24 ส.ค. 2021 เวลา 04:59 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 15
"Do you believe in True Love?"
Good bye Hanoi / Hello Hue & Stephan
14 มีนาคม 2545
Good bye Hanoi
เก็บกระเป๋าจากที่พักเอาไปฝากไว้ที่ Romantic แล้วออกไปเดินท่องเมืองเก่าที่รักเพื่อส่งท้าย คราวนี้ได้ลองกินข้าวเกรียบปากหม้อแล้ว
น้องสาวหาบเร่ ตั้งหม้อตั้งเตาควันหอมฉุย เช้านี้ลูกค้าไม่มากนัก ฉันสั่งชุดเล็กมาทดลองก่อน 4 ชิ้นราคาสี่พันด็อง ก็ตกสามบาทนิด ๆ แป้งบางและนุ่ม ไส้เป็นหมูสับผัดกับหอมใหญ่ น้ำจิ้มรสเดียวกับน้ำจิ้มเต้าหู้ทอดที่กินเมื่อวาน สรุปฉันอุดหนุนน้องสาวไปสามชุด สิบสองชิ้นถือเป็นการเริ่มต้นได้ดีในมื้อเช้า
เดินต่อไปอีกหน่อยเจอร้านข้าวตามสั่ง ฉันเดินไปหาน้องเจ้าของร้านและชี้ไปที่จานข้าวของผู้ชายที่นั่งกินอยู่แล้ว แป๊บเดียวก็ได้ข้าวผัดควันฉุยมาหนึ่งจาน ด้านบนโรยหอมเจียว ตัวข้าวผัดมีผักดองและหมูยอ รสชาติอร่อยกว่าหน้าตามากทีเดียว
จากนั้นก็วนกลับไปที่โซนเสื้อผ้าไหม พบกับเจ๊คนเดิมซึ่งยังจำฉันได้อยู่และดีใจมาก เข้ามาลูบเนื้อลูบตัวอยู่สักพัก ฉันชวนคุยเรื่อยเปื่อยและยื่นแสตมป์ให้ บอกขอโทษที่มีลายไม่สวยนัก เพราะดวงพวกนี้ฉันเลือกขนาดเล็กเอาไว้ติดโปสการ์ด ถ้าดวงใหญ่ไปจะเหลือเนื้อที่เขียนไม่มาก
เจ๊ถามว่าฉันชอบเขียนเหรอ ฉันก็เลยหยิบสมุดบันทีกที่จดตั้งแต่เริ่มเดินทางมาให้ดู ตัวหนังสือเล็กละเอียดไต่กันยาวพรืดทุกหน้า เป็นคำตอบให้กับเจ๊โดยไม่ต้องอธิบายอะไร
พี่สันต์ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์มาถึง Romantic ในเวลาเกือบบ่ายสาม ตัวฉันนั้นเพิ่งจากบ้านเกิดเมืองนอนมาได้ยังไม่ถึงเดือนดี รู้สึกแปลกใจตัวเองมาก ที่การได้เห็นหน้าพี่สันต์แค่นี้ทำไมฉันถึงดีใจ ตื้นตันใจนักก็ไม่รู้ มีเรื่องเล่ามีเรื่องอยากรายงานล้านแปดเรื่อง
แต่ก่อนอื่นก็พาพี่สันต์เข้าที่พักก่อน แล้วจากนั้นเราก็พากันไปที่ทะเลสาบ เดินพูดเดินคุยอย่างตายอดตายอยากด้วยภาษาไทย และฉันจองตำแหน่งผู้นำการสนทนาอยู่เพียงผู้เดียว โดยใช้สิทธิผู้มาถึงก่อน ผจญภัยก่อน ย่อมมีเรื่องอยากเล่ามากกว่าผู้ที่เพิ่งมาถึงแน่นอน
ฉันเล่าถึงเหตุการณ์ระหว่างทาง ผู้คนที่เจอ ผู้ชายที่ชอบ สถานที่ ๆ น่าประทับใจ โดยไม่สนใจว่าพี่สันต์จะอยากฟังหรือไม่ พี่สันต์เป็นคนวางแผนให้ฉันมาเที่ยวลาวเที่ยวเวียดนามเองนี่นา ก็ต้องรับผิดชอบด้วยการฟังฉันพร่ำพรรณา ความประทับใจมากมายที่แทบจะแย่งออกมาจากปากฉัน อาจจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปบ้าง แต่พี่สันต์ก็ยังยิ้มฟังฉันอย่างใจดีเช่นเคย
ฉันอำลาพี่สันต์ตอนเวลาสองทุ่ม มีรถมอเตอร์ไซด์มารับเพื่อไปส่งยังจุดจอดรถหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง และนี่คือประสบการณ์อีกอย่างที่ฉันน่าจะลืมยากสักหน่อย จากที่เคยต้องเป็นคนข้ามบนถนนที่มีรถบีบแตรเสียงดังระงม และการขับขี่สวิงสวายของเหล่าสองล้อมากมาย
ตอนนี้ฉันได้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่สวิงสวายแล้ว แม้จะแค่ซ้อนท้ายก็ตาม ตั้งแต่ขึ้นซ้อนไปจนถึงที่หมาย น้องคนขับไม่เคยชะลอรถแม้แต่น้อย ขับด้วยความเร็วมากแต่คงที่ การบีบแตรที่ไม่เคยปล่อยให้เงียบนาน การหลบหลีกทั้งคนข้ามถนน ทั้งรถจักรยาน หรือทางแยก ทำเอาฉันใจสั่นขวัญบิน นี่คือการปิดท้ายฮานอยที่สมบูรณ์ที่สุด ฉันถือว่าฉันคลุกวงในเมืองฮานอยเรียบร้อยแล้ว
1
รถบัสขนาดใหญ่จอดอยู่ตรงหน้า ทำเอาฉันอยากฉีกตั๋วทิ้งเดี๋ยวนั้นเลย สภาพที่เก่ามาก เบาะที่นุ่มจนยวบและเอนไม่ได้ ฉันต้องอาศัยไปกับมันจนถึงเมืองเว้ตอนสิบโมงเช้า กินระยะเวลาข้ามคืนถึงสิบสามสิบสี่ชั่วโมงเชียวนะ เอาล่ะ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว ฉันก็หยิบยาแก้เมารถขึ้นมากินเตรียมเสียแต่เนิ่น ๆ
ที่นั่งที่ได้เป็นเบาะคู่แรกหลังคนขับ ส่วนคนที่นั่งข้าง ๆ เป็นชายร่างใหญ่ผมดำ เขาขึ้นมาตอนที่รถปิดไฟมืดหมดแล้ว ฉันเลยเห็นหน้าไม่ชัด เดาไม่ได้ว่าเป็นคนจากชาติใดอายุเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าไม่มีความประทับใจแรกพบให้กับเขาแม้แต่น้อย เพราะนอกจากตัวใหญ่ที่เบียดกินที่เข้ามาที่ฉันแล้ว ยังพลิกตัวบ่อยและใช้ศอกกระแทกฉันตลอดคืน โชคดีว่าฉันครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยฤทธิ์ยา ไม่อย่างนั้นคงทรมานยิ่งกว่านี้
15 มีนาคม 2545
Hue และ Stephan
ฉันรู้สึกตัวตื่นตอนที่รถจอดสงบนิ่ง มองไปด้านนอกไม่ใช่ร้านค้าและไม่ใช่เมืองใด ๆ สองข้างทางรกร้างว่างเปล่า พี่ฝรั่งข้าง ๆ เห็นฉันตื่นแล้วก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่เมื่อคืนสร้างความลำบากให้ฉันมาก อ้อ!! รู้ตัวด้วยเหรอพี่
พี่ Antonio-อันโตนิโอ้ เป็นชาวอิตาลี ที่ตอนนี้ฉันเพิ่งเห็นว่าหล่อมาก รูปร่างท้วมสูงใหญ่แต่ก็ไม่ได้อ้วนเทอะทะ พูดจาสุภาพดีงาม เมื่อรู้ว่าฉันเป็นคนไทย ก็ดีใจมาก บอกว่าเมื่อเที่ยวเวียดนามเสร็จจะไปเที่ยวประเทศไทยต่อ ขออีเมล์ฉันได้มั้ยเผื่อฉุกเฉินอะไรจะได้อุ่นใจว่ามีคนรู้จัก เราเลยแลกอีเมล์กัน
ตอนนี้รถของเราเสีย และคนขับกับผู้ช่วยกำลังหาทางซ่อมอยู่ ที่จริงก็จอดซ่อมกันมาตลอดคืน แต่ฉันไม่รู้เรื่อง สักพักรถก็เคลื่อนตัว แต่ไปได้แค่ประมาณสามสิบนาทีก็จอดอีกครั้ง โชคดีว่าครั้งนี้จอดบริเวณที่มีร้านค้า ร้านอาหารชาวบ้าน ทำให้ผู้โดยสารทุกคนได้ลงไปยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำและหาอะไรกิน
ฉัน อันโตนิโอ้ และผู้โดยสารบางคนจับกลุ่มพูดคุยกันจนไม่มีเรื่องจะคุยกันแล้ว เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง พี่คนขับก็แจ้งข่าวดีกับเราว่า รถซ่อมไม่ได้จริง ๆ เดี๋ยวจะหาทางให้พวกเราเดินทางไปต่อจนถึงเว้ให้ได้ เรารอกันต่ออีกครึ่งชั่วโมงก็มีรถบัสที่สภาพไม่ได้ดีกว่าคันที่เสียมาจอด ที่เลวร้ายก็คือ เป็นรถโดยสารของคนท้องถิ่นที่มีคนอยู่ครึ่งคันรถ แล้วพวกเราชาวแบกเป้จะสามารถพากันขึ้นไปบนรถคันนี้กันหมดทุกคนได้ยังไง
พี่คนขับบอกว่าให้พวกเราเบียดกันไปก่อน หรือถ้าที่นั่งไม่พอก็นั่ง ๆ บนพื้นไปก่อน เดี๋ยวคนที่นั่ง ๆ กันอยู่นี่ก็ลงกันหมดแล้ว ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่ในนาทีนี้มีอะไรใกล้มือก็ต้องคว้าเอาไว้ ต่างก็ไม่อยากถูกทิ้งไว้ที่นี่ ก็พากันเบียดเสียดอยู่บนรถไปสักพัก พี่ ๆ คนเวียดนามก็ทยอยลงไปเรื่อย ๆ จนเกือบหมดจริง ๆ แล้วพวกเราก็มีที่นั่งกันทุกคน
ฉันนึกขึ้นได้ว่านัดสเตฟานไว้ ที่คุยกันคือฉันจะไปถึงสิบโมงเช้า จองที่พักและส่งข่าวทางเมล์ ส่วนเขาจะมาถึงบ่ายสอง จะไปเช็คเมล์แล้วตามไปยังที่พัก แต่ตอนนี้แผนล่มซะแล้ว ยังไงฉันก็ไปถึงหลังสิบโมงแน่นอน และก็อาจจะหลังบ่ายสองด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันก็คิดว่าสเตฟานน่าจะฉลาดมากพอที่จะหาที่พักและทิ้งข่าวบอกกับฉันทางอีเมล์
รถบัสคันนี้ไม่มีแอร์ และอากาศเริ่มร้อนกันทุกขณะ ทุกคนมีสภาพอ่อนเพลีย รอยยิ้มที่มีให้กันเริ่มแห้งแล้ง พี่อันโตนิโอ้พลัดไปนั่งตรงไหนฉันก็ไม่ทันได้มอง ตอนนี้เป็นลุงชาวออสเตรเลียที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉันแบ่งส้มให้ลุงกิน สักพักก็แบ่งกล้วย แล้วพอฉันจะยื่นแอปเปิ้ลให้ ลุงก็ถามว่าฉันหิวมากเหรอ
ถึงตอนนั้นเองฉันถึงรู้สึกตัวว่าคงกังวลเรื่องที่ผิดนัดกับสเตฟานแล้วอาจจะทำให้คลาดกัน ฉันเล่าให้ลุงฟังว่านัดเพื่อนไว้ที่เว้ตอนสิบโมง แต่ตอนนี้เลยเวลานัดมาห้าชั่วโมงแล้ว ฉันเกรงว่าเพื่อนจะเข้าใจผิดว่าฉันไม่มาแล้ว ลุงนิ่งไปพักนึงแล้วก็ตอบว่า ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ คิดไปก็ไม่รู้หรอก แต่เดี๋ยวอีกชั่วโมงสองชั่วโมงข้างหน้านี้จะได้รู้แน่
ในที่สุดก็ถึงเมืองเว้เวลาสี่โมงกว่า ๆ รถจอดหน้าร้านอินเตอร์เนตพอดี ฉันพุ่งตรงเข้าไปขอเช็คอีเมล์เป็นอย่างแรก พอได้อ่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สเตฟานมาถึงตามเวลา รอฉันอยู่สองชั่วโมง แต่เนื่องจากนั่งรถมายี่สิบชั่วโมงตอนนี้เหนื่อยมาก ขอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้จะมาเช็คอีเมล์อีกครั้ง และลงท้ายด้วยชื่อโรงแรมและเบอร์ห้อง 302
โอเค ฉันแบกเป้ขึ้นหลังถามทางไปโรงแรมจากน้องที่ร้านเน็ท ระหว่างเดิน ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่า ฉันจะจำหน้าสเตฟานได้มั้ย เพราะถึงแม้จะคุยกันทางอีเมล์จนเหมือนสนิทกันแล้ว แต่ในความเป็นจริงเคยได้เจอหน้ากันแค่วันเดียว
มาถึงโรงแรมเดินขึ้นไปบนห้อง 302 เคาะประตูแต่ไม่มีใครมาเปิด ตอนเองนี้ความเหนื่อยล้าที่กดเอาไว้ก็เริ่มระเบิดออกมา ฉันอยากทุ่มตัวลงกับพื้น กรีดร้อง และเขวี้ยงเป้ทิ้งลงไปที่ระเบียง นี่เป็นวันอะไรกันเนี่ย!!! แล้วสเตฟานมันไปไหน เอ๊ะ หรือฉันจำผิด หรือมันไม่ใช่ห้อง 302 แต่เป็น 203
ความอ่อนเพลีย ทำฉันเป็นบ้าไร้สติ และเมื่อคิดว่าต้องแบกเป้เดินกลับลงไปถามรีเซฟชั่น ก็อดด่าตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมไม่ถามตั้งแต่แรก ก่อนจะแบกเป้ขึ้นมาตั้งสามชั้น
เมื่อมาถึงรีเซฟชั่น ฉันขอให้เช็คห้อง 302 ให้หน่อยว่าใช่เพื่อนที่ฉันรอหรือไม่ น้องสาวเจ้าหน้าที่บอกว่าเช็คให้ไม่ได้หรอก เพราะเธอไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เธอมาเฝ้าเคาน์เตอร์ให้เฉย ๆ เจ้าหน้าที่ตัวจริงออกไปธุระเดี๋ยวกลับมา ให้ฉันรอก่อน
ตอนนี้ขีดพลังชีวิตฉันใกล้จะหมดเต็มที อยากทิ้งตัวลงนอนอยู่ที่พื้น และหลับไปสักสิบปี หรือไม่ก็กรีดร้องให้ดังไปถึงดาวอังคาร ให้สมกับความยากวุ่นวายของวันนี้ สูดหายใจยาวครั้งหนึ่งก็ยกเป้ขึ้นหลัง ตั้งใจว่าจะเดินกลับไปที่ร้านอินเตอร์เนต เพื่อเช็คให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันห้องอะไรกันแน่
แต่เมื่อหันหลังกลับมา ก็ได้พบกับผู้ชายเสื้อสีเทาคนหนึ่ง ส่งยิ้มกว้างไปหมดทั้งหน้าเดินตรงเข้ามา ใช่แล้วรอยยิ้มนี้ ไม่ผิดแน่ นี่คือหนุ่มชาวสวิสที่ชื่อสเตฟานที่ฉันเคยเจอที่ปายแน่นอน ฉันทิ้งเป้แล้วก็พุ่งเข้าไปกอดด้วยความดีใจ ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานของวันนี้ก็สิ้นสุดเสียที ฉันได้เจอเพื่อนแล้ว
เมื่อต่างฝ่ายต่างอาบน้ำเรียบร้อย ก็มาแย่งกันเล่าเรื่องระหว่างทางให้กันฟัง แย่งรื้อของมาอวดมากมาย จู่ ๆ สเตฟานก็หยุดพูดซะดื้อ ๆ แล้วก็มองหน้าฉันนิ่ง ๆ ฉันยังไม่ทันถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็โน้มมาจูบฉันนิ่มนวล ทั้ง ๆ ที่ยังสงสัยฉันก็จูบตอบเขาไปเสียด้วย
2
เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนสิ!
นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้ว!
1
เมื่อสเตฟานเห็นท่าทางที่แปลกใจของฉัน ก็หน้าเสีย เริ่มละล่ำละลักขอโทษ ฉันเอ็นดูกับท่าทางอันนั้นก็หัวเราะตอบไปว่า ฉันแค่ไม่ทันตั้งตัวน่ะ ว่าแต่จูบเมื่อกี๊มันอะไรกัน
สเตฟานหัวเราะเก้อ ๆ แต่ก็ทำหน้าจริงจัง เขาบอกว่าชอบฉัน ชอบทุกอย่างที่เป็นฉัน ชอบตั้งแต่วันแรกที่เจอเลย คิดถึงฉันตลอดเวลาตั้งแต่แยกกันที่ปาย การได้ส่งอีเมล์พูดคุยกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายิ่งทำให้เขาชอบฉันมากขึ้นไปอีก แล้วพอมาได้เจอกันวันนี้ “You are even more attractive than before”
1
บอกตามตรง ไม่เคยเจอใครสารภาพอะไรจริงจัง จริงใจ แบบไร้ฟอร์มแบบนี้มาก่อนเลย
ฟังคำสารภาพของเขาเสร็จ ฉันก็ได้แต่ยิ้มปลื้ม แล้วชวนไปกินข้าว ฉันบอกว่าวันนี้ทั้งวันไม่ได้กินอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย สเตฟานทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นฉันตัดจบบทโรแมนติกอย่างง่ายดาย ฉันดึงบรรยากาศให้กลับมาสบาย ๆ อีกครั้งด้วยการบอกว่า it was not a bad kiss anyway. ก่อนจะเดินนำออกประตูไป
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-Book นะคะ👇
โฆษณา