29 พ.ย. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
ยุทธจักรวาลกิมย้ง
ตอน 12 : ไฟเปลี่ยนแผ่นดิน
Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
ยู้ไต้ง้ำ ศิษย์คนที่สามสำนักบู๊ตึ๊ง เดินทางท่องยุทธจักร เขาประสบเหตุการณ์กับสองสำนักที่แย่งชิงดาบฆ่ามังกร เวลานั้นยุทธจักรเล่าลือกันว่า ผู้ใดครอบครองดาบฆ่ามังกรและกระบี่อิงฟ้า ผู้นั้นจะพบความลับของวิทยายุทธ์ชั้นสูง ทำให้ชาวบู๊ลิ้มพากันแย่งชิง
ดาบฆ่ามังกรเป็นอาวุธชิ้นใหญ่ หนักมาก มันเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง ส่วนกระบี่อิงฟ้าอยู่ในความครอบครองของสำนักง่อไบ๊
ยู้ไต้ง้ำได้ครองดาบฆ่ามังกร แต่ระหว่างทางเขาถูกลอบทำร้าย กลายเป็นคนพิการ
และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของยุทธจักร
นี่คือผลงานหมายเลข 9 ของกิมย้ง
มังกรหยกภาค 3 / ดาบมังกรหยก / ลูกมังกรหยก (倚天屠龍記 / The Heaven Sword and Dragon Saber)
1
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์หมิงเป้า ช่วง 6 กรกฎาคม 1961 - 2 กันยายน 1963
ฉากคือรอยต่อระหว่างราชวงศ์หยวนของมองโกลกับราชวงศ์หมิง
เตียชุ่ยซัวศิษย์คนที่ห้าสำนักบู๊ตึ๊ง ตามล่าคนร้ายที่ทำร้ายยู้ไต้ง้ำ ระหว่างทางได้พบกับฮึงซู่ซู่ บุตรีของพญาอินทรีคิ้วขาว ฮึงทีเจี่ย ทั้งสองรักกัน
ในเวลาเดียวกัน ‘ราชสีห์ขนทอง’ เจี่ยซุ่น บุกเข้าไปชิงดาบฆ่ามังกรมาได้ และจับเตียชุ่ยซัวกับฮึงซู่ซู่ เดินทางไปด้วยกัน สู่เกาะร้างไกลโพ้น
ทั้งสองให้กำเนิดลูกชายชื่อว่าเตียบ่อกี้ เตียชุ่ยซัวและเจี่ยซุ่นสาบานเป็นพี่น้องกัน
สิบปีต่อมา เตียชุ่ยซัวพาภรรยาและบุตรกลับแผ่นดินกลาง และพบความขัดแย้ง เพราะความเผยว่าฮึงซู่ซู่เป็นต้นเหตุให้ยู้ไต้ง้ำพิการ
แรงกดดันจากชาวยุทธจักรที่ต้องการรู้ที่อยู่ของเจี่ยซุ่น และการที่คนในสำนักธัมมะแต่งงานกับคนจากพรรคมาร ทำให้เตียชุ่ยซัวผู้ไม่ยอมบอกที่ซ่อนของเจี่ยซุ่นเลือกฆ่าตัวตาย ฮึงซู่ซู่ฆ่าตัวตายตาม
เตียซำฮงเจ้าสำนักบู๊ตึงนำเตียบ่อกี้ไปเลี้ยง แต่เตียบ่อกี้ถูกพลังฝ่ามือของคนลึกลับทำร้าย
เตียซำฮงตากหน้าพาเตียบ่อกี้ไปวัดเส้าหลิน เพื่อขอยืมคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น (易筋經) มารักษาเตียบ่อกี้ แต่ไม่สำเร็จ
3
เตียบ่อกี้พลัดไปพบหมอเทวดา โอ้วแชงู้ ผู้ถือหลักรักษาเฉพาะคนของเม้งก่า อย่างไรก็ตามเขาได้เรียนวิชาแพทย์จากหมอผู้นี้
เตียบ่อกี้ผจญภัยไปทั่วยุทธจักร และพบคัมภีร์เก้าเอี้ยงจินเก็งในท้องค่าง คัมภีร์เล่มนี้เซียวเซียงจือกับอีเคอซีขโมยมาจากหอคัมภีร์วัดเสาหลิน และสาบสูญไปนาน
ต่อมาเตียบ่อกี้กลายเป็นเจ้าสำนักเม้งก่า ซึ่งเกี่ยวกับพวกเปอร์เซีย คือลัทธิแห่งแสงสว่าง
ท้ายที่สุดเตียบ่อกี้ก็มีส่วนในการโค่นราชวงศ์หยวนของมองโกล ก่อตั้งราชวงศ์หมิง
ขณะที่ ดาบมังกรหยก เล่าจุดจบของราชวงศ์ซ่ง ก๊วยเจ๋งกับก๊วยพั่วโล้บุตรชายรักษาเมืองเซียงหยางจนตัวตาย แต่มันก็เล่าย้อนว่าก๊วยเจ๋งยังไม่ยอมแพ้
ก่อนเมืองแตก ก๊วยเจ๋งได้สร้างกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร
1
ในท้ายเรื่อง แม่ชีมิกจ้อซือไท่ เจ้าสำนักแห่งง้อไบ๊ ผู้มีความแค้นต่อพรรคเม้งก่า เหตุหนึ่งเพราะเอี้ยเซียวชิงศิษย์ของง่อไบ๊ไป ก่อนตายแม่ชีมิกจ้อซือไท่ยกตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นที่ 4 ให้จิวจี้เยี้ยกและบอกความลับของกระบี่อิงฟ้ากับดาบฆ่ามังกร
เมื่อได้ดาบฆ่ามังกรและกระบี่อิงฟ้า ก็ใช้สองศาสตราฟันกัน พบว่าภายในดาบฆ่ามังกรซุกซ่อนคัมภีร์พิชัยสงคราม ภายในกระบี่อิงฟ้าซุกซ่อนคัมภีร์
4
นาม ดาบฆ่ามังกร มีความหมายถึงการโค่นฮ่องเต้ (มังกรคือฮ่องเต้) ก็คือพวกมองโกล ที่ยึดครองจีน และตั้งราชวงศ์หยวน
3
ความลับของกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกรเผยว่า ก๊วยเจ๋งเป็นผู้สร้างอาวุธทั้งสองเอง บรรจุวิชาการยุทธ์ทั้งหมดในอาวุธ มอบดาบฆ่ามังกรให้ก๊วยพั่วโล้วบุตรชายของตนรักษาไว้ มอบกระบี่อิงฟ้าให้ก๊วยเซียงบุตรสาว เพื่อที่วันหนึ่งจะนำวิชาไปกู้แผ่นดิน
คำว่า ‘อิงฟ้า’ มีความหมายว่าการใช้อำนาจสวรรค์ทำลายคนชั่ว หรือฮ่องเต้ที่เลวร้าย มังกรคือฮ่องเต้
สิ่งที่ซ่อนไว้ในดาบฆ่ามังกรคือคัมภีร์พิชัยสงครามอู่มู่ (武穆遺書) ของขุนพลงักฮุย
ซ่อนไว้ในกระบี่อิงฟ้าคือคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งกับสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรของก๊วยเจ๋ง
1
กระบี่อิงฟ้าหลอมมาจากดาบของต๊กโกวคิ้วป่ายในมังกรหยก ภาค 2 เมื่อเอี้ยก้วยและเซี่ยวเล้งนึ้งจากเซียงหยาง ทั้งสองได้ทิ้งดาบไว้กับก๊วยเจ๋งและอึ้งย้ง พวกเขาหลอมดาบและเพิ่มโลหะพิเศษ นำไปสร้างเป็นกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร
ในนวนิยายฉบับปรับปรุง กิมย้งเปลี่ยนให้กระบี่อิงฟ้าหลอมจากดาบของเอี้ยก้วยและกระบี่ของเซี่ยวเล้งนึ้ง ส่วนดาบฆ่ามังกรเหมือนเดิม
 
ในฉบับปรับปรุงล่าสุด เปลี่ยนคัมภีร์เป็นแผนที่โลหะสองแผ่นซ่อนอยู่ เมื่อประกอบกัน แผนที่บอกที่ตั้งของเกาะดอกท้อ บอกจุดที่ฝังคัมภีร์ทั้งสอง กิมย้งให้เหตุผลว่าในการหลอมกระบี่กับดาบด้วยความร้อนสูง คัมภีร์คงไหม้หมด
3
สิ่งที่น่าสนใจจุดหนึ่งใน ดาบมังกรหยก คือการสร้างตัวละครสตรี
ไม่ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ ตัวละครสตรีแทบทั้งหมดในเรื่องนี้เป็นคนอาภัพ ในสภาพแตกต่างกันออกไป
1
ฮึงซู่ซู่ มารดาของเตียบ่อกี้ ต้องยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างสำนักของตนกับความรักที่มีต่อคนของสำนักศัตรู เมื่อนางเลือกความรัก ก็ต้องจ่ายราคาของความรักนั้นด้วยชีวิต
1
กี้เฮียวพู้ต้องยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างความถูกต้องกับความรัก
 
เอี้ยปุกฮ่วย ลูกสาวของกี้เฮียวพู้ ต้องแบกรับน้ำหนักความรับผิดชอบของความผิดพลาดของแม่
3
ฮึงลี้ หรือ ตู้ยี้ ผู้มีชีวิตลำบากเพราะหน้าตาอัปลักษณ์
จิวจี้เยียกต้องยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างหน้าที่กับความรัก นางเลือกหน้าที่และการแทนพระคุณอาจารย์ จนเปลี่ยนแปลงตัวตนเดิม แม้จะได้รับคำสั่งให้ล่อลวงเตียบ่อกี้เพื่อชิงกระบี่อิงฟ้าและดาบฆ่ามังกร ก็ยินยอมกระทำ
3
เซี่ยวเจียวต้องยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างภาระความรับผิดชอบของนิกายตนกับความรัก และเลือกสละความรัก
เตี่ยเมี่ยงต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับความรัก และเลือกความรัก
แม่ชีมิกจ้อซือไท่ ติดหล่มในความเกลียดชังพรรคอสูร จนชีวิตมีแต่ความเศร้าหมอง
1
ตัวละครเอกใน ดาบมังกรหยก คือเตียบ่อกี้ค่อนข้างติดดิน ใกล้เคียงกับมนุษย์ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เตียบ่อกี้ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง แม้แต่ความรัก ก็ไม่แน่ใจว่าจะรักใครจริงๆ ต่างจากเอี้ยก้วยที่ชัดเจน แน่วแน่ คล้ายกับว่าชีวิตของเตียบ่อกี้ไหลไปตามน้ำ พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่คนที่มักใหญ่ใฝ่สูง หรืออยากเป็นเจ้ายุทธจักร
เตียบ่อกี้พัวพันกับหญิงสาวสี่คน คนแรกคือ ฮึงลี้ คนที่สอง เซี่ยวเจียว (เสี่ยวเจา) หญิงสาวที่มีเชื้อสายเปอร์เซีย
คนที่สามคือจิวจี้เยียก เพื่อนแต่เด็ก นางรักเตียบ่อกี้ แต่เมื่ออาจารย์นางสั่งให้ชิงดาบฆ่ามังกรมาให้ได้ แม้ว่าจะต้องลวงเตียบ่อกี้ นางก็ทำ
คนที่สี่คือเตี่ยเมี่ยงลูกสาวของอ๋องมองโกล หลังจากผจญภัยด้วยกัน ทั้งสองก็รักกัน
ตัวละครเตียบ่อกี้สมจริง แต่จากมุมมองของกิมย้ง เตียบ่อกี้ไม่มีคุณลักษณะของผู้นำ “เขาเป็นผู้นำที่ดีไม่ได้ แต่เป็นเพื่อนที่ดีได้”
กิมย้งเขียนในบทความหนึ่งในปี 1977 ว่า
“ดาบมังกรหยก เป็นภาคที่สามของไตรภาค มังกรหยก ตัวเอกของทั้งสามเรื่องนี้ มีนิสัยใจคอผิดแผกแตกต่างกัน ก๊วยเจ๋งสัตย์ซื่อถือมั่น เอี้ยก้วยปล่อยตัวตามอารมณ์ ส่วนอุปนิสัยใจคอของเตียบ่อกี้ค่อนข้างสับสน และค่อนข้างอ่อนแอ เขาขาดธาตุแท้ของวีรบุรุษผู้กล้าอยู่บ้าง ในบุคลิกลักษณะมาตรว่ามีจุดเด่น แต่ก็มีข้อด้อยมากหลาย อาจบางทีคล้ายคลึงกับพวกเราเหล่าสามัญชนคนธรรมดากว่าเดิม
เอี้ยก้วยนับเป็นบุคคลประเภทอัตนิยม ก๊วยเจ๋งรู้สึกยึดมั่นต่อเรื่องราวที่คับขันสำคัญ หากเป็นเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย ต้องให้อึ้งย้งคอยกระตุ้นเตือน แต่ในชีวิตเตียบ่อกี้มักได้รับผลสะท้อนจากผู้อื่น ถูกสภาพแวดล้อมครอบงำ ไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นได้ ทางด้านความรักเอี้ยก่วยทุ่มเทชีวิตจิตใจให้เซี่ยวเล้งนึ้ง ไม่เห็นจารีตประเพณีของสังคมอยู่ในสายตา เตียบ่อกี้กลับเลอะเลือนอลวน ความรู้สึกที่มีต่อจิวจี้เยียก เตี่ยเมี่ยง ฮึงลี้ และเซี่ยวเจียว ทั้งสี่นางเขาคล้ายรักเตี่ยเมี่ยงที่สุด ตอนท้ายยังกล่าวกับจิวจี้เยียกเช่นนี้ แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขา เขารักโกวเนี้ยนางใดมากกว่า เกรงว่าเขาเองก็ไม่ทราบ ผู้แต่งก็ไม่ทราบ ในเมื่อเขามีบุคลิกลักษณะเช่นนี้ ความเป็นไปทุกประการ ล้วนขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอของเขา ผู้แต่งไม่อาจกล่าวล่วงได้
2
บุคคลเช่นเตียบ่อกี้ ต่อให้มีวิชาฝีมือสูงเยี่ยมกว่านี้ จะอย่างไรมิอาจเป็นผู้นำทางการเมือง แน่นอน เขาเองก็ไม่คิดเป็น ต่อให้ฝืนใจดำรงตำแหน่ง สุดท้ายก็ต้องประสบความล้มเหลว ประวัติศาสตร์ทางการเมือง ซึ่งยาวนานถึงสามพันปี มีบทสรุปเด่นชัดไว้แต่แรก ผู้นำทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จของจีน เงื่อนไขข้อแรกคือ ‘อดทน’ ซึ่งครอบคลุมทั้งอดทนต่อตัวเอง อดทนต่อผู้อื่น ตลอดจนอำมหิตต่อศัตรูทางการเมือง เงื่อนไขประการสองคือ ‘เด็ดขาดฉับไว’ ประการสามคือ ‘มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างแรงกล้า’ เตียบ่อกี้ไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้แม้สักครึ่งข้อ จิวจี้เยียกกับเตี่ยเมี่ยงกลับกอปรด้วยความสามารถทางการเมือง ดังนั้นโกวเนี้ยทั้งสองนางนี้แม้งดงาม แต่ไม่น่ารัก
5
ในใจของข้าพเจ้าเองรักเซี่ยวเจียวที่สุด น่าเสียดายที่ไม่อาจให้นางอยู่ร่วมกับเตียบ่อกี้ นึกดูบังเกิดความหดหู่ใจอยู่บ้าง
ดังนั้นเรื่องราวความรักในนิยายเรื่องนี้ ไม่สวยงามเพริศแพร้วนัก มาตรว่ามีความสมจริงกว่าเดิมก็ตาม
เตียบ่อกี้ไม่ใช่ผู้นำที่ดี แต่สามารถเป็นกัลยาณมิตรของพวกเรา ซึ่งความจริง นิยายเรื่องนี้ไม่เน้นที่ความรักฉันบุรุษสตรี หากแต่อยู่ที่คุณธรรมน้ำมิตรระหว่างบุรุษกับบุรุษ เช่นน้ำใจไมตรีของเจ็ดจอมยุทธ์บู๊ตึง ตลอดจนความรักอาทรที่เตียซำฮงมีต่อเตียชุ่ยซัว และเจี่ยซุ่นมีต่อเตียบ่อกี้
แต่ว่าความเศร้าสลดในขณะที่เตียซำฮงเห็นเตียชุ่ยซัวกระทำอัตวินิบาตกรรม ตลอดจนเจี่ยซุ่นรับทราบข่าวการตายของเตียบ่อกี้ ในเรื่องเขียนอย่างผิวเผินเกินไป ในชีวิตจริงของมนุษย์ หาได้เป็นเช่นนี้ได้
1
ทั้งนี้เพราะตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจกระจ่าง”
1
กิมย้ง
มีนาคม ค.ศ. 1977
(แปลโดย น. นพรัตน์ สะกดชื่อให้ตรงกับเรื่องรวม)
1
ตอนจบของ ดาบมังกรหยก ต้นฉบับ เตียบ่อกี้ออกจากยุทธจักรไปกับเตี่ยเมี่ยง
1
ในฉบับปรับปรุง กิมย้งทิ้งปลายเปิดว่าเตียบ่อกี้ยังเลือกไม่ถูกว่าจะไปอยู่กับใคร ระหว่างจิวจี้เยียกกับเตี่ยเมี่ยง
1
ขณะเดียวกันจูง่วนเจียง (จูเหยียนจาง) ก็ยึดอำนาจพรรคเม้งก่า ตั้งราชวงศ์ใหม่ กลายเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง
ใครคือจูง่วนเจียง?
ในประวัติศาสตร์ จูเหยียนจาง หรือจูง่วนเจียง (朱元璋) เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ตั้งตนเป็นจักรพรรดิหงหวู่
1
จูเหยียนจางเกิดปี 1328 ในครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในที่ราบลุ่มแม่น้ำหวย (ปัจจุบันคือเขตเฟิงหยางในจังหวัดอานฮุย
เขามีพี่เจ็ดคน หลายคนต้องให้คนอื่นเลี้ยง เพราะไม่มีอาหารพอกิน
เมื่ออายุสิบหก เกิดทุพภิกขภัยร้ายแรง ผลผลิตเสียหายหมด ทั้งครอบครัวอดตาย เหลือเพียงเขากับพี่ชายคนเดียว หลังจากฝังศพครอบครัว ทั้งสองก็ไปเป็นพระ แต่เมื่อวัดไม่มีอาหารพอ ก็ออกมาท่องโลก กลายเป็นคนเร่ร่อน ทำให้เข้าใจชีวิตคนชั้นล่าง ผ่านไปสามปี เขากลับไปเป็นพระอีกครั้ง เรียนหนังสือที่วัด
ต่อมาอีกวัดของจูเหยียนจางถูกกองทัพหยวนทำลาย
ในศตวรรษที่ 14 เมืองจีนประสบทุพภิกขภัย ชาวนาก่อกบฏขยายไปทั่วแผ่นดิน โค่นราชวงศ์หยวนของมองโกล
1
ในปี 1352 จูเหยียนจางอายุ 24 เข้าร่วมกบฏโค่นล้มหยวน เขาไปร่วมกับกลุ่มโพกผ้าแดง ซึ่งคนเห็นว่าเป็นผู้ปกป้องลัทธิขงจื๊อของจีนฮั่น จูเหยียนจางไต่ขึ้นมาเป็นผู้นำกบฏ หมายโค่นหยวน
กบฏโพกผ้าแดงก่อตั้งโดยกั๋วจื่อซิงและสมาคมบัวขาว (白蓮敎) หมายโค่นล้มราชวงศ์หยวนด้วยอาวุธ
จูเหยียนจางก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในปี 1356 กองกำลังของจูเหยียนจางยึดนานจิง และใช้ที่นั่นเป็นฐาน (ต่อมาเป็นเมืองหลวงของหมิง) จูเหยียนจางปกครองอย่างดีและยุติธรรม ทำให้ดึงคนมาอยู่เพิ่มถึงสิบเท่าในช่วงสิบปี
3
ขณะเดียวกันทางการหยวนก็อ่อนแอลงจากภายใน เมืองต่างๆ ตกเป็นของกบฏกลุ่มต่างๆ
หลังจากกบฏโพกผ้าแดงแตกสลาย จูเหยียนจางเป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กกว่าที่เรียกว่าหมิง ราวปี 1360 กลุ่มใหญ่กว่าคือกลุ่มของเฉินหยิ่วเลี่ยง
1
จูเหยียนจางได้คนเก่งหลายคนมาช่วย เช่น จูเซิง, ขุนพลเจียวยี่ และหลิวจี กลายเป็นกุนซือของจูเหยียนจาง
จูเหยียนจางกับเฉินหยิ่วเลี่ยงการรบแบบยืดเยื้อเพื่อชิงดินแดนที่เคยอยู่ในความยึดครองของกลุ่มกบฏโพกผ้าแดง ในยุทธการผอหยาง (鄱陽湖之戰) ปี 1363 จูเหยียนจางเป็นฝ่ายมีชัยอย่างเด็ดขาด
1
ในปี 1367 ทัพจูเหยียนจางกวาดดินแดนต้าโจว ชัยชนะนี้ทำให้จูเหยียนจางมีอำนาจสูงสุดในเหนือและใต้แม่น้ำแยงซี ขุนศึกกลุ่มอื่นๆ มาสวามิภักดิ์
วันที่ 20 มกราคม 1368 จูเหยียนจางปราบดาภิเษกตนเองเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง
1
ปี 1368 กองทัพหมิงกวาดล้างภาคเหนือที่เคยอยู่ใต้อำนาจหยวน ยึดเมืองหลวงมองโกลคือ หยวนต้าตู (ปัจจุบันคือปักกิ่ง) และเมืองอื่นๆ ทางเหนือที่เหลือทั้งหมดในปีนั้น ต่อมาก็กวาดฐานหยวนสุดท้ายที่ยูนนาน
จูเหยียนจางตั้งตนเป็นฮ่องเต้
ราชวงศ์หมิงครองอำนาจโดยสมบูรณ์
หลังจากจูเหยียนจางโค่นราชวงศ์หยวนล้ม พวกมองโกลบางส่วนกลับไปตั้งราชวงศ์หยวนเหนือที่แผ่นดินมองโกลบ้านเกิด
1
รัชสมัยของจักรพรรดิหงหวู่มีความเปลี่ยนแปลง สร้างเกษตรกรรม ลดภาษี ปกป้องชาวนา ยึดที่ดินของคนรวย ห้ามการมีทาสส่วนตัว ขณะเดียวกันก็ปกครองด้วยความโหด ขจัดข้าราชการชั้นสูง แม่ทัพ ทหารจำนวนมาก
แต่ราชวงศ์หมิงก็ย้อนรอยเดิมของราชวงศ์อื่นๆ ที่เสื่อมจากภายใน ด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง จนสิ้นชาติในที่สุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา