7 ธ.ค. 2021 เวลา 14:30 • บันเทิง
Tilly Birds
“It’s Gonna Be OK (2021)” (92%)
รีวิวอัลบั้ม
ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของวงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟน้องใหม่จากค่าย Gene Lab ที่มีชื่อว่า Tilly Birds ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ เติร์ด อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) บิลลี่ ณัฐดนัย ชูชาติ (กีต้าร์) และ ไมโล ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) อ้างอิงได้จากความสำเร็จอันล้นหลามในปีที่ผ่านมาตั้งแต่เพลงฮิตระดับมหาชนอย่าง คิด(แต่ไม่)ถึง [Same Page?] และ จำเก่ง (Slipped Your Mind) ที่ทางวงไปร่วมแจมและโปรดิวซ์ในซิงเกิลของ กอล์ฟ F.HERO ที่ฟังกันจนติดงอมแงมชนิดที่ว่าร้องกันได้ติดปากทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งสองเพลง
รวมถึงงานอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา ผู้เดียว The Album ที่ได้รับฟีดแบคที่ดีเป็นอย่างยิ่งจากผู้ฟัง ดังจะเห็นได้จากยอดขายอัลบั้มที่ทยอยออกมาทั้งในรูปแบบ CD, Vinyl LP และ Cassette Tape และอันดับเพลงที่ถูกกระหน่ำเปิดในคลื่นวิทยุ จำนวนการฟังบน Online Streaming Platforms ไปจนถึงการถูกกล่าวถึงในสื่อสังคมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากไม่เพียงแต่เพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเพลงอื่น ๆ อีกหลายเพลงในอัลบั้มดังกล่าวซึ่งได้รับการยอมรับและถูกพูดถึงเช่นกัน นับเป็นผลงานชิ้นแจ้งเกิดของพวกเขาอย่างชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัย
“It’s Gonna Be OK” คือชื่อของผลงาน Studio Album ลำดับที่ 2 ของพวกเขา Tilly Birds โดยซิงเกิลแรกของอัลบั้มอย่าง “เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน (Just Being Friendly) ft.MILLI นั้น ถูกปล่อยออกมาให้ฟังกันตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2021 ซึ่งเพลงดังกล่าวก็ได้กระแสตอบรับจากผู้ฟังอย่างล้นหลามเช่นเคย โดยมียอดชมบน Youtube สูงกว่าหนึ่งร้อยล้านครั้ง โดยเป็นเพลงลำดับที่ 2 ของพวกเขาที่ทำได้ ถัดจากเพลงแรกอย่าง คิด(แต่ไม่)ถึง [Same Page?] จากอัลบั้มแรก และได้รับกระแสผู้ฟังอีกส่วนหนึ่งจากแอพพลิเคชัน TikTok จากการมีท่วงทำนองที่สนุกสนาน เนื้อหาโดนใจเข้าถึงง่ายและท่อนจำที่ติดหูชวนให้ร้องเต้นตาม รวมถึงเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งแรกของทางวงกับแรปเปอร์หญิงที่ร้อนแรงที่สุดในศักราชนี้อย่าง MILLI
ในช่วงเวลาสามเดือนก่อนปล่อยอัลบั้มเต็ม พวกเขาได้ปล่อยเพลงและมิวสิควิดีโอโปรโมทอย่างต่อเนื่องอีกสามซิงเกิลได้แก่ ลู่วิ่ง (Can’t Keep Up) เดอะแบก (Baggage) และ เบื่อคนขี้เบื่อ (I’m Not Boring, You’re Just Bored) ตามลำดับ เป็นการชิมลางก่อนที่จะนำผู้ฟังเข้าสู่งานอัลบั้มเต็มชุดนี้ที่มีการร้อยเรียงเนื้อหาและไต่ระดับความเข้มข้นของอารมณ์จากป๊อปสนุกสนานฟังสบายเข้าสู่ความอัลเทอร์เนทีฟที่กำลังคืบคลานเข้ามา เส้นเรื่องของอัลบั้มที่ถูกเรียบเรียงไว้อย่างน่าติดตามในแบบฉบับของทางวงที่จงใจวาดแผนให้ฟังเรียงต่อเนื่องแบบไม่ต้องพึ่งพาระบบสุ่มเพลง ตาม concept ของอัลบั้มและชื่อของผลงานชิ้นนี้ที่ขึ้นหราไว้เหนือหน้าปก เย้ายวนให้ทุกท่านร่วมกันเพลิดเพลินและสนุกสนานไปกับการตีความเนื้อหา หรือบางท่านอาจจะเลือกปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับการรับชมรับฟังงานเพลงที่วงต้องการนำเสนอออกมาแบบสบาย ๆ ก็เป็นอีกตัวเลือกไม่เลวนัก
สำหรับงานที่มีเนื้อหาเข้มข้นบาดลึกในเชิงอารมณ์นั้นอาจทำให้บางท่านหงอยเหงาเศร้าซึม แต่ในทางกลับกันก็อาจมีบางท่านสนุกกับความดาร์คหม่นกลายเป็นสดใสนี้ นั่นคือเสน่ห์อันลึกลับ แต่จะกลัวอะไรเล่า It’s Gonna Be OK!
อัลบั้มเต็มชุดนี้มีกำหนดการวางจำหน่ายในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา โดยที่สามารถทำยอดดาวน์โหลดอันดับ 1 บน iTunes Album Chart เช่นเดียวกับซิงเกิลแรกอย่าง เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน (Just Being Friendly) ft.MILLI ที่เคยขึ้นถึงอันดับที่ 1 บน iTunes Single Chart ของประเทศไทยล่วงหน้าไปก่อนแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น ผลงานชิ้นนี้รอให้ท่านนำพาโสตประสาทมาลิ้มลองด้วยตัวของท่านเอง รสชาติที่ได้รับอาจเป็นรสที่คุ้นเคย ซึ่งอาจอร่อยจนคาดไม่ถึง หรือแม้แต่ไม่เคยได้ชิมมาก่อน ก็เป็นได้
เพื่อนเล่น ไม่เล่นเพื่อน (Just Being Friendly) ft.MILLI (3.5/5)
ซิงเกิลแรกที่ถูกปล่อยออกมาก่อนใคร ในวันนี้มาในฐานะเพลงเปิดอัลบั้มที่มาในแนวคึกคักสดใสชวนโยกตามตามคำโปรย เปิดโหมดสนุกไรม์ปัง เตือนให้ระวังอย่าข้ามเส้นเฟรนด์โซน กับทำนองที่เปี่ยมไปด้วยลูกเล่นในทุก ๆ ช่วงเวลา กับเนื้อหาโดนใจวัยรุ่นว่าด้วยการคิดกับเพื่อนสนิทเกินกว่าเพื่อนและอยู่ในสถานการณ์ว้าวุ่นในการข้ามเส้นเพื่อนให้กลายเป็นคนรัก อย่างตรงไปตรงมาตามชื่อเพลง เส้นบาง ๆ อย่างเส้นเพื่อนนั้นอาจเล่นกับความรู้สึกและประสบการณ์จริงของหลาย ๆ คน เพลงนี้จึงเข้าถึงผู้ฟังได้ไม่ยากและประสบความสำเร็จดังที่กล่าวไว้ในภาพรวมของอัลบั้มข้างต้น แต่ส่วนตัวมองว่าองค์ประกอบของเพลงค่อนข้างล้นไปสักนิด แต่ในฐานะเพลงเปิดอัลบั้มถือว่าทำหน้าที่ของตนได้ดีตามมาตรฐาน
ข้อดีที่สุดของเพลงนี้คือกระแสตอบรับที่ท้วมท้นน่าจะสร้างความมั่นใจให้แก่วงเป็นอย่างมากในการต่อยอดความสำเร็จ เสมือนสะพานเพลงฮิตต่อเนื่องจากงานชุดแรกชวนให้ใจฮึกเหิม เป็นการเลี้ยวเบนมาแนวใหม่แบบเล็ก ๆ โดยคงลายเซ็นต์ของตัวเองไว้อย่างเป็นเอกลักษณ์
ลู่วิ่ง (Can’t Keep Up) (4.5/5)
ความหนักหน่วงทางอารมณ์เริ่มคืบคลาน กลิ่นและรสชาติของความเฮิร์ต ความหมายของความหมาเริ่มคืบคลานตั้งแต่แทร็คที่ 2 ซึ่งก็เป็นซิงเกิลที่ 2 เช่นเดียวกัน ความเก๋ของเพลงนี้คือคอนเซปท์เพลงที่เปรียบเทียบการวิ่งตามความรักที่มีให้แก่เธอเสมือนการวิ่งบนลู่วิ่ง วิ่งตามเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลห่าง ความพยามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น ไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์ใดให้สมหวังได้และแน่นอนว่า ไม่มีทาง ประหนึ่งเป็นการปิดประตูความหวังอย่างสมบูรณ์แบบ แสงที่ปลายอุโมงค์หรือความแฮปปี้เอนดิ้งอะไรนั่น ไม่มีอยู่จริง ดับฝันไปเลย เป็นการยากที่จะมอบนิยามสั้นๆให้กับเพลงลู่วิ่ง คือ เป็นเพลงที่ฟังไม่ยาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความ Unique เมื่อเทียบกับเพลงอื่น ๆ ของพวกเขา เพลงค่อย ๆ สะสมพลังงานอย่างช้า ๆ และพาอารมณ์ไปจบถึงที่หมายได้ในไฮไลท์ในช่วงท้ายเพลง
สำหรับชื่อเพลงนั้นเราว่าแปลกดีและสร้างความประหลาดใจเมื่อแรกได้ยิน หากเรามองภาพเล็กอาจมโนภาพเป็นการวิ่งบนลู่วิ่ง Treadmill ซึ่งก็คือการวิ่งอยู่กับที่แต่ใช้พลังงานมากหรือน้อยขึ้นกับความพยายาม(อัตราเร็ว)และความยากที่เรามี(ความชัน)ในที่นี้เปรียบเสมือนความคาดหวัง ปรับได้ผ่อนได้ แต่หากยิ่งพยายามมากหรือคาดหวังมากก็เหนื่อยมากเช่นกัน หรือหากมองภาพใหญ่เลยนั้น ก็จะกลายเป็นการวิ่งในสนามกีฬามาตรฐานโอลิมปิก 400 เมตร ซึ่งหากการวิ่งของเธอนั้นทิ้งห่างเราไกลออกไป นั่นหมายถึงโอกาสสำเร็จยิ่งริบหรี่มาก ยกเว้นแต่ว่าเธอจะวิ่งนำเราจนน็อครอบพอดีก็จะกลายเป็นการวิ่งที่เธอทันเราและเราทันกัน
เบื่อคนขี้เบื่อ (I’m Not Boring, You’re Just Bored) (5/5)
ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่มีทิศทางกลับกันโดยสิ้นเชิง หนึ่งคนที่รักน้อยลงจนใจหมดรัก กับอีกคนที่ยังคงรักแต่เริ่มนอยกับความสั่นคลอนของความสัมพันธ์ที่มีเหตุมาจากความบ่นบนความเบื่อพร้อมกับหาที่ระบายรองรับอารมณ์แบบไร้เหตุผลเพียงแค่เพราะคำว่า เบื่อออ ก่อเกิดอารมณ์เดือดดาลและการตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อนเผ็ดแซ่บจนแสบปาก แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่ได้รับการแยแสหรือความเห็นอกเห็นใจใด ๆ ตอบรับกลับมา เบื่อคนขี้เบื่อ จัดเป็นเพลงที่ฉูดฉาดจัดจ้านที่สุดทั้งในด้านเนื้อหา อารมณ์
การเรียบเรียงของเพลงที่วางไฮไลท์ไว้ทุกอย่างอย่างพอเหมาะพอเจาะมาก ๆ ทั้งในท่อน “ของฉันมากขึ้นไป แต่ของเธอดูน้อยลงจนจางหาย…” ในVerseแรกกับการทิ้งท้ายคำว่า ‘หาย…’ แผ่ว ๆ สุดเซ็กซี่ หรือจะเป็น “เธอแค่เหงาก็เธอแค่เหงา เธอคุยแก้เหงาแก้ เบื่อออออ!” ในท่อนpre-hook2 กับเสียงเบื่อออ! ของไมโลที่ปลดปล่อยออกมาอย่างสะใจ เชื่อว่าหลายคนที่ฟังก็อดที่จะพ่นคำนี้ตามไม่ได้ รวมถึงเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความยียวน “อ๋อ...ไม่อ่ะ” ที่ได้สาวแปม อัญญ์ชิสามาช่วยให้เสียงภาษาไทย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ร่วมกันทวีความเข้มข้นเผ็ดร้อนของเพลงนี้มากยิ่งขึ้น ตัวเพลงเดือดจัดจัดว่าเดือดทะลุปรอทแตกที่สุดแล้วในสารบัญเพลงทิลลี่เบิร์ดสและแสดงถีงความท้าทายประหนึ่งว่าประชดประชันถึงขั้นชวนขึ้นรถไฟเหาะเผื่อจะสนุกไม่น่าเบื่อขึ้นมาบ้าง ดั่งเนื้อเพลงในท่อนฮุค
เหนือสิ่งอื่นใด เราชอบคอนเซปท์เพลงและชื่อเพลงนี้มากทั้งแบบไทยและอังกฤษ คือนำเสนอเพลงได้ดี มีความต่อล้อต่อเถียงแบบอ่านแล้วมีเสียงออกมา ขั้นกว่าของคนขี้เบื่อ คือความเบื่อซ้อนเบื่อซ้อนเบื่ออีกทีนึง ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ตัวมิวสิควิดีโอของเพลงก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแบบเขย่าประสาท มันส์เดือดเชือด เลือดท่วมจอ โดยแทบจะไม่ต้องจินตนาการฉากใดเพิ่มเติมเลย จวบจนฉากจบของเพลงที่มีสองแบบคือ Single Version และ Album Version ที่ระยะเพลงยาวกว่าโดยขยายออกมาประมาณ 13 วินาทีในการถอดเสียงมาแบบเดียวกับฉากจบของมิวสิควิดีโอที่มีการแซมเปิ้ลเพลงที่ 5 ของอัลบั้มไว้ช่วงท้ายเพลงนี้ประหนึ่งเป็นข้อความลับ ๆ ที่ถูกส่งต่อเพื่อโต้ตอบกันของเธอ?และเขา?และรักของเรา?หรือใครอีกคน? โปรดติดตาม
เดอะแบก (Baggage) (4.5/5)
ซิงเกิลที่ 3 ที่เกิดการสลับตำแหน่งเก้าอี้ดนตรีเล็ก ๆ กับ เบื่อคนขี้เบื่อ ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 4 ผลักให้ เดอะแบก มาอยู่ในแทร็คที่ 4 แทน ต่อเนื่องจากการระเบิดอารมณ์สาแก่ใจทั้งสองฝ่ายจากเพลงก่อนหน้า มาเข้าสู่เพลงที่มีทำนองลุ่มลึก แต่ยังคงความสนุกน่าติดตามในกราฟอารมณ์เพลงแต่ก็แฝงไปด้วยความอึดอัดเหมือนถูกพลังงานบางอย่างกดอยู่ตลอดการฟังทั้งในแง่ของกายภาพและจิตใจ ไม่แน่ใจว่าวงเล่นของอะไรกับเราหรือเปล่าแต่มันกลับทำให้การระเบิดอารมณ์ในช่วงท้ายเพลงนั้นพวยพุ่งออกมาได้อย่างสมจริงมากและได้อารมณ์ที่ต่อเนื่องจาก เบื่อคนขี้เบื่อ เพลงก่อนหน้าซึ่งเป็นช่วงต้นและเป็นที่มาของการแบกอันนำมาสู่เรื่องราวในเพลงนี้ที่เดอะแบกคนนี้ไม่สามารถต้านทานสิ่งเร้าใดๆที่มา trigger ได้อีกต่อไปแล้ว เกิดระเบิดตูมแตกออกมาเป็นซากความแหลกเละกระจุยกระจาย
จากชื่อเพลงมีความเท่ห์ของการใช้ศัพท์ในวงการเกมเมอร์อย่าง เดอะแบก ที่มักถูกใช้ในสถานการณ์ที่เพื่อนร่วมทีมนั้นมีปัญหาบางอย่างหรือมีทักษะที่ไม่เพียงพอที่จะอยู่ในเกมเกมนี้ แต่เมื่อกติกาการเล่นนั้นใช้ระบบทีม ความสามัคคีจึงต้องบังเกิด โดยการที่ผู้ร่วมทีมที่แกร่งกว่าจะต้องทำแต้มชดเชยเพื่อแบกรับภาระ จุดประสงค์เพื่อประคองให้ทีมชนะ เปรียบดังสนามรักที่ต้องพึ่งพาผู้เล่นที่ประคองรักนี้ให้ถึงฝั่งฝันได้ (ถ้าไหว) อย่างไรก็ดี เรื่องรักไม่ใช่เรื่องเล่น สนามนี้มีคนเจ็บจริง และบาดแผล เป็นแผล จริง เลือดออกจริง กลิ่นคาวเลือดซิบ ๆ สด ๆ แหลกสลาย
ติดตรงที่ฉัน (It’s Not You, It’s Me) (5/5)
แกเคยรู้สึกเหมือนมีดเป็นพัน ๆ เล่มกำลังพุ่งเข้าหาตัวแก มุ่งหน้าเข้ามาเสียบกลางหัวใจแกมั้ยวะ? สำหรับเรา ไฮไลท์ของงานชุดนี้ อยู่ที่นี่ ตรงนี้แหละ ความรักของคนหนึ่งคนที่มอบให้คนที่เขารัก แต่เขาคนนั้นกลับยังลืมคนเก่าไม่ได้ ในหัวสมองของเขามีแค่การผูกใจติดกับคนรักเก่าของเขา โดยที่แกไม่มีโอกาสแม้แต่การที่แกจะสามารถตั้งคำถามต่อเขาได้เลยว่า เขารักแกบ้างหรือไม่วะ เกิดเป็นรักสามเศร้า(เส้า)ที่วนไม่จบลูป
ในที่นี้คือเศร้าของจริงและเศร้าทั้งสามคน เกิดเป็นความช้ำสามต่อและยากที่จะชี้ชัดว่าใครกันนะในเรื่องนี้ที่น่าสงสารที่สุด จุดที่ดีงามของเรื่องนี้ยังมีอยู่บ้างตรงที่มีการจับเข่าเปิดอกคุยตรง ๆ ทำให้ปัญหานี้ไม่ถูกหมกเม็ดและบานปลายไปมากกว่ากว่านี้ แต่ในแง่ของความรู้สึกนั้น น่าจะยังคงติดตรึงอยู่ในผู้เกี่ยวข้องหลักของเรื่องนี้อย่างแน่นอนยากที่จะล้างออก เรามองว่าเสียงของเติร์ดเข้ากับเพลงนี้อย่างมาก สามารถถ่ายทอดและประคองอารมณ์ของคนที่เสียใจระคนกับความเห็นแก่ตัวแต่ก็ขอความเห็นอกเห็นใจไปได้พร้อม ๆ กัน การลากพยางค์จบของแต่ละวรรคนั้นเหมือนมีดที่ค่อย ๆ บรรจงกรีดเข้าไปถึงทรวงใน บาดลึกไปในทุกวรรคตอน
ชื่อเพลงภาษาอังกฤษนั้นวาง phase ไว้ประหนึ่งเป็นการร้องโต้ตอบกันกับเพลง เบื่อคนขี้เบื่อ โดยเป็นการเล่าเรื่องในมุมของคนขี้เบื่อที่เป็นเจ้าของเสียงปริศนาคร่ำครวญที่ถูกทิ้งท้ายไว้ในแทร็คที่ 3 ในช่วงที่ทั้งสองเริ่มเย็นลงและมาจับเข่าคุยกัน สรุปคือนี่คือเพลงที่จ่อคิวขึ้นบัลลังก์เพลงที่หมาที่สุดในพงศาวดารของวง ว่าแต่ใครกันล่ะ ที่หมา? ฝากไว้ให้ขบคิด
ขอให้เธอโชคดี (Send You Off) (3/5)
หลังจากที่รู้ว่าเธอเลือกที่จะเดินจากร้างลา ฉันก็ขอไปส่งเธอให้ออกเดินทางต่อไปอย่างโชคดี ขอให้เธอโชคดี เป็นเพลงที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการส่งผ่านเรื่องราวจากการเปิดใจในเพลงก่อนหน้าสู่การเก็บตัวจำศีลด้วยความเศร้าดิ่งในเพลงถัดไป เนื้อหาเปี่ยมไปด้วยความหวังดี ดูเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจโลกและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเราถึงรักกันไม่ได้ และทำไมเธอจึงต้องจากไป ในบทบาทความรู้สึกของผู้ชายที่แสนดีแต่กลับไม่โดน แต่หากมองในมุมกลับนั้นอาจมองอีกแง่ได้ว่าเนื้อความอาจมาในรูปของน้ำเสียงที่ประชดประชันได้เช่นกัน เหตุจากสถานะของเขาผู้นี้ที่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกถูกรัก จึงอาจแฝงอารมณ์ที่ต่อต้านอยู่ลึก ๆ
ซึ่งมองตามความเป็นจริงแล้วการที่ขอให้เธอโชคดีทั้ง ๆ ที่เรากลายเป็นคนโชคไม่ดี ก็ไม่ใช่สิ่งที่แฟร์สักเท่าไหร่ เพียงแต่สิ่งที่แสดงออกมาภายนอกอาจต่างออกไปจากสิ่งที่คิดอ่านอยู่ภายในก็เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่าผู้แพ้จะยอมรับความพ่ายแพ้หรือจะเป็นผู้ที่แพ้ไม่เป็น ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องของการจากลาครั้งนี้จะจบหรือไม่จบขึ้นกับสถานการณ์รวมถึงการตีความด้วย โลกความเป็นจริงก็เช่นนี้แหละ บางครั้ง 1บวก1อาจเท่ากับสอง แต่กลับกันอาจไม่เท่ากับศูนย์ก็ได้หากเราลบ1ด้วย1 (แต่อาจเท่ากับสูญ) เมื่อขยายภาพออกมาจะเห็นความยิ่งใหญ่ ใจป๋า มาดแมน และที่สำคัญ ดนตรีเท่ห์มาก จินตนาการว่าถ้าเล่นสดคงสนุกน่าดู แต่ภาพรวมเราค่อนไปทางเฉยซะมากเมื่อเทียบกับเพลงอื่น แต่เมื่อฟังอัลบั้มโดยเรียงแทร็คจะรู้สึกว่าเพลงนี้ Impact ขึ้นกว่าฟังแบบแยกมาก รับบทฟันเฟืองของอัลบั้ม
เธอไม่ได้อยู่คนเดียว (On My Shoulder) (4.5/5)
เคยไหม กับการปรารถนาที่จะปลอบประโลมใครสักคนหนึ่ง แต่ไม่รู้จะใช้วิธีการอย่างไร ต้องขอชื่นชมเพลงนี้กับทักษะในการสื่อสารกับคนที่กำลังจมปลักและเก็บตัวอยู่กับห้วงอารมณ์แห่งความเศร้าโศกในฐานะเพื่อนคนสนิทที่รับรู้ทุกความเป็นไปและความรู้สึก และพร้อมที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่และคอยเป็นภาชนะรองรับสิ่งที่เขาคนนี้กดดันและแบกเก็บไว้ภายใน ในวันที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตกแหลกสลายลงนั้น ประสาทการรับรู้และการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างหรือสิ่งเร้าจากโลกภายนอกนั้นอาจเฉยชาลงไป ความรู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งใด ๆ อาจถูกลดทอนลงไปราวกับว่าหัวใจจะเริ่มด้านชา
โปรดรู้ไว้ว่าหนึ่งมือที่ยื่นเข้ามาหา คนที่ตามมาถึงที่บ้านหรือแม้แต่ติดต่อโทรหาด้วยความห่วงใยกอปรกับความปรารถนาดีที่มีให้อย่างอ่อนโยนในวันที่ชีวิตไร้แสงไฟ อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและต่างออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ ภาคดนตรีที่เริ่มจากน้อยชิ้นนั้นเริ่มทยอยผลัดเปลี่ยนออกมาแสดงบทบาทโดดเด่นมากขึ้นไปตามไทม์ไลน์ นอกจากจะเสริมความอิมแพคให้แก่อารมณ์เพลงแล้ว ยังสนองความหมายให้เหมือนดั่งชื่อเพลง เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ได้อย่างลงตัว ยิ่งใหญ่อลังการ แต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจที่แท้จริง ขมวดท้ายด้วยการทิ้งพื้นที่ความเงียบให้เขาย้อนกลับมาทบทวนเรื่องที่ผ่านด้วยตนเองอีกครั้งอย่างอิสระระคนอุ่นใจท่ามกลางเสียงรถผ่านไปมานอกบ้าน และแน่นอนว่าในครั้งนี้ เค้าไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป
ถ้าเราเจอกันอีก (Until Then) (4/5)
ต่อเนื่องจากเพลงก่อนหน้าโดยที่ไม่ต้องพักหายใจหายคอ กระชากอารมณ์โดยการหวนกลับไประลึกนึกถึงคนที่จากไปแล้วนานแสนนาน แต่ความรักความประทับใจนั้นยังตราตรึงชนิดไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ ถึงแม้จะเป็นอารมณ์เศร้ากัดกินใจอาจถึงขั้นสู่ขิตกันได้เลยหากความคาดหวังยังคงอยู่ แต่มองในอีกมุมนั้นการได้นึกย้อนไปถึงความทรงจำครั้งหอมหวานในวันที่สามารถละวางได้แล้วนั้น มันก็ให้ความรู้สึกที่เปื้อนยิ้มได้อยู่ไม่น้อยในทุก ๆ ครั้งที่คิดถึง ช่างเป็นความดีงาม
อย่างน้อยที่สุดแม้ความสัมพันธ์นี้จะไม่ได้จบที่การได้ลงเอยหรืออยู่ด้วยกันในชีวิตของกันและกัน แต่การที่เรายังคงคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นนั่นหมายถึงความรู้สึกดีที่มีอยู่เปี่ยมล้นในห้วงเวลาของความสุขถูกกลั่นออกมาเป็นภาพจำให้ระลึกถึงอยู่เสมอ แม้ว่าที่แล้วมาอาจจะมีผ่านฉากที่ไม่สมหวัง แม้บางครั้งจะเศร้าสุดฟูมฟาย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายหาใช่ว่าจะจบด้วยอารมณ์เชิงลบเสมอไปไม่ นี่คือ fan-favorite ประจำอัลบั้ม ภาคดนตรีมีความแกรนด์ยิ่งขึ้น ความยิ่งใหญ่ประหนึ่งภาพยนตร์มหากาพย์ที่พร้อมจะพาเราโบยบินไปทั่วทุกหนแห่งของโลก
แต่จุดมุ่งหมายสุดท้ายจะบินกลับมาบรรจบ ณ จุดนัดพบ ด้วยประโยค ‘เหมือนเดิมไม่เคยจางหาย แม้นานเท่าไหร่ ฉันรอเธอได้เสมอ’ ปิดฉากอัลบั้มไปอย่างงดงาม คนรอคอยคอยค้างแต่ไม่มีค้างคา It's Gonna Be OK ท่อนที่ชอบเป็นพิเศษคือ Verse2 ที่ร้องหลักคลอเปียโนและคอรัสที่เหมือนเสียงสะท้อนพร้อมกับเนื้อความที่เป็นด้านสว่างของเพลง ทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นความอบอุ่นอันกรุ่นหอม รักมาก
เรามองว่า It's Gonna Be OK เป็นเสมือนมัคคุเทศก์ที่จะพาเราไปพบกับความตื่นตาตื่นใจในการเดินทางของความสัมพันธ์ที่แม้จะเทไปในทางที่ไม่สมหวังเสียมากแต่ก็มีทิศทางของอัลบั้มที่ชัดเจนและให้รสชาติที่แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละช่วงแทร็ค เริ่มจากการพยายามก้าวข้ามเฟรนด์โซน การยอมรับความจริงของความรักที่ไม่สมหวัง การอยู่ในความสัมพันธ์ที่อึดอัดและเกรี้ยวกราด สภาวะของเดอะแบกที่สุดท้ายพังทลาย การได้รับรู้ความจริงที่เจ็บปวดใจ การยอมปล่อยคนหมดใจให้เดินออกไปจากอ้อมอก ช่วงเวลาเก็บตัวเศร้าซึมและการปลอบประโลม จบด้วยการระลึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทั้งหมดนี้คือความหลากหลายที่ร้อยเรียงผ่านเส้นเรื่องร่วมกันของงานชุดนี้ จุดที่ชอบเลยคือการที่ศิลปินกล้าที่จะทำสิ่งที่ฉีกไปจากเดิม เราเดาทางได้ยากมากว่าเพลงต่อไปที่พวกเค้าจะปล่อย เขาจะเล่นท่าไหนออกมา การเล่าเรื่องที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีมิติของเส้นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น มีการอ้างถึงบุคคลที่ 3 และมีการเล่าเรื่องที่สามารถมองและสะท้อนอารมณ์ทั้งจากบุคคลที่ตัว 1 และบุคคลที่ 2 ได้อย่างมีชั้นเชิง ภาคดนตรีที่เป็นเอกภาพมากขึ้นเหมือนจับอัตลักษณ์ของวงได้ชัดเจนขึ้น ที่สำคัญคือเราได้เพลงโปรดเพลงใหม่ที่มีความเด่นโดดออกมาหลายเพลงในงานชุดนี้
ในขณะเดียวกันเมื่อมองภาพรวมแล้วนั้นงานชุดนี้อาจฟังยากขึ้นและใช้เวลาย่อยนานกว่างานเดิมพอสมควร เราได้ความรู้สึกเหมือนสมองซีกซ้ายทำงานหนักขึ้นเพราะมีการกระตุ้นการใช้ความคิดเชิงตรรกะไปในตัวขณะเสพงานชิ้นนี้ไปด้วยอยู่บ่อยครั้งในการเดินทางและหาความเป็นเหตุเป็นผลไปพร้อม ๆ กับตัวละคร การที่อัลบั้มมีเพียง 8 แทร็คอาจดูน้อยไปนิดสำหรับอัลบั้มเต็มแต่มองว่าอาจเป็นการชดเชยประโยคข้างต้นเพราะหากกราฟอารมณ์หนักหน่วงและเหวี่ยงขึ้นลงเช่นนี้สัก 15 เพลงนั้น อาจทำให้หัวไหม้ได้
สิ่งที่สัมผัสได้อีกอย่างคือรู้สึกว่าการฟังแต่ละรอบนั้นไม่ได้จบไวแบบสั้นฉับขนาดนั้น งานมีความลึกที่ค่อย ๆ ซึมเข้าไปในความรู้สึกในระหว่างทาง ซึ่งโดยส่วนตัวเราแล้ว ช่วงเวิ้งระหว่างเพลงที่ 2-5 นั้นยอดเยี่ยมมาก จัดเป็นความประทับใจอันดับต้น ๆ ของการฟังเพลงปีนี้เลย ราวกับว่าถูกดึงกระชากอารมณ์ยื้อแย่งซ้ายขวาไปมาสาแก่ใจช้อยนักคล้ายกับโดนน้ำมนต์สาดหน้า 55 และสุดท้าย อัลบั้มนี้สามารถมองและตีความแต่ละเพลงได้ค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน เป็นงานที่ชวนให้มาถกเถียงพูดคุยว่าความหมายเพลงและสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเพลงหมายถึงใคร และอย่างไร แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับอาหารเสิร์ฟร้อนจานนี้
Score 92/100
โฆษณา