16 พ.ย. 2021 เวลา 06:32 • ประวัติศาสตร์
มรรควิธีสู่สุขาวดี
ประวัตินิกายสุขาวดี (๔)
เรื่อง “พระเถระเหยียนโซ่ว”
เรียบเรียงโดย คลังพุทธศาสนา
พระเถระหย่งหมิง เหยียนโซ่ว เป็นชาวเมืองหลินอัน มีช่วงชีวิตระหว่างปี ค.ศ. ๙๐๔ - ๙๗๕ เป็นพระที่มีชื่อเสียงในยุคห้าราชวงศ์และสิบก๊ก ท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดและขยันหมั่นเพียรมาตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ ๑๖ ปี ท่านเขียนเรียงความบทกวีถวายแก่กษัตริย์แคว้นอู่เยวจนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
เมื่ออายุ ๒๘ ปีท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเสบียงทางทหาร แต่เพราะท่านมีเมตตาจึงนำเงินหลวงเพื่อปลาและกุ้งเพื่อปล่อยพวกมันไปจึงถูกจับได้หลายครั้งกระทั่งในที่สุดถูกตัดสินประหารชีวิต เมื่อถูกส่งตัวไปประหารท่านยังคงสงบนิ่งและไม่แสดงความกลัว เมื่อถูกซักถามเหตุผลว่าทำไมจึงไม่หวั่นเกรงอันใด ท่านกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่าท่านมิได้นำเงินหลวงมาใช้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสรรพชีวิตทั้งหลาย กษัตริย์แคว้นอู๋เยวได้ยินดังนั้นจึงปล่อยตัวท่านไป
ในปี ค.ศ. ๙๓๓ ท่านไปบวชที่วัดหลงเช่อ ได้รับการอบรมสั่งสอนโดยพระฌานาจารย์ในนิกายฉาน (หรือนิกายเซน) คือพระเถระชุ่ยเหยียน ลิ่งชาน หลังจากที่ได้บวชเป็นพระแล้วท่านก็ขยันขันแข็งมากขึ้นกว่า แต่ก่อนในตอนกลางวันทำงานหนักในตอนกลางคืนศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนและฝึกสมาธิ กินผักป่าทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
มีเรื่องเล่าขานกันว่าครั้งหนึ่งท่านกระทำประทักษิณสักการะรูปพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ จู่ๆดอกบัวที่ท่านถวายใส่หัตถ์ของรูปโพธิสัตว์ก็มาปรากฏอยู่ในมือของท่านเอง อีกครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตวรมาปรากฏกายแก่ท่านแล้วใช้หยาดน้ำค้างเริ่มที่ริมฝีปากท่าน
ต่อมาท่านเดินทางไปที่ภูเขาเทียนไทเพื่อนมัสการพระอาจารย์เทียนไท เต๋อเสา ครั้งหนึ่งเมื่อทุกคนที่วัดกำลังตรากตรำอยู่บนภูเขาท่านหย่งหมิง เหยียนโซ่วได้ยินเสียงฟืนตกลงพื้นและบรรลุการรู้แจ้งในพลันสมดังธรรมกถาที่ว่า “ฟืนที่ตกลงมานั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด ทุกสิ่งรอบตัวไม่ใช่ฝุ่น ภูเขาและแม่น้ำล้วนเป็นการสำแดงของพระพุทธเจ้า” การรู้แจ้งของท่านได้รับการยืนยันว่าจริงแท้ ท่านเต๋อเสายังทำนายว่าในภายภาคหน้า ท่านเหยียนโซ่วจะส่งเสริมพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง แต่เสียดายที่ท่านไม่อาจมีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันนั้น
บางตำราก็ว่าท่านเพื่อเสาทำนายว่าในกาลข้างหน้าท่านเหยียนโซ่วจะเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลต่อมาท่านได้เป็นธรรมทายาทของพระเถระเต๋อเสาเป็นบูรพาจารย์ท่านที่สามของนิกายฝ่าเหยียน
กระนั้นก็ตามพระเถระหย่งหมิง เหยียนโซ่ว ยังสอนธรรมตามแนวทางสุขาวดีด้วย ท่านเชี่ยวชาญในคำสอนของมหายานนานานิกาย และได้ผสมผสานนิกายฉานเข้ากับนิกายสุขาวดีอย่างกลมเกลียว อันจะเป็นรากฐานสำคัญของพุทธศาสนาในจีนในกาลต่อมาที่จะเน้นการปฏิบัติสองนิกายควบคู่กันไป
ในปี ๙๖๐ กษัตริย์แคว้นอู๋เยวได้ถวายตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหลิงอิ่นในเมืองหางโจวให้กับพระเถระหย่งหมิง เหยียนโซ่ว วัดนี้เป็นวัดสำคัญยิ่งของประเทศจีนปัจจุบันก็ยังคงความสำคัญมิเสื่อมคลาย
ในปีถัดไปกษัตริย์แคว้นอู๋เยว่ได้เชิญพระเถระหย่งหมิง เหยียนโซ่วไปเป็นเป็นเจ้าอาวาสวัดนามเดียวกับท่าน คือวัดหย่งหมิง (ปัจจุบันคือวัดจิ้งฉือในเมืองหางโจว) ท่านมีศิษย์มากกว่า ๒,๐๐๐ คน
กระทั่งเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ปี ค.ศ. ๙๗๕ พระเถระหย่งหมิงเหยียนโซวก็นั่งขัดสมาธิและมรณภาพในวัย ๗๒ ปีที่วัดหย่งหมิง ทุกวันนี้ยังมีสถูปของท่านอยู่ที่วัดจิ้งฉือ
ว่ากันว่าพระเถระหย่งหมิง เหยียนโซ่ว เป็นนิรมาณกายของพระอมิตาภพุทธเจ้า บ้างก็ว่าเป็นพระเถระซานต่าวกลับชาติมาเกิด แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่าท่านคือผู้วางรากฐานการปฏิบัติแบบเซนผสมสุขาวดี
คำสอนของพระเถระหย่งหมิงเหยียนโซ่วที่เป็นหัวใจของการผสมผสานเซนกับสุขาวดี มีดังนี้
1. มีฉานไม่มีสุขาวดี มีสิบคนเก้าคนจะเวียนว่าย เมื่ออยู่ในภาวะระหว่างตายเกิด จะถูกกรรมซัดพาไปในพลัน
2. ไร้ฉานมีสุขาวดี หมื่นคนปฏิบัติได้ไปทั้งหมื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าพระอมิตาภพุทธ ไยต้องกังวลว่าจะไม่บรรลุ
3. มีฉานมีสุขาวดี เปรียบดังเสือมีเขา ภพมนุษย์นี้เป็นครูบาอาจารย์ ชาติภพหน้าเป็นพระพุทธะ
4. ไร้ฉานไร้สุขาวดีมีเตียงเหล็กกับเสาสำริดในนรก แสนกัปพันภพชาติ ไร้ผู้ใดให้พึ่งพา
เรียบเรียงโดย พระวิศวภัทร
ภาพ Aputi.com

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา