Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Love Buddha
•
ติดตาม
22 พ.ย. 2021 เวลา 04:16 • ประวัติศาสตร์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
วรรค ๔๑ สิ้นอาสวะจึงพบพระพุทธองค์
อุปมาพระเจ้าจักรพรรดิราชมีพันธนาคาร ประกอบด้วยรัตนะเจ็ดประการ ราชบุตรเมื่อลุแก่โทษ จึงถูกจองจำในนั้นที่ซึ่งประกอบด้วยปราสาทอันงดงามตระการตา มีรัตนวิสูตร แท่นบรรทมทองคำ ช่องบัญชรและพระอาสน์ที่ประดับตบแต่งวิจิตรพิสดาร เครื่องราชูปโภคกระยาหาร ภูษาทรง ก็ประหนึ่งพระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งยังมีตรวนทองคำล่ามไว้ที่เท้าทั้งสอง บรรดายุวราชกุมารทั้งหลายจักเป็นสุขอยู่หรือไม่
พระเมตไตรยะทูลว่า หามิได้พระโลกนาถเจ้า ก็เมื่อเพลาที่ถูกจองจำนั้น ดวงจิตมิเป็นอิสระ จึงใช้อุปายะนานาประการ เพื่อให้หลุดออกไปได้ ขอให้บรรดาอำมาตย์คนสนิทช่วยเหลือ แต่ที่สุดย่อมมิสมดั่งใจต่อเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทรงพอพระทัย แล้วจึงจักหลุดพ้นได้
มีพุทธดำรัสกับพระเมตไตรยะว่า บรรดาสรรพสัตว์ที่เป็นเช่นนี้ หากตกสู่ห้วงวิจิกิจฉา ความเคลือบแคลง และกุกกุจจะ ความเศร้าใจแล้ว ปรารถนาพุทธปัญญาจนถึงมหาอจินไตยปัญญา แต่กุศลมูลของตนมิอาจยังให้เกิดศรัทธา เหตุเพราะได้สดับพระพุทธนามแล้วจึงเกิดจิตศรัทธา แม้นจักไปอุบัติยังโลกธาตุแห่งนั้น แต่มิสามารถออกจากปทุมชาตินั้นได้ อันปทุมครรภ์นั้นมีสัญญาลักษณะอยู่เช่นหนึ่งคือ อุทยานปราสาทมณเฑียรปรากฏอยู่ภายใน เหตุไฉนนั้นฤา เพราะในนั้นบริสุทธิ์สะอาดปราศจากความชั่วสกปรกทั้งปวง ยังให้ห้าร้อยปีมิได้พบพระรัตนตรัย* มิอาจถวายสักการะสนองกิจของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังห่างไกลจากกุศลมูลที่ประเสริฐทั้งปวง เช่นนี้จึงเรียกว่าเป็นทุกข์ มิน่ายินดี** หากหมู่สัตว์เหล่านี้ได้ระลึกในมูลบาป*** แล้วสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้งแล้วไซร้
*กล่าวคือ พระรัตนตรัยจักเกิดมีขึ้น เนื่องจากหมู่สัตว์มีอินทรีย์ที่พอจักเข้าใจธรรมได้ เช่นพุทธสมัยของพระศากยมุนีพุทธเจ้า มนุษย์มีอายุโดยประมาณ ๑๐๐ ปีเมื่อพระองค์เทศนาเรื่องทุกข์ของชาติและมรณะหมู่สัตว์จึงมองเห็นสภาวธรรมนั้นโดยง่าย แต่สัตว์ในสุขาวดีที่เกิดโดยครรภ์เป็นผู้พกพาวิบากกรรมจากโลกธาตุอื่น ๆ แล้วไปเกิดยังสุขาวดียังมีปัญญาน้อยมิอาจเห็นสภาวธรรมได้เป็นเวลา ๕๐๐ ปีจึงได้ แต่สำนึกความผิดของโดยปฏิบัติสมาธิในดอกบัวของตนเป็นเวลายาวนานแทนการไปรับทุกข์ในอบายภูมิต่างๆและอุปมาว่าผู้ที่พกพากรรมไปเกิดเสมือนราชบุตรถูกคุมขังในปราสาทที่วิจิตรงดงามอันหมายถึงสภาวจิตที่ยังไม่หลุดพ้นนั่นเอง
**แม้การได้ไปเกิดในสุขาวดี แต่ขาดปัญญาที่ผ่านการอบรมมาดีแล้วยังถือว่าไกลจากกุศลที่ประเสริฐอยู่การมิได้พบพระรัตนตรัย ฯลฯ จึงถือเป็นทุกข์และไม่น่ายินดี
***ความหมายคือความสงสัย, อวิชชาอันเป็นฐานของอกุศลทั้งปวง
จึงเกิดความปรารถนาจักออกจากสถานแห่งนั้น เมื่อบาปโทษบุพชาติสิ้นแล้ว ภายหลังจึงออกมาได้ แล้วไปเฝ้าพระอมิตายุสอรหันตสัมมาสัมพุทธะยังที่ประทับ เพื่อสดับพระธรรมเทศนา ผ่านไปหลายเพลาจึงจักรู้แจ้งและเป็นสุข(เพราะหมดกิเลส) สามารถถวายสักการะพระพุทธเจ้าจำนวนอสงไขยและอมิตะพระองค์* เพื่อบำเพ็ญกุศลทั้งปวง
*อสงไขย คือ นับไม่ได้ถ้วนมีจำนวนมากจนนับไม่ได้ทั้งหมด และอมิตะ คือ ประมาณมิได้เพราะมีจํานวนมากเกินประมาณ
อชิตะ* เธอพึงทราบเถิดว่า วิจิกิจฉากิเลส คือเภทภัยอันใหญ่หลวงของบรรดาโพธิสัตว์ ยังให้วิบัติในมหาหิตประโยชน์ ด้วยเหตุนี้จึงแจ้งในศรัทธาที่มีต่ออนุตรปัญญาญาณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง
*อชิตะคือนามหนึ่งของพระศรีอาริยเมตไตรยมหาโพธิสัตว์
พระเมตไตรยะทูลว่า แล้วเวไนยสัตว์ใน(สหา)โลกธาตุแห่งนี้ประเภทใดเล่าหนอ ที่แม้นจักบำเพ็ญกุศลแต่มิได้อุบัติ (ที่สุขาวตีโลกธาตุ)
ตรัสว่า หมู่สัตว์ที่มีปัญญาญาณตื้นเขิน แยกแยะประจิมทิศว่ามิเสมือนทิพยโลกหาใช่สุขารมณียสถานไม่ จึงปรารถนาไปอุบัติยังที่นั้น
ทูลว่า หมู่สัตว์ประเภทนี้ได้แยกแยะด้วยความไม่จริง เมื่อมิปรารถนาพุทธเกษตรแล้ว จักเว้นเสียจากสังสารวัฏกระไร
ตรัสว่า หมู่สัตว์เหล่านี้ได้ปลูกฝังกุศลมูลไว้ แต่มิอาจอุเบกขาในบุญนั้น* ไม่ปรารถนาพุทธปัญญา หลงจมอยู่ในโลกียสุขและบุญวาสนาของโลก
*ผู้ติดบุญ คือ ทำบุญกุศลเพื่อปรารถนาเป็นเทพ พรหมเท่านั้น มิใช่ทำบุญเพื่อลดละกิเลสความโลภ เพื่อให้กิเลสสิ้นไป แต่พอใจเพียงกามสุขที่ประณีตกว่าของมนุษย์ เป็นผู้ไม่มีปัญญา เพราะบุญนั้นยังให้เกิดในสุคติภูมิ ยังต้องมาเกิดอีก(เพราะยังมีตัณหาอวิชชา) แต่ปัญญายังให้เกิดในพุทธเกษตรจนถึงพระนิรวาณในที่สุด
แม้นจักบำเพ็ญกุศลก็เป็นไปเพื่อปรารถนาลาภผลของมนุษย์และเทวดา เมื่อวิปากผลสนอง คือ มีทุกสิ่งพร้อมมูล แต่กระนั้นก็ยังหลุดพ้นจากเครื่องจองจำของตรีภูมิมิได้ แม้ว่าบิดา มารดา ภริยา แลบุตร เครือญาติ หญิง ชายต่างปรารถนาจักอนุเคราะห์กันให้พ้นราชาแห่งกรรม คือ มิจฉาทัศนะ* เมื่อสละทิ้ง (ซึ่งความเห็นผิด)มิได้ จึงต้องว่ายเวียนในสังสารวัฏอยู่เป็นนิจ เป็นผู้ไร้อิสรภาพ เธอพึงพิจารณาโมหบุรุษ ผู้มีปลูกฝังกุศลมูลที่ฉลาดหลักแหลมในปัญญาอย่างโลก แต่จิตใจชั่วร้ายเป็นทวีคูณเช่นนี้แล้ว จักพ้นภัยพิบัติที่ร้ายแรงของสังสารวัฏได้อย่างไร
*หรือมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดจากความเป็นจริงที่กล่าวว่าเป็นราชาแห่งกรรมเพราะมีความเห็นผิดจึงยึดมั่นถือมั่นในตัวตนยังให้เกิดทุกข์สืบเนื่องไม่สิ้นสุด
**การปลูกฝังกุศลมูลในความหมายนี้ คือ เพื่อลดละกิเลสแล้ว หวังใจสู่ความดับทุกข์ หรือความหมายคือการเจริญพุทธานุสสติ ภาวนาพุทธนาม(เป็นเหตุ) การไปเกิดที่สุขาวดีและตรัสรู้โพธิญาณ(เป็นผล) แต่การปลูกฝังกุศลแบบชาวโลกที่เรียกว่า โมหบุรุษหรือผู้ไม่เขลานั้นคือการทำกุศลเพื่อหวังวาสนาแบบโลกๆ ยังให้เวียนว่ายในสังสารวัฏไม่จบสิ้น
ยังมีหมู่สัตว์ที่แม้นได้ปลูกฝังกุศลมูลและกระทำมหาบุญเกษตรเอาไว้ แต่กลับติดยึดแบ่งแยก* มีความยึดมั่นหนักหนา เมื่อปรารถนาพ้นจากสังสารวัฏ แต่ที่สุดมิอาจบรรลุถึง หากอาศัยอนิมิตปัญญา**ในการปลูกฝังกุศลมูลทั้งปวง มีกายและจิตบริสุทธิ์ ไกลจากความแบ่งแยกแล้ว ปรารถนาไปอุบัติที่วิสุทธิเกษตร ยินดี ชื่นชมในพระพุทธโพธิ ก็ย่อมได้อุบัติยังพุทธเกษตรและบรรลุถึงพระวิมุตติเป็นนิจกาล
*หมายถึงการแบ่งแยกเราเขาฐานะปัญญาลัทธินิกายเป็นต้นเป็นเพราะ ”ขาดปัญญา” หยั่งเห็นอนัตตาของสรรพสิ่งและ ”ขาดเมตตากรุณา” ไม่เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายล้วนมีทุกข์จากการเกิดตายเสมือนกับเราทั้งสิ้น
**อนิมิตปัญญาคือปัญญาที่หานิมิตใด ๆ มิได้ปัญญาที่ไม่ยึดในเครื่องหมายสัญลักษณ์ใด ๆ
พระวิศวภัทร แปล
Aputi.com
ภาพ
ประวัติศาสตร์
จีน
เรื่องเล่า
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
มหาสุขาวตีวยูหสูตร
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย