Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
15 ก.ย. 2021 เวลา 02:26 • หนังสือ
#78 เล่ม 3 บทที่ 18 หน้า 402 ~ 406
...
N : โอเคครับ...แล้วมีอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตในสังคมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงของจักรวาลอีกมั้ยครับ❓
...
...
...
G : 🔸ไม่มีความละอาย🔸
N : ไม่ละอาย❓
G : แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 🔸ความรู้สึกผิด🔸
N : แล้วการถูกบอกว่าคุณเป็น “ผู้พิทักษ์” ผืนดินที่แย่ล่ะ❓ พระองค์เพิ่งจะบอกว่าสังคมจะยึดผืนดินคืนจากคนๆนั้น❗ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาโดนตัดสินและมีความผิดเหรอครับ❓
G : ไม่ มันหมายความว่า🔸เขาถูกสังเกต — และพบว่าไม่มีความสามารถ🔸
🛑 ในวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง ผู้คนจะไม่ถูกร้องขอให้ทำอะไรที่พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีความสามารถที่จะทำ
N : แล้วถ้าพวกเขายังต้องการทำอยู่ล่ะ❓
G : พวกเขาจะไม่ “ต้องการ” ทำ
N : ทำไมล่ะครับ❓
G : 🔸การไม่มีความสามารถจะขจัดความปรารถนาไปโดยปริยาย
นี่คือผลตามธรรมชาติของความเข้าใจว่า : 💥การที่ตนไร้ความสามารถในการทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นได้ ซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันทำ เพราะการทำให้ผู้อื่นเสียหายก็คือการทำให้ตนเองเสียหาย ‘พวกเขาจะเข้าใจเรื่องนี้’💥
N : ถ้าอย่างนั้น “การเอาตัวรอด” ก็ยังเป็นตัวขับเคลื่อนประสบการณ์อยู่ดี❗ ไม่ต่างจากบนโลกนี้เลย❗
G : แน่นอน❗ ความต่างเพียงอย่างเดียวอยู่ที่นิยามของคำว่า “ตัวเอง” ของพวกเขา
💢 มนุษย์ให้นิยามคำว่า ‘ตัวเอง’ แคบมาก ตัวเองที่ว่าบ่งบอกถึงเรื่องของตัวเอง เรื่องครอบครัวของตัวเอง และเรื่องชุมชนของตัวเอง
⭐ ส่วนสวส.จะให้นิยามคำว่า ‘ตัวเอง’ ต่างไปมาก โดยคำว่าตัวเองจะบ่งบอกถึงเรื่องของตัวตน เรื่องของครอบครัว และเรื่องของชุมชน 🔸ในแบบที่เป็นองค์รวม🔸
N : เหมือนว่ามันมีเพียงหนึ่งเดียว★
[★ตัวตน ครอบครัว ชุมชน มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ได้เป็นแบบของฉันและของเธอ เช่น พ่อของฉัน พ่อของเธอ, ชุมชนของฉัน ชุมชนของเธอ เป็นต้น – แอดมิน]
G : 🛑 มันมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
🛑 นั่นล่ะคือประเด็นทั้งหมด
N : เข้าใจแล้วครับ
G : ฉะนั้น ในวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะไม่มีวัน ยกตัวอย่างเช่น ยืนกรานที่จะเลี้ยงดูเด็กๆหากสิ่งมีชีวิตนั้นแสดงออกให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า 🔹ตัวเองไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดู🔹
นี่คือเหตุผลว่าทำไมในวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง เด็กจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยเด็ก (อีกคน) เด็กๆจะถูกส่งต่อให้ผู้อาวุโสเป็นคนเลี้ยง นี่ไม่ได้หมายความว่าเด็กเกิดใหม่จะถูกพรากจากอ้อมอกของผู้ให้กำเนิด ถูกยึดเอาไปจากมือแล้วส่งไปให้คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้เป็นคนเลี้ยง ไม่ใช่แบบนั้น
ในวัฒนธรรมเหล่านี้ ผู้อาวุโสจะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับผู้เยาว์ ไม่ได้ถูกแยกออกให้ไปใช้ชีวิตตามลำพัง ผู้อาวุโสจะไม่ถูกละเลยและปล่อยให้ก้าวสู่ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่จะได้รับความเคารพนับถือ เทิดทูนบูชา และอยู่ใกล้ชิด ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มีความรักใคร่ ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา
เวลาที่มีเด็กเกิดใหม่ ผู้อาวุโสจะอยู่ตรงนั้น เป็นศูนย์กลางแห่งความเคารพนับถือของชุมชนและครอบครัวนั้น การให้ผู้อาวุโสเลี้ยงดูเด็กเป็นเรื่องตามธรรมชาติ (เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต้องทำอย่างนั้น) แบบเดียวกับที่พ่อแม่ต้องเป็นคนเลี้ยงลูกของตนในสังคมของพวกเธอ
ความต่างก็คือ แม้เด็กจะรู้ดีว่าใครคือ “พ่อแม่” (คำใกล้เคียงที่สุดในภาษาของพวกเขาคือ “ผู้ให้ชีวิต”) ของตน แต่เด็กๆเหล่านี้จะไม่ได้เรียนรู้สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตจากคนที่ ‘กำลังเรียนรู้สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตอยู่เหมือนกัน’
ในสังคมของสวส. ผู้อาวุโสจะเป็นคนจัดการและควบคุมดูแลกระบวนการเรียนรู้ รวมถึงที่พักอาศัย อาหารการกิน และการดูแลเอาใจใส่ เด็กๆจะได้รับการฟูมฟักในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยปัญญาและความรัก ความอดทนมหาศาล และความเข้าใจลึกซึ้ง
ผู้เยาว์ที่ให้กำเนิดชีวิตใหม่มักออกไปใช้ชีวิตที่อื่น ออกไปพบกับความท้าทายและสัมผัสกับความเบิกบานของชีวิตในวัยหนุ่มสาว พวกเขาอาจใช้เวลาอยู่กับลูกๆของตนได้นานเท่าที่ต้องการ หรือถึงขั้นอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับผู้อาวุโสพร้อมเด็กๆ อยู่ใกล้ชิดเคียงข้างในสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “บ้าน” และได้รับประสบการณ์ว่าตัวของพวกเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือ 🔸ประสบการณ์แบบองค์รวมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน🔸
ซึ่งผู้อาวุโสจะเป็นผู้เลี้ยงดูและเป็นผู้รับผิดชอบ และมันคือเกียรติยศสำหรับเหล่าผู้อาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบต่อ 🔸อนาคตของทั้งสายพันธุ์🔸 และเป็นที่เข้าใจกันดีในสังคมของสวส.ว่า นี่เป็นภารกิจที่หนักหนาเกินไปสำหรับผู้เยาว์
ฉันพูดเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้ตอนที่เราคุยกันเรื่องวิธีการเลี้ยงดูเด็กๆบนโลกของเธอ รวมถึงวิธีที่จะเปลี่ยนมัน
N : ใช่ครับ และขอบคุณครับที่อธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ รวมถึงแนวทางที่มันจะได้ผล ตอนนี้ขอกลับมาที่เรื่องว่า สวส.จะ ไม่รู้สึกผิด หรือ ละอาย ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรอย่างนั้นหรือครับ❓
G : ใช่ 💢เพราะความรู้สึกผิดและความละอายเป็นบางสิ่งซึ่งถูกยัดเยียดให้จากโลกภายนอก — แล้วมันก็ถูกฝังลึกลงไปในโลกภายในโดยไม่ถูกตั้งคำถาม💢
💢ความรู้สึกผิดและความละอายเริ่มต้นมาจากภายนอก ‘เสมอ’ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน (และสิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนศักดิ์สิทธิ์) ที่จะรับรู้ตัวเองหรือมองสิ่งที่ตัวเองกำลังทำว่า “น่าละอาย” หรือ “มีความผิด” จนกว่าจะมีใครบางคนมาตีตราให้💢
ในวัฒนธรรมของพวกเธอ เด็กๆรู้สึกละอายต่อ “นิสัยที่ชอบทำในห้องน้ำ” ไหม❓ ไม่อยู่แล้ว ไม่จนกว่าพวกเธอไปบอกให้พวกเขารู้สึกอย่างนั้น — เด็กรู้สึก “ผิด” กับการหาความสุขให้ตัวเองด้วยการเล่นอวัยวะเพศไหม❓ ไม่อยู่แล้ว ไม่จนกว่าพวกเธอไปบอกพวกเขาให้รู้สึกผิด
💥 ระดับทางวิวัฒนาการของวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ วัดได้จาก 🔸ระดับของการตีตรา🔸 สิ่งมีชีวิตหรือการกระทำว่า “น่าละอาย” หรือ “มีความผิด”
N : ไม่มีการกระทำไหนที่เรียกว่า “น่าละอาย” เลยหรือครับ❓ ไม่มีใครทำอะไรผิดเลยหรือไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร❓
G : อย่างที่เคยบอกไป 🔹ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ถูกและผิด’🔹
N : มันต้องมีคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อยู่ดี
G : 📌 การจะเข้าใจเรื่องที่พูดตรงนี้ พวกเธอต้องอ่านบทสนทนานี้ให้ครบถ้วนตามลำดับ การดึงเอาข้อความใดๆออกจากตัวบริบท (คำอธิบายที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆทั้งหมด) ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจไปกันใหญ่ — เล่ม 1 และ เล่ม 2 ได้ให้ความเข้าใจในเรื่อง “ถูกและผิด” ไว้โดยละเอียดแล้ว
เวลานี้เธอขอให้ฉันอธิบายถึงวัฒนธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงของจักรวาล สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี
N : โอเคครับ แล้ววัฒนธรรมขั้นสูงเหล่านั้นมีอะไรที่ต่างจากพวกเราอีกมั้ย❓
...
...
...
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
หนังสือสนทนากับพระเจ้า เล่ม 3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย