15 ก.ย. 2021 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้นพื้นฐานดี ดูจากอะไร ?
หากจะลงทุนในหุ้นให้ได้กำไรงามๆ สักตัวแบบเซฟๆ ด้วย คาดว่าเราอาจจะเล็งหาหุ้นพื้นฐานดีๆ อย่างแน่นอน เพราะไม่ต้องมากังวลกับภาวะผันผวนที่เกิดขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะของตลาดมากนัก
1
แต่คำถามก็คือ แล้วหุ้นพื้นฐานดี หน้าตาเป็นอย่างไร และจะรู้ได้ยังไงว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นพื้นฐานดี ? เราจึงรวบรวมวิธีสังเกตหุ้นพื้นฐานดีแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
1
📌 มีการเติบโตต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ปี
เพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าบริษัทยังเติบโตได้ดี ซึ่งก็คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตบริษัทก็คงมีรายได้มากขึ้น และในปีต่อไปก็มีโอกาสสูงที่จะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก และเมื่อบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็จะสะท้อนกลับมาที่นักลงทุนในที่สุด
1
📌 บริหารธุรกิจได้ดี มีกำไรสม่ำเสมอ
ปัจจัยที่เป็นตัวชี้วัดของบริษัทดีและเหมาะแก่การลงทุน ก็คือ ควรมีผลประกอบการเป็นกำไร ตั้งแต่กำไรขั้นต้นไปจนถึงกำไรสุทธิซึ่งเป็นกำไรขั้นสุดท้ายที่บริษัทจะได้ และมีกำไรสม่ำเสมอมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
1
ทั้งนี้ผลกำไรที่ได้ ควรมาจากการขายสินค้าหรือบริการหลักของบริษัท เพราะจะเป็นผลดีกับบริษัทในระยะยาวเนื่องจากเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นประจำนั่นเอง
1
เมื่อบริษัทมีการบริหารที่ดี มีกำไรอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้พื้นฐานของกิจการแข็งแรง ก็ย่อมจะส่งผลทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
1
ในทางตรงกันข้าม หากบริษัทขาดทุนต่อเนื่อง นั่นแสดงถึงการบริหารที่ไม่ดีทำให้เกิดผลขาดทุน ก็จะส่งผลทำให้พื้นฐานกิจการแย่ จึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่ขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้ เพราะการปรับตัวขึ้นของราคาจะเป็นไปได้ยาก และอาจจะไม่มีเงินปันผลเหลือให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย
1
📌 มีกำไรสะสมเพิ่มต่อเนื่อง
กำไรสะสม เกิดจากการดำเนินงานที่เป็นผลกำไรของบริษัทในแต่ละปีสะสมเข้าเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกำไรนับตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัทเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
1
หุ้นพื้นฐานดีจำเป็นต้องมีกำไรสะสมเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพราะกำไรสะสมเป็นส่วนที่บริษัทสามารถนำไปลงทุนต่อยอดเพื่อทำให้กิจการเติบโตขึ้นได้ และเงินส่วนนี้สามารถนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อีกด้วย
1
โดยกำไรสะสมนี้ ก็คือส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่เกินกว่าเงินลงทุนที่ผู้ถือหุ้นนำมาลงในบริษัทนั่นเอง
📌 ธุรกิจมีจุดแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน
บริษัทที่จะเลือกลงทุนต้องมีความสามารถที่จะแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งและทำให้สินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของตลาด อาจไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งของตลาดก็ได้ แต่ต้องมีกำลังในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
1
หากต้องการลงทุนระยะยาวจำเป็นต้องมองให้เห็นภาพอนาคตการเติบโตของบริษัท ต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของกิจการเหล่านี้
1
📌 มีหนี้สินต่อทุนในอัตราที่ต่ำ
ควรเลือกดูบริษัทที่มีสภาพคล่องดี มีเงินทุนหมุนเวียนที่เหมาะสม และไม่ควรมีหนี้สินระยะยาวมากเกินไป เพราะหนี้ระยะยาวจะส่งผลให้ “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” (D/E Ratio) มากเกินไป อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการผ่อนชำระหนี้ และเกิดปัญหาต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามมาได้
1
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เป็นตัววัดอัตราส่วนระหว่างหนี้สินทั้งหมดของบริษัท กับส่วนของเจ้าของ โดยส่วนของเจ้าของหมายถึงส่วนที่เป็นเงินลงทุนและกำไรสะสมของบริษัท
1
หากอัตราส่วนนี้มีค่าต่ำกว่า 1 เท่า หมายความว่า บริษัทดำเนินธุรกิจ โดยการใช้ทุนจากเจ้าของมากกว่าเงินทุนที่ได้มาจากการกู้ยืม อัตราส่วนลักษณะนี้ จะค่อนข้างมีความปลอดภัย
แต่หากอัตราส่วนนี้มีค่ามากกว่า 1 เท่า นั่นหมายความว่า บริษัทดำเนินธุรกิจ ด้วยการกู้ยืมมากกว่าใช้เงินทุนจากเจ้าของ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ เพราะมีภาระผูกพันที่ต้องจ่าย หากขาดสภาพคล่องหรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็จะเกิดปัญหาทันที
1
และอาจเป็นปัญหาต่อเนื่องได้ หากบริษัทไม่มีความสามารถในการทำกำไรและยังมีหนี้สินสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะการขาดทุนสะสมถึงขั้นล้มละลายและต้องปิดกิจการลงในที่สุดค่ะ
1
📌 มีการกำกับกิจการที่ดี พร้อมทีมผู้บริหารที่มีความโปร่งใส
ก่อนตัดสินใจที่จะลงทุนในบริษัทใด ควรพิจารณาไปถึงประวัติของทีมผู้บริหาร ควรเป็นผู้บริหารงานอย่างโปร่งใส เปิดเผย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ และสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงความสามารถในการบริหารกำกับกิจการที่ดีและโดดเด่น เพราะคุณลักษณะของผู้บริหารเช่นนี้ จะช่วยนำพาให้กิจการเติบโตไปได้ค่ะ
1
💦.....อย่างไรก็ดี หากอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก็ควรหมั่นศึกษาหาความรู้ เสริมทักษะการลงทุนให้ตัวเอง และอย่าลืมนำวิธีการเหล่านี้ไปฝึกฝน ค่อยๆ ศึกษาแต่ละองค์ประกอบให้ถี่ถ้วน อย่าใจร้อนเกินไป สักวันเราจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ค่ะ
1
โชคดีในการลงทุนทุกท่านค่ะ
เรียบเรียงโดย : ลงทุนในบัญชีและภาษี
1
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้กันเสมอค่ะ
🌷🌷❤❤🙏🙏🙏🙏❤❤🌷🌷

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา