3 พ.ย. 2021 เวลา 10:15 • ธุรกิจ
เมื่อพูดถึงเวียดนาม สายคราฟท์เบียร์ย่อมรู้ดีว่าประเทศนี้เป็นสวรรค์ของนักดื่มอย่างแท้จริง การที่ถูกขนานนามว่า “เมืองหลวงคราฟท์เบียร์แห่งเอเชีย” นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย
แต่เดิมชาวเวียดนามมีวัฒนธรรมการต้มและปรุงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาแต่ไหนแต่ไร ย้อนกลับไปได้เป็นร้อยเป็นพันปี แต่หากพูดถึงคราฟท์เบียร์ในแบบที่เรารู้จักกันแบบทุกวันนี้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
เริ่มต้นจากชาวเวียดนามที่เรียนและทำงานในต่างประเทศกลับมาต้มเบียร์ที่ประเทศบ้านเกิดในช่วงปี ค.ศ.1990 แต่เริ่มมีการทำตลาดและขายกันในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในปี 2010 โดยมี “Platinum” เป็นคราฟท์เบียร์รายแรก
รัฐบาลเวียดนามมีกฎระเบียบและขั้นตอนในการตั้งธุรกิจประเภทนี้ไม่ยุ่งยากนัก โดยเฉพาะการไม่กำหนดปริมาณหรือกำลังการผลิตขั้นต่ำ จึงเปิดช่องให้ผู้ผลิตรายเล็กเริ่มต้นธุรกิจอย่างจริงจังได้ง่ายขึ้น
ภาพจาก https://vietcetera.com/en/craft-beer-in-vietnam-a-guide-to-vietnamese-artisanal-brew
ปี 2014 ต่างชาติเข้ามาผลิตและร่วมทุนกับโรงเบียร์ท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก เกิดแบรนด์คราฟท์เบียร์ขึ้นมากมาย เช่น Pasteur Street Brewing Company, Winking Seal, Heart of Darkness, Fuzzy Logic และ C-Brewmaster จนทุกวันนี้เวียดนามมีโรงเบียร์มากกว่า 90 แห่ง
แม้ตลาดเบียร์ในเวียดนาม 90% ถูกครอบครองโดยนายทุนไม่กี่ราย เช่น Sabeco Brewery, Heineken, Carlsberg แต่คราฟท์เบียร์ยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 6% ทุกปีและคาดกันว่าจะมีมูลค่ากว่า 9,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025
กลุ่มลูกค้าหลักของคราฟท์เบียร์คือคนรุ่นใหม่ที่มีสัดส่วนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2045 คาดการณ์ว่าเวียดนามจะมีคนหนุ่มสาววัยทำงานเพิ่มเป็น 50% ของประชากรเลยทีเดียว
ภาพจาก https://edition.cnn.com/2017/07/04/asia/vietnam-craft-beer/index.html
ทุกวันนี้เวียดนามมีโรงเบียร์ขนาดเล็กเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ หลายแห่งได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนต่างชาติเพราะมองเห็นโอกาสเติบโต ทำให้เกิดการพัฒนา สร้างตัวตนและความแตกต่าง
อย่างการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบ เช่น กาแฟ ช็อคโกแลต ตะไคร้ เครื่องเทศต่างๆ หรือแม้แต่ทุเรียน จนทำให้คราฟท์เบียร์เวียดนามมีความหลากหลายมากกว่า 70 ชนิด
ภาพจาก https://www.tumgir.com/thetravellist-net
ความท้าทายหนึ่งที่ผู้ผลิตรายย่อยต้องเจอคือ ราคาที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับเบียร์ท้องตลาดทั่วไป แต่จุดขายสำคัญเรื่องรสชาติ กรรมวิธีการผลิต และรสนิยมในการดื่มของคนรุ่นใหม่ คือสิ่งที่ทำให้คราฟท์เบียร์ยังเติบโตได้
รวมถึงการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้นักดื่มได้เห็นถึงขั้นตอนการผลิต วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนรู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่ายแม้ราคาแพงกว่า 2-3 เท่าก็ตาม
ปัจจุบันคราฟท์เบียร์เวียดนามอยู่ในระดับสากลไปแล้ว ยืนยันความสำเร็จนี้ได้ผ่านรางวัลมากมายที่ได้รับ ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายทั่วอเมริกา,ยุโรปและเอเชียที่เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นจากความเชื่อมั่นในคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภาพจาก https://beerasia.net/craft-beer-guides/vietnam/
อนาคตที่สดใส ช่องทางการทำธุรกิจที่เปิดกว้าง ไม่มีกฎหมายมากีดกัน จึงไม่แปลกเลยที่คราฟท์เบียร์ไทยหลายแบรนด์ต้องออกไปผลิตที่เวียดนามแล้วส่งมาขายให้คนไทยอีกทอดหนึ่ง
และหลายครั้งได้รับรางวัลระดับโลกภายใต้ชื่อแบรนด์และเจ้าของที่เป็นคนไทย แต่กลับกลายเป็นรางวัลในนามประเทศเวียดนามตามฐานที่ตั้งการผลิ
นับเป็นเรื่องเศร้าที่รัฐไทยกีดกันนักปรุงเบียร์และนักธุรกิจ และพร่ำสอนเราว่าของมึนเมาคือสิ่งผิดต่อศีลธรรมอันดีงามที่ต้องควบคุม แต่กลับควบคุมประชาชนเพื่อให้บางคนสุขสบาย
'ศิวิไลซ์' หนึ่งในเบียร์ที่ได้รับรางวัลจากเวที World Beer Awards 2020 ในฐานะเบียร์เวียดนาม (ภาพจาก https://voicetv.co.th/read/_O9fYqhhr)
โฆษณา