6 ธ.ค. 2021 เวลา 01:09 • คริปโทเคอร์เรนซี
ประวัติ Ethereum ตอนที่ 1 : Cypherpunks ‘ Freedom Dreams
9
ในปี 2008 เป็นเวลา 5 ปีก่อนที่แนวคิดของ Ethereum จะเริ่มปรากฏ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้น แต่มันก็เริ่มต้นด้วยความทุลักทะเล แนวคิดเช่นเดียวกับ Bitcoin มันไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น เหล่านักเข้ารหัสพยายามที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลแบบ peer-to-peer (P2P) มาตั้งแต่ช่วงทศวรรรษที่ 1980
7
ประวัติ Ethereum ตอนที่ 1 : Cypherpunks ‘ Freedom Dreams
David Chaum เห็นว่าการมาถึงของการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถคุกคามความเป็นส่วนตัวได้ และได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการป้องกันสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเขาได้คิดค้นระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถูกเรียกว่า eCash ในปี 1983
1
แต่ก็ต้องบอกว่า eCash นั้นไม่ใช่ได้รับการออกแบบมาให้มีการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์นัก ต้องอาศัยธนาคารกลางในการลงนามสกุลเงินดิจิทัล และมีความเสี่ยงต่อการถูกเซ็นเซอร์ แต่นวัตกรรมของ Chaum เป็นก้าวแรกที่สำคัญของการสร้างมันขึ้นมาจริง ๆ ของระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล
9
หลังจากนั้น Hacker ที่มีชื่อว่า Jude Milhon หรือที่รู้จักกันดีในนามแฝง St.Jude ได้รวมเอาคำว่า “cypher” (วิธีในการเข้ารหัสข้อมูล) และ “cyberphunk” (ประเภทย่อยของนิยายวิทยาศาสตร์ที่แสดงถึงโลกที่ไฮเทคและสังคมที่แตกสลาย เพื่อสร้างกลุ่มที่มีชื่อว่า “Cypherpunks”
1
กลุ่ม Cypherpunks มองว่าการเข้ารหัสจะเป็นเครื่องมือในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในวงกว้าง และปลอดจากการควบคุมของรัฐ เงินดิจิทัลแบบ P2P จะเป็นหัวใจสำคัญของการปลดแอกจากธนาคารและรัฐบาลกลางของแต่ละประเทศ
5
ซึ่งไม่นานสมาชิกของกลุ่ม Cypherpunks ก็เพิ่มขึ้นหลายร้อยคน โดยส่วนใหญ่จะเริ่มก่อตั้งขึ้นด้วยกลุ่มคนแถบซานฟรานซิสโก
ซึ่งในขณะที่ Cypherpunks กำลังก้าวไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวของโลกโอเพ่นซอร์ส ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยี blockchain ก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน
2
ในปี 1983 Richard M.Stallman เจ้าหน้าที่โปรแกรมเมอร์ของมหาวิทยาลัย MIT ได้สร้างระบบปฏิบัติการชื่อ GNU ซึ่งจะให้บริการฟรีและทุกคนสามารถเข้าถึงได้
1
หลังจากนั้น Stallman ได้ก่อตั้ง Free Software Foundation และ GNU (General Public License) ซึ่งระบุว่าทุกคนสามารถใช้ คัดลอก แจกจ่าย และแก้ไขซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นภายใต้สิทธิ์ใช้งานรูปแบบดังกล่าวได้ฟรี ซึ่ง Linux ที่เป็นระบบปฏิบัติการที่ทำงานบนใบอนุญาต GNU ก็ได้เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990
Richard M.Stallman ผู้ริเริ่มแนวคิด GNU (CR:The Boston Globe)
ในปี 1999 ได้เกิดบริการอย่าง Napster ที่ได้เปิดตัวเว็บไซต์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์เพลงดิจิทัลระหว่างกันได้ ทำให้เพลง MP3 หลายแสนเพลงพร้อมให้ทุกคนในโลกใช้ได้กันได้แบบฟรี ๆ ทันที
1
จากนั้นในปี 2001 BitTorrent ได้เปิดตัวขึ้นโดยทำกับไฟล์ภาพยนตร์และไฟล์ที่ขนาดใหญ่กว่าที่ Napster ทำกับเพลง ซึ่งพวกเขาได้สร้างแอปพลิเคชั่นแบบ P2P เข้ามาสู่กระแสหลักได้สำเร็จ
3
แต่ปัญหาคือในช่วงปี 1980-1990 นั้น มีปัญหาสำคัญที่กลุ่ม Cypherpunks พยายามแก้ไขปัญหาแต่ยังไม่สำเร็จของการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแบบ P2P นั่นก็คือปัญหา “double spending”
2
ซึ่งปัญหา double spending คือ การที่เงินในรูปแบบดิจิทัลนั้น เราสามารถที่จะใช้ token เดียวกันในการจ่ายเงินได้มากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งเนื่องจาก digital token นั้นอยู่ในรูปแบบของ file digital ซึ่งสามารถที่จะทำซ้ำหรือปลอมแปลงขึ้นมาได้ง่าย เช่นเดียวกับรูปแบบของเงินปลอม ซึ่งปัญหาของ double-Spending หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจนำมาซึ่งอัตราเงินเฟ้อได้ในระยะยาว และอาจจะทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานในที่สุด
10
ในปี 1998 นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ Wei Dai ได้คิดค้น B-money และ Nick Szabo ได้คิดค้น Bit Gold พวกเขาทั้งสองเสนอแผนการที่อนุญาตให้เครือข่ายผู้ใช้ทำธุรกรรมด้วยเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องใช้คนกลาง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกนำมาใช้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้แก้ปัญหาในเรื่อง double-spend ได้อย่างเมีประสิทธิภาพมากนัก
3
กลุ่ม Cypherpunks ได้ปรับปรุงพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดการพัฒนาครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคมปี 2008 เมื่อมีบุคคลนิรนามชื่อ Satoshi Nakamoto” ได้ส่งอีเมลมาถึงกลุ่ม โดยมีหัวข้อคือ
4
“ผมกำลังทำงานกับระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ที่ทำงานแบบ P2P โดยไม่มีบุคคลที่สามที่น่าเชื่อถือ”
ซึ่งอีเมลฉบับดังกล่าวได้แนบไฟล์ PDF จำนวน 9 หน้า ที่ระบุว่ามันทำงานอย่างไร ซึ่งเขาได้เสนอให้แก้ปัญหา “double spend” โดยใช้ “เครือข่าย P2P ซึ่งจะมีการประทับเวลาในการทำธุรกรรมโดยเชื่อมโยงเข้ากับห่วงโซ่การพิสูจน์การทำงานของแฮช”
2
โดยในบทความเรื่อง “Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System” Nakamoto ได้เสนอเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเก็บสำเนาประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดของเครือข่าย ซึ่งเป็นบัญชีแยกประเภท (Ledger) ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ
2
โดยที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดบัญชีแยกประเภทลงในคอมพิวเตอร์และเข้าร่วมเครือข่ายได้ฟรี ประวัติการทำธุรกรรมทั้งหมดจะเปิดให้ทุกคนเห็น แต่ผู้ใช้ที่อยู่เบื้องหลังธุรกรรมนั้นจะมีนามแฝง ซึ่งจะมีการระบุด้วย Public Key เท่านั้นซึ่งเป็นตัวอักษรและตัวเลขที่เดาได้ยาก และมีเพียงผุ้ใช้ที่ควบคุม Private Key ที่จำเป็นในการเข้าถึงเงินที่เชื่อมโยงกับที่อยู่ใน Bitcoin ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมแบบพิเศษ และจะเป็นครั้งแรกที่ผู้คนสามารถเป็นธนาคารของตนเองได้อย่างแท้จริง
6
และเมื่อมีการทำธุรกรรมเกิดขึ้น จะมีการส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายเพื่อให้พวกเขาอัปเดตบัญชีแยกประเภท ธุรกรรมจะถูกรวมกลุ่มเข้าด้วยกันเพื่อสร้างบล็อกของข้อมูล และเมื่อบล็อกเต็ม คอมพิวเตอร์จะแข่งขันกันเพื่อไขปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบธุรกรรม ปิดผนึกบล็อก และบันทึกลงในบัญชีแยกประเภท
5
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นงานทางด้านคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้พลังในการประมวลผลสูงมาก คอมพิวเตอร์ที่แก้ปัญหาได้จะได้รับเหรียญและค่าธรรมเนียมเป็นรางวัล กระบวนการนี้เรียกว่าการ “ขุด” ใช้เวลาประมาณสิบนาทีต่อบล็อกใน blockchain ของ Bitcoin
2
“การเพิ่มจำนวนเหรียญใหม่อย่างต่อเนื่องนั้นคล้ายคลึงกับนักขุดทองที่ใช้ทรัพยากรเพื่อเพิ่มทองคำในการนำมาหมุนเวียน แต่ในกรณีของ Bitcoin จะใช้ CPU และกระแสไฟฟ้าที่มีการจ่ายเข้าไปในระบบ” Nakamoto กล่าว
1
และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของโอเพ่นซอร์ส Bitcoin เป็นโปรโตคอลแบบเปิดที่ทุกคนสามารถเข้าร่วม แก้ไข หรือแม้แต่คัดลอกเพื่อสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองได้
2
บล็อกแรกของ Bitcoin blockchain ถูกขุดขึ้นในปี 2009 หลังจากนั้นก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมาก็จะมีการยืนยันบล็อกใหม่ในทุก ๆ สิบนาที และจะมีการออกจำนวน Bitcoins ที่น้อยลง รวมถึงความยากในการขุดเพิ่มขึ้น ซึ่งในระบบทั้งหมดจะมีจำนวน 21 ล้านเหรียญ
4
Hal Finney ผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยการพิสูจน์การทำงานและอยู่ในรายชื่อ mailing list ของ Cypherpunks ได้รับธุรกรรม Bitcoin ครั้งแรกจาก Satoshi Nakamoto ส่วน โปรแกรมเมอร์ Laszlo Hanyecz ได้ทำการซื้อครั้งแรกด้วยสกุลเงินดิจิทัลเมื่อเขาซื้อพิซซ่า 2 ถาดด้วยเงิน 10,000 bitcoins ในปี 2010
5
Laszlo Hanyecz ซื้อพิซซ่าในตำนานด้วยมูลค่า 10,000 bitcoin (CR:LADbible)
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ Bitcoin เกิดในปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติการเงินโลก ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในระบบการเงินเริ่มแย่งลงหลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด ปัญหาจากการขายอนุพันธ์ที่มีความซับซ้อนจากลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ แต่แทบไม่มีใครรับผิดชอบเมื่อทุกอย่างมันพังทลายลงมา
4
ต้องบอกว่าการก่อกำเนิดขึ้นของ Bitcoin นั้น ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้คนสามารถถ่ายโอนเงินดิจิทัลข้ามทวีปโดยไม่ผ่านคนกลางในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที และปราศจากการเซ็นเซอร์
2
ไม่มีธนาคารกลางที่ออกเหรียญและกำหนดนโยบายการเงิน ไม่ต้องใช้บัญชีธนาคาร ไม่มีผู้ที่ต้องมาประมวลผลที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจำนวนมากระหว่างการแลกเปลี่ยน ไม่มีการควบคุมสกุลเงิน มีเพียงสิ่งจำเป็นอย่างเดียวก็คือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ราคาของเหรียญถูกกำหนดโดยตลาดเสรี
ในขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมอาจใช้เวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์และเรียกเก็บเงินมากถึง 50 ดอลลาร์ สำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ พวกเขาสามารถปฏิเสธการให้บริการแก่ธุรกิจที่พวกเขาไม่เห็นด้วย และรัฐบาลสามารถลดค่าสกุลเงินท้องถิ่นด้วยการพิมพ์เงินใหม่ออกมาได้เรื่อย ๆ
1
หลังจากการถือกำเนิดขึ้นของ Bitcoin ในช่วงปี 2011-2013 นักพัฒนาทั่วโลกได้เริ่มสร้างแอปพลิเคชั่นบน Bitcoin รวมถึงสำรวจการใช้งานอื่น ๆ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์แบบกระจายอำนาจ สิทธิ์ในทรัพย์สิน ฯลฯ
7
ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับโครงการต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลักดันให้ Bitcoin มูลค่าสูงขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์ และไปถึง 1,000 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในปี 2013 แต่ก็ยังไม่ได้มีการนำมาใช้งานจริง ๆ จัง ๆ มากนัก และในไม่ช้าก็ทำให้ราคาของ Bitcoin ร่วงลงมาที่ 500 ดอลลาร์อีกครั้ง
แต่ชุมชน Bitcoin ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มที่มีพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีหรือเศรษฐศาสตร์ พวกเขารวมตัวกันในฟอรัมออนไลน์ BitcoinTalk และ Reddit ซึ่งไม่สำคัญเลยที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันหรือไม่รู้จักชื่อจริงของกันและกันเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขามีเป้าหมายร่วมเดียวกัน
5
สำหรับพวกเขาเหล่านี้ Bitcoin เป็นมากกว่าเงินดิจิทัล มันแสดงถึงระบบความเชื่อ และฟอรัมเหล่านี้มักจะเป็นที่เดียวที่พวกเขารู้สึกอุ่นใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน
4
ในเดือนมีนาคมปี 2011 ชุมชนได้สมาชิกใหม่ที่ชื่อ Vitalik Buterin อายุ 17 ปี และโพสต์แรกของเขาในฟอรัม BitcoinTalk กล่าวว่า :
2
“ผมมีแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความไม่สะดวกในการจ่ายเงินน้อยกว่า 5 ดอลลาร์ ด้วยเครื่องมือทั่วไป เช่น บัตรเครดิต หรือ Paypal และมีวิธีที่ Bitcoin จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้”
1
ต้องบอกว่าเป็นโพสต์ที่ไม่มีความซับซ้อน แต่มันเป็นการแก้ไขปัญหาครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เขาจะเป็นชายที่สร้างผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดของชุมชม Bitcoin นับตั้งแต่ที่ Satoshi Nakamoto ชายนิรนามที่เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ในปี 2008
2
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับชายที่ชื่อ Vitalik Buterin เขากำลังคิดสร้างอะไร แล้วมันจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม
2
อ่านตอนที่ 2 : Crypto Anarchy
ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ
1
ผู้สนับสนุน..
บริษัท ดาวิน เทคโนโลยี (Davin Technology) เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางการเกษตร การประมง และปศุสัตว์ ได้จัดตั้งขึ้นมาจากการรวบรวมปัญหาและอุปสรรคในการใช้อุปกรณ์ IoT และ Smart Farm จากสภาพใช้งานจริง
ด้วยการประสานความสามารถของอุปกรณ์ให้ติดตั้งง่ายและยืดหยุ่น ให้ทำงานร่วมกับ Application บน Smart Phone และช่วยบันทึกและจัดเก็บทุกสภาพอากาศและปัจจัยต่างๆ เพื่อพัฒนาและปรับใช้ในการควบคุมและเพิ่มผลผลิตอย่างเหมาะสม ผ่านโครงข่าย 4G/5G
สามารถติดต่อให้ ดาวิน เทคโนโลยี เข้าไปเป็นผู้ช่วยคุณได้ที่ https://www.davin.tech/ อัปเดตกิจกรรมและข่าวสารที่ https://www.facebook.com/davin.technology หรือโทร 080-296-2895
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
อย่าลืมเข้าไปพูดคุยกันในกลุ่มสำหรับ Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
คลิกเลย --> https://bit.ly/3E2DdM8
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา