25 ส.ค. 2021 เวลา 02:51 • หนังสือ
#63 เล่ม 3 บทที่ 13 หน้า 311 — 317
...
เพราะความอยู่รอดของตัวเองไม่ใช่ประเด็นสำคัญในสังคมที่ตื่นรู้แล้ว สังคมเหล่านั้นจะไม่ยอมให้สมาชิกในสังคมคนใดต้องทุกข์ทรมานจากความอดอยากถ้าหากมีทรัพยากรมากพอสำหรับทุกคน ในสังคมเหล่านี้ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมนั้นไม่ต่างกัน
ไม่มีสังคมไหนที่สร้างขึ้นบนฐานของมายาคติว่าด้วย “ความชั่วร้ายโดยธรรมชาติ” หรือ “ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอด” จะเข้าใจเรื่องนี้
...
...
...
N : ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ และประเด็นเรื่อง “มายาคติทางวัฒนธรรม” นี้ผมอยากจะลงรายละเอียดให้มากกว่านี้อีก รวมถึงเรื่องพฤติกรรมและจริยธรรมของอารยธรรมที่เจริญแล้วด้วยในภายหลัง แต่ตอนนี้ผมขอย้อนกลับไปอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการย้อนกลับไปเป็นครั้งสุดท้ายสู่ปัญหาที่ผมได้เปิดประเด็นไว้
และความท้าทายอย่างหนึ่งเวลาคุยกับพระองค์ก็คือ คำตอบของพระองค์มักพาเราไปในทิศทางที่น่าสนใจจนบางทีก็ทำให้ผมลืมคำถามเริ่มแรกไป แต่เรื่องนี้ผมยังไม่ลืม เราคุยกันเรื่องการแต่งงาน กำลังคุยกันเรื่องความรักและข้อกำหนดหรือข้อเรียกร้องของมัน
G : 💖รักไม่มีข้อเรียกร้องและข้อกำหนดอะไรทั้งนั้น — นั่นล่ะที่ทำให้มันเป็นรัก💖
ถ้าความรักที่เธอมีให้ใครบางคนมีข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขพ่วงมาด้วยแล้วล่ะก็ นั่นไม่ใช่ความรักหรอก 💢แต่เป็นแค่การเสแสร้งแกล้งทำ💢
นี่คือเรื่องที่ฉันพยายามบอกเธออยู่ตรงนี้ เป็นเรื่องที่ฉันเฝ้าบอกในสารพัดรูปแบบ กับทุกคำถามที่เธอถามฉันในเรื่องนี้
เช่นในบริบทของการแต่งงานที่มีการแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณหรือคำสาบาน 🔸ซึ่งรักจะไม่มีวันเรียกร้องอะไรแบบนั้น🔸
ทว่าพวกเธอกลับเรียกร้องมัน เป็นเพราะพวกเธอไม่รู้ว่ารักคืออะไร พวกเธอจึงให้อีกฝ่ายสัญญาในสิ่งที่ ‘รักไม่มีวันเรียกร้อง’
N : เห็นเลยว่าพระองค์ต่อต้านการแต่งงาน❗
G : ฉันไม่ “ต่อต้าน” อะไรทั้งนั้น ฉันแค่อธิบายในสิ่งที่เห็น
เธอสามารถ ‘เปลี่ยน’ สิ่งที่ฉันเห็นได้ พวกเธอสามารถเปลี่ยนประดิษฐกรรมทางสังคมที่เรียกว่า “การแต่งงาน” นี้ได้ เพื่อที่มันจะไม่ร้องขอในสิ่งที่รักไม่เคยร้องขอ แต่เป็นการประกาศถึง ‘สิ่งที่มีแต่รักเท่านั้นที่จะประกาศได้’
N : พูดอีกอย่างก็คือ ให้เปลี่ยนคำปฏิญาณในการแต่งงาน
G : มากกว่านั้นอีก จงเปลี่ยน ‘ความคาดหวัง’ ที่เป็นรากฐานของคำปฏิญาณนั้น ซึ่งมันอาจเปลี่ยนได้ยากเพราะเป็นสิ่งสืบทอดทางวัฒนธรรมของพวกเธอที่เป็นผลมาจากมายาคติทางวัฒนธรรม
N : กลับมาเรื่องมายาคติทางวัฒนธรรมอีกแล้ว พระองค์มีประเด็นอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครับ❓
G : ฉันแค่กำลังชี้ให้เธอเห็นทิศทางที่ถูกต้อง ฉันรู้ว่าพวกเธอต้องการให้สังคมดำเนินไปในทิศทางไหน และฉันก็หวังว่าจะพบถ้อยคำและคำอธิบายในภาษาของพวกเธอที่สามารถนำพาพวกเธอไปสู่จุดนั้นได้
ฉันขอยกตัวอย่างให้ดูสักเรื่องจะได้ไหม❓
N : เชิญครับ
G : หนึ่งในมายาคติทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับความรักของพวกเธอก็คือ :
💥พวกเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องของ ‘การให้’ แทนที่จะเป็น ‘การรับ’💥
นี่กลายเป็นบทบัญญัติหรือข้อบังคับทางวัฒนธรรม และมันก็ทำให้พวกเธอประสาทเสียอยู่ในตอนนี้ ทั้งยังสร้างความเสียหายแก่พวกเธอเกินกว่าที่พวกเธอจะจินตนาการได้
มันทำให้ผู้คนติดอยู่กับการแต่งงานที่แย่ๆ ทั้งยังทำให้ความสัมพันธ์ทุกชนิดมีปัญหา
ทว่าไม่มีใครเลย...ทั้งพ่อแม่ที่พวกเธอคาดหวังการชี้ทาง ทั้งนักบวชที่พวกเธอมองหาแรงบันดาลใจ ทั้งนักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดที่พวกเธออยากได้รับความกระจ่าง หรือแม้กระทั่งนักเขียนและศิลปินที่พวกเธอหวังว่าจะได้รับการชี้นำทางปัญญา...ที่กล้าท้าทายมายาคติทางวัฒนธรรมที่ครอบงำสังคมในเรื่องนี้
ฉะนั้นบทเพลงจึงถูกเขียน นิทานจึงถูกเล่า ภาพยนต์จึงถูกสร้าง คำแนะนำจึงถูกให้ คำสวดอธิษฐานจึงถูกมอบ และลูกหลานจึงถูกเลี้ยง ในแบบที่ทำให้มายาคตินี้ยังคงอยู่ต่อไปได้ แล้วพวกเธอทั้งหมด ‘ก็ถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตไปตามนั้น’
ซึ่งพวกเธอก็ทำไม่ได้
ทว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่พวกเธอ แต่อยู่ที่ตัวมายาคตินั้น
N : รัก ‘ไม่ใช่การให้แต่คือการรับ’ อย่างนั้นหรือครับ❓
G : ถูกต้อง
N : ไม่ใช่การให้จริงๆหรือ❓
G : ไม่ใช่ แล้วก็ไม่เคยเป็นอย่างนั้นด้วย
N : แต่พระองค์เป็นคนบอกเองเมื่อกี๊นี้ว่า “รักไม่มีข้อเรียกร้องและข้อกำหนดอะไรทั้งนั้น” พระองค์บอกว่าด้วยเหตุนั้น ‘จึงทำให้มันเป็นรัก’
G : ใช่ ถูกต้อง
N : แต่ฟังแล้วเหมือนเป็น “การให้มากกว่าการรับ” นะผมว่า❗
G : ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องกลับไปอ่านบทที่ 8 ของ ‘เล่ม 1’ ใหม่อีกรอบ ทุกอย่างที่ฉันพูดตรงนี้ฉันได้อธิบายไว้หมดแล้วในบทนั้น การสนทนาทั้งหมดนี้ตั้งใจให้อ่านตามลำดับ และนำมาพินิจพิจารณาอย่างเป็นองค์รวม
N : ผมทราบครับ แต่เพื่อคนที่อ่านมาถึงจุดนี้แต่ยังไม่ได้อ่านเล่ม 1 พระองค์ได้โปรดช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ยครับว่าพระองค์กำลังจะสื่อหรือบอกอะไรตรงนี้❓
เพราะพูดตามตรงว่าตัวผมเองก็จะได้ประโยชน์จากการทบทวน แม้ว่าผมจะคิดว่าตัวเอง ‘เข้าใจ’ เรื่องนี้อยู่แล้วก็ตาม!
G : โอเค มาเริ่มกันเลย
💥ทุกอย่างที่เธอทำ
💥เธอทำให้ตัวเอง
นี่คือ 🔸ความจริง🔸
✨เพราะเธอและคนอื่นทั้งหมดคือหนึ่งเดียวกัน✨
▶️ ฉะนั้นอะไรที่เธอทำให้คนอื่น เธอก็ได้ทำให้ตัวเอง
▶️ ส่วนอะไรที่เธอไม่ได้ทำให้คนอื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง
▶️ อะไรที่ดีกับคนอื่นก็ดีกับเธอด้วย
▶️ ส่วนอะไรที่ไม่ดีกับคนอื่นก็ไม่ดีกับเธอเฉกเช่นเดียวกัน
นี่คือ🔸สัจธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด🔸
💢แต่ทว่าก็เป็นสัจธรรมที่พวกเธอละเลยหรือเพิกเฉยต่อมันมากที่สุด💢
เมื่อเธอมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ซึ่งความสัมพันธ์นั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียวนั่นก็คือ :
มันดำรงอยู่ในฐานะ ‘เครื่องมือ’ เพื่อให้เธอ
⏺️ "ใช้ตัดสินใจและประกาศ"
⏺️ "เพื่อสร้างสรรค์และแสดงออก"
⏺️ "เพื่อมีประสบการณ์และบรรลุถึง"
🌟 แนวคิดสูงสุดที่เธอมีต่อตัวเองว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร
หากตอนนี้ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือ :
💖 ผู้เมตตาและอารี
💖 คือผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน
💖 คือผู้เห็นอกเห็นใจและรักใคร่
และเมื่อเธอ ‘เป็น’ สิ่งเหล่านี้กับผู้อื่น
🌟เธอก็ได้มอบประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเข้าสู่มิติทางกายภาพนี้ให้กับตัวเธอเอง🌟
📌 ‘นี่คือเหตุผลที่เธอเลือกมามีร่างกาย’ เพราะมีแต่มิติทางกายภาพของโลกสัมพัทธ์เท่านั้นที่เธอจะสามารถรู้จักตัวเองว่าเป็นสิ่งเหล่านั้นได้
1
📌 แต่ในโลกแห่งความสัมบูรณ์ (หรือโลกปรมัตถ์) ซึ่งเป็นที่ที่เธอจากมานั้น ประสบการณ์จากการรู้ไม่อาจเกิดขึ้นได้
ทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันอธิบายไว้โดยละเอียดแล้วใน ‘เล่ม 1’
หากตอนนี้ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือ :
💢ผู้ไม่รักตัวเอง
💢คือผู้ที่ยอมให้ตัวเองถูกทำร้าย ทำอันตรายและทำลายโดยผู้อื่น
🌟เธอก็จะคงพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเธอได้รับประสบการณ์แบบนั้นต่อไป🌟
📌 แต่ทว่าหากเธอเป็นผู้เมตตาและอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน เห็นอกเห็นใจและรักใคร่ ‘จริงๆ’ แล้วล่ะก็ เธอจะรวม ‘ตัวเธอเอง’ เข้าไปในผู้ที่เธอจะ ‘เป็น’ สิ่งเหล่านี้ให้ด้วย★
★หมายความว่า เราเป็นสิ่งเหล่านี้กับผู้อื่น ซึ่งผู้อื่นที่ว่านั้นมีตัวเรารวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งก็คือไม่ใช่เมตตาและอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน เห็นอกเห็นใจและรักใคร่ผู้อื่นเพียงอย่างเดียว แต่ให้เป็นสิ่งเหล่านี้กับตัวเองด้วย — แอดมิน
💥 จริงๆแล้วเธอจะต้อง ‘เริ่ม’ จากตัวเอง เธอจะต้องให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกในเรื่องนี้ 💥
ทุกสิ่งในชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับอะไรที่เธอกำลังพยายาม ‘เป็น’
เช่น หากเธอแสวงหาการเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่น (ซึ่งก็คือ หากเธอแสวงหา ‘การมีประสบการณ์’ ถึงแนวคิดที่เธอรู้อยู่แล้วว่าเป็นความจริง) เธอจะพบว่าตัวเธอเองจะแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง...
🔸ในแบบที่ทำให้เธอได้รับประสบการณ์ และ ได้สำแดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น🔸
และเมื่อเธอ 🔸ทำบางสิ่งออกมาจากสภาวะนั้น🔸
🌟เธอจะไม่รู้สึกหรือมีประสบการณ์ว่ากำลังทำให้คนอื่น
🌟แต่เธอจะรู้สึกหรือมีประสบการณ์ว่ากำลังทำให้ตัวเอง
มันยังเป็นจริงกับทุกสิ่งที่เธอพยายาม ‘เป็น’
💖 หากเธอแสวงหาการเป็นความรัก
💖 เธอก็จะทำสิ่งที่สำแดงออกถึงความรัก ‘กับ’ คนอื่น
💢 ไม่ใช่ ‘ทำให้’ คนอื่น
💥 แต่เป็น ‘ทำกับ’ คนอื่น
สังเกตความต่างตรงนี้ให้ดี แยกแยะความต่างที่แยบคายมากตรงนี้ให้ออก
💖 เธอจะทำสิ่งที่สำแดงออกถึงความรัก ‘กับ’ คนอื่น ‘ให้’ ตัวเธอเอง 💖
💥 เพื่อเธอจะได้ประจักษ์และมีประสบการณ์ถึงแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับตัวเองและตัวตนที่แท้จริงของเธอ 💥
จากความหมายนี้ ✨มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรให้คนอื่น✨
เพราะทุกการแสดงออกด้วยเจตนาให้เป็นอย่างนั้น (หรือด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า) มันก็จะ ‘เป็นไปตามนั้นจริงๆ’
มันคือ “การแสดง” (act) เธอกำลังทำการแสดงอยู่ (acting) ซึ่งก็คือ เธอกำลังสร้างสรรค์และเล่นไปตามบทบาท
นอกจากนี้เธอไม่ได้กำลัง ‘เสแสร้งแกล้งทำ’ แต่กำลัง ‘เป็น’ แบบนั้นอยู่จริงๆ
💥เธอกำลัง ‘เป็น’ มนุษย์ (นี่คือบทบาทที่เธอกำลังเล่นอยู่) และอะไรที่เธอกำลังเป็นอยู่ก็มาจากสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจและเลือกด้วยตัวเอง💥
เช็คสเปียร์ (ของพวกเธอ) เคยพูดเอาไว้ว่า : “จะอยู่ (to be) หรือตาย (not to be) นั่นล่ะคือปัญหา”★
★To be or not to be, that’s the question ถ้าแปลตามรูปศัพท์ ก็จะแปลได้ว่า “จะเป็นหรือไม่เป็น นั่นล่ะคือประเด็น” — ผู้แปล
และเขายังเคยพูดอีกด้วยว่า : “ซื่อสัตย์กับตัวตน ต้องมั่นทนเช่นคืนวัน เท็จลวงหลอกใดๆนั้น อย่าหันสู่แม้ผู้ใด”
เมื่อเธอซื่อสัตย์กับตัวเอง ‘ไม่ทรยศต่อตัวเอง’ และเมื่อมัน “ดูเหมือนว่า” เธอ “กำลังให้” อยู่ — เธอก็จะรู้และเข้าใจว่าจริงๆแล้วเธอ “กำลังได้รับ” อยู่ต่างหาก 💥ว่าจริงๆแล้วตัวเธอเองกำลังให้กลับคืนสู่ตัวเอง💥
1
📌 เธอไม่สามารถ “ให้” อะไรใครได้อย่างแท้จริง
📌 ด้วยเหตุผลอันเรียบง่ายซึ่งก็คือ มันไม่มี “ใครอื่น”
📌 หากพวกเราทั้งหมดล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนั้น 🔸มันก็มีเพียงเธอเท่านั้น🔸
N : บางทีผมก็รู้สึกว่ามันเป็นแค่ “ลูกเล่น” ในการใช้ภาษา ใช้วิธีการเปลี่ยนถ้อยคำไปมาเพื่อพลิกความหมายไปมาเท่านั้นเอง
G : นี่ไม่ใช่ลูกเล่น แต่คือ ‘ความน่าอัศจรรย์❗’ มันไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนถ้อยคำเพื่อเปลี่ยนความหมาย
✨แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนมุมมองเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์✨
🌟 ประสบการณ์ที่เธอมีต่อทุกสิ่งจะอยู่บนรากฐานของการตระหนักรู้
🌟 และการตระหนักรู้ก็อยู่บนฐานของความเข้าใจ
🌟 และความเข้าใจของเธอตอนนี้ก็อยู่บนฐานของมายาคติทั้งหลาย ซึ่งก็คือ 🔸อยู่บนฐานของสิ่งที่เธอถูกบอกถูกสอนมา🔸
💢 แต่ฉันจะบอกกับเธอว่า : มายาคติทางวัฒนธรรมในปัจจุบันของเธอนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อเธอ — มันไม่ได้พาเธอไปยังจุดหมายที่เธอบอกว่าเธออยากไป
💢 ถ้าเธอไม่ได้โกหกตัวเองเกี่ยวกับจุดหมายที่เธอบอกว่าเธออยากไป เธอก็กำลังมืดบอดต่อความจริงที่ว่าตัวเธอไม่ได้กำลังเข้าใกล้จุดหมายนั้นเลย ไม่ทั้งในฐานะปัจเจก ไม่ทั้งในฐานะประเทศชาติ ไม่ทั้งในฐานะสายพันธุ์หรือเผ่าพันธุ์
N : มีสายพันธุ์หรือเผ่าพันธุ์อื่นๆด้วยหรือครับ❓
G : โอ้ มีแน่นอน
N : โอเคครับ ผมว่าผมรอมานานพอล่ะ เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ
G : อีกไม่นานหรอก ฉันจะพูดให้เธอฟังในเร็วๆนี้ แต่ตอนนี้ฉันต้องการบอกวิธีเปลี่ยนประดิษฐกรรมที่เรียกว่า “การแต่งงาน” ของพวกเธอก่อน เพื่อให้มันพาเธอเข้าใกล้จุดหมายที่เธอบอกว่าเธออยากไปให้มากขึ้น
อย่าทำลายมัน อย่ากำจัดมันทิ้ง...
🔸‘แต่ให้ปรับเปลี่ยนมัน’🔸
N : ครับ ผมก็อยากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน อยากรู้ว่ามันจะมีทางไหนที่เราจะยอมให้เผ่าพันธุ์มนุษย์แสดงออกถึงความรักที่แท้จริงได้
ฉะนั้นผมจะขอจบการพูดคุยในส่วนนี้ตรงที่ที่เราเริ่มต้น นั่นคือ เราควร (จริงๆมีบางคนบอกว่าเรา ‘ต้อง’) มีข้อจำกัดอะไรบ้างในการแสดงออกกับเรื่องนี้ครับ❓
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา