Economies of scale และ DisEconomies of scale ที่มา toptipfinance.com
3. ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (Switching Cost)
เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าย้ายไปใช้สินค้าหรือบริการของคู่แข่งได้ยาก เพราะว่ามีต้นทุน หรือมีความยุ่งยากในการเปลี่ยนมาก เช่น Apple ที่มีระบบนิเวศของตัวเอง หากคนใช้ Apple จู่ๆ จะเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออื่น ก็ทำได้ยากเพราะว่าข้อมูลทุกอย่างฝากอยู่ใน iCloud และใน iTunes เป็นต้นครับ
หรืออีกตัวอย่างจากบริษัทที่เป็นเจ้าของระบบซอฟต์แวร์อย่าง SAP ก็มีป้อมปราการตัวนี้เพราะต้องติดตั้งและเชื่อมโยงระบบ หรืออาจจะต้องปรับตัวระบบให้เหมาะสมกับบริษัท ต้องฝึกอบรมให้คนใช้งานระบบ และทดลองใช้จนกระทั่งทุกอย่างเข้าที่ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา และเงินลงทุนในการปรับระบบให้เข้ากัน
แต่ตอนนี้มีบริษัท Salesforce ที่เป็นบริษัทให้บริการ CRM (Customer relationship management) แบบ SaaS (Software - as - a - Service ) ที่ให้บริการคล้าย SAP แต่ว่าช่วยให้บริษัทสะดวกในการใช้งานและประหยัดต้นทุนทางด้าน IT ไปได้อย่างมาก ทำให้ป้อมปราการของบริษัทอย่าง SAP ลดลงอย่างมาก (อันนี้แสดงให้เห็นว่าป้อมปราการสามารถสร้างให้มากขึ้นหรือว่าลดลงได้เช่นกัน ดังนั้นบริษัทที่มีป้อมปราการแข็งแกร่งอาจจะสามารถรักษาการทำกำไรอย่างงดงามได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น)
หรือกล่าวได้ว่าเป็นความได้เปรียบจากการรวบรวมข้อมูลลูกค้าในรูปแบบ Big Data และนำมาวิเคราะห์ทำ Model สร้างเป็นระบบที่ทำงานตอบสนองกับลูกค้าอย่างอัตโนมัติด้วย AI (Artificial Intelligence) ที่นอกจากจะทำให้สามารถทราบว่าลูกค้าแต่ละคนต้องการอะไรแล้ว ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์การทำงานภายในบริษัทและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย
นั่นเป็นสาเหตุให้บริษัทที่เริ่มต้นการสะสมข้อมูลของลูกค้าก่อนยิ่งมี AI ที่เก่งกว่าและยิ่งสามารถดึงดูดลูกค้าให้ใช้บริการของบริษัทได้ดีกว่าบริษัทที่เพิ่งทำการเก็บข้อมูลลูกค้าทีหลัง ความได้เปรียบนี้อาจจะเรียกว่า First Mover ก็ได้ คือ ใครเริ่มก่อนยิ่งได้เปรียบและจะยิ่งมีความได้เปรียบที่ทิ้งห่างคนที่เข้ามาทีหลังอย่างมากอีกด้วย