพวกพ้อง ให้กับพวกขันทีทั้งสิบ”
อดีตอันขื่นขมระทมใจอีกส่วนเสี้ยวชีวิตในวัยหนุ่ม กำลังกลับมาหลอกหลอนผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าปี ฮองตง ขุนพลยิงตะวัน อีกเรื่องราวหนึ่งแล้วกระมัง จึงเห็นฮองตงที่ปกติพูดจาโผงผาง ไม่ไว้หน้าผู้คน กลับนิ่งงันราวกับถูกมนต์สะกดไว้
เงาร่างของผู้เฒ่าทั้งสองทอดยาวไปตามลานกว้าง ยิ่งมา ย่ิงขยายใหญ่ สวนทางกันกับเงาร่างของฮองตงที่คล้ายหดเล็กลงทุกทีๆ ภาพเงาที่สวนทางกันสร้างความกดดันอย่างแปลกประหลาด จนดูน่าเป็นห่วงขุนพลชราขึ้นบ้างแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา