17 ธ.ค. 2021 เวลา 08:05 • ไลฟ์สไตล์
ปฏิบัติการเช้าที่ผ่านมา รับการฮิลล์จากเหล่าสัตว์ทั้งหลาย
เริ่มจากการไปให้ผักบุ้งน้องโค-กระบือ ที่วัดวชิรธรรมสาธิต วันนี้น้องโคส้มไม่ยอมกิน เหมือนอารมณ์บ่จอย ออกแนวเบื่ออะ อยากกินสเต็กบ้าง 555 ผักบุ้งทั้งกำจึงตกเป็นของน้องควายข้างๆ แต่เพียงผู้เดียว
นอกจากจะมีการไถ่โค-กระบือ แล้ว เสน่ห์ของวัดนี้ที่ใครมาต้องกลับมาอีก คงเป็นเพราะที่นี่มีเหล่าน้องแมวและน้องหมามากมาย ราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่วัดแต่เป็น Cat & Dog Cafe ซึ่งแมวที่เป็นที่ชื่นชอบของที่นี่คงจะหนีไม่พ้น "สำลี" แมวเพศเมีย สีดำล้วน หน้าสั้น ขนหนานุ่ม ผิดจากแมวไทยทั่วไป ด้วยความที่เป็นลูกผสมบริติช ช็อตแฮร์ ผสมกับแมวไทย บวกกับความขี้อ้อนเกินขีดจำกัด ไม่ว่าใครที่เจอนางต้องโดนนางตกได้ทุกที
เราก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน เราเที่ยวไปเที่ยวมาหลายรอบ ร้านขายแมสที่อยู่ในวัดบอกว่า สำลี หายไปตั้งแต่ที่เราไม่ได้ไปวัดเป็นเดือนๆ วันนี้เราก็ไปด้วยความหวังว่าจะได้เจอนางอีกสักครั้ง อาจเป็นพรหมลิขิต หรือความคิดถึงที่สื่อถึงกัน วันนี้เราได้เจอกับสำลีอีกครั้ง ทั้งเราและนาง เดินร้องเรียกหากัน เฉกเช่นฉากในการ์ตูนญี่ปุ่นในยามเย็นที่แสงอัสดง หญิงสาวและสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้เจอกันโผเข้ากอดกัน แต่ต่างกันตรงที่ตอนนั้นแดดเปรี้ยงๆ กลางลานโบสถ์ของวัด ที่รายล้อมไปด้วยอัฐิของผู้ล่วงลับไปแล้ว จะว่าโรแมนติกเสียไม่ได้ แอบสยองเบา สิ่งแรกที่ทำเรานั่งลงกับพื้น นางก็เดินมานอนข้างๆ ให้ลูบหัว ลูบตัว และทำท่าน้ำตาซึม เอาขาให้เราดู โธ่แม่คุณ บาดแผลจากความเก่งกาจของนาง นางอ้อน และคลอเคลียร์
แต่แล้วอยู่ๆ ความรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างกำลังอยู่ข้างหูด้านซ้ายในระยะประชิดตัว สิ่งแรกที่คนในบรรยากาศเช่นนั้น หนีไม่พ้น ผะ ผะ ผะ เราค่อยๆ หันไปด้านซ้ายอย่างช้าๆ และใจเย็น พลางคิดในใจ "นี้มันกลางวันแสกๆ อย่านะคะ อย่านะคะ" และแล้วสายตาเราก็ประชันหน้ากับ....จมูกหมาตัวหนึ่งที่กำลังดมหูเรา เลื่อนมาที่จมูกแล้วก็เดินจากไป ปัดโธ่ใจหายแวบ
หันกลางนั่งเล่นกับเจ้าสำลีอีกครั้ง และเรื่องราวความสยองก็ยังไม่จบ เมื่อระหว่างนั้น เริ่มรู้สึกมีอะไรบางอย่างหนักๆ มาพิงอยู่ที่ด้านหลัง คงไม่ใช่ผีมั้ง เราก็หันไปดู ไม่มี ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ตายแล้วกูโดนแล้ว เอาใหม่เอามือคลำๆ ตรงสะโพกที่ยังหนักๆ อยู่ และแล้วก็มีเสียง แง่วๆ เจ้าแมวลายขาว สลับสีเทาลายสลิด หน้ากลมตัวกลม ขนแน่นหนา ลูกผสมสก็อตติชโฟลต์ มีนามว่า "เจ้าลาย" ลุกมาคลอเคลียอยู่อีกด้าน คนตรงกลางอย่างเราก็ฟินสิมีแมวมาให้เล่นถึงสองตัว
แต่ใช่ว่าเรื่องจะจบแบบเจ้าหญิงในดิสนีย์ เมื่อแมวทั้งสองเจอะหน้ากัน เท่านั้นแหละ ศึกสงครามกำลังเริ่มขึ้น สงครามนี้จะเริ่มต่อหน้าและใกล้ตัวไม่ได้เป็นอันขาด แยกสิรออะไร ต้องจับเจ้าสำลีมาทางขวา จับเจ้าลายมาทางซ้าย เรากั้นกลาง ราวกับเป็นกำแพงที่กั้นในรายการ ร้องข้ามกำแพงเลยจริงๆ ซ้ายร้องขวาตาม แต่ในที่สุดก็สงบ ต่างฝ่ายต่างอยู่ในความสงบให้เราได้ลูบได้คลำ ฮิลล์ใจไปได้พักใหญ่ๆ
หลายคนคงถามว่าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปให้น้องหน่อยเหรอ บอกตามตรงเลยว่า น้องแมวและน้องหมาที่นี่มีบุญยิ่งหนัก ทุกวันนางๆ จะมีคุณลุงใจดีนำปลาทูที่แกะก้างแล้วใส่จานเซเว่นมาเสิร์ฟให้ถึงหน้า แถมมีอาหารเม็ดให้เลือกรับประทานตามรสนิยมได้เลย วันนี้ก็เช่นกันระหว่างที่ศึกสงบ คุณลุงผู้ใจดีก็เอาปลาทูแกะก้าง และอาหารเม็ดมาเสิร์ฟน้องๆ ให้ถึงปากกันเลยทีเดียว แม่นางสำลีผู้มียศสูงส่ง มิอาจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ลุงเลยต้องเอามาเสิร์ฟทั้งอาหารเม็ดและปลาทู ซึ่งต่างจากเจ้าลายยิ่งหนัก ไม่เรื่องมาก ลุงให้ปลาทูก็กินปลาทู ซึ่งการกินครั้งนี้ทำให้เห็นเลยว่าการกินแบบแมวดมมันเป็นเช่นไร หลังจากที่พวกนางรับทานกันเสร็จแล้วนั้น คุณลุงก็เก็บไปไม่ทิ้งให้เสียทัศนียภาพ น่ารักจริงๆ
ไม่นานนักเจ้าลายนักรบผู้ใหญ่ ได้ยินเสียงแมวต่างถิ่นที่ถูกนำมาปล่อยก็ไม่รอช้าขอไปดูน้ำหน้าเด็กใหม่ที ทิ้งแม่นางสำลีไว้ออดอ้อนเราต่อไป
เมื่อได้รับการฮิลล์จากการสัมผัสที่ตัวนาง ลูบๆ คลำๆ คลอเคลียกันสักพัก นางก็พอใจและลุกเดินหนีไปอย่างสบายใจ
เจ้าทองนักพูด
ดาวเด่นอีกตัวคือ "เจ้าทอง" หรือ "เจ้าเหลือง" หรือ "คุณทอง" แมวส้มที่ถ่ายภาพเมื่อโพสต์ก่อนนั้น ก็คุยเก่งตามประสา ร้องแง่วๆ เดินก็ร้อง นั่งก็ร้อง หิวก็ร้อง คุยด้วยก็ร้อง ช่างจ้อช่างเจรจา ร้องไปร้องมาจนคุณลุงต้องย้ายอาหารจากจุดเดิมที่เคยกินมาวางไว้ให้มันกินตรงหน้าพระประทาน แหม...วาสนาเจ้านี่เนาะ ทางปลาทูสไตล์แมวดมอิ่ม ก็ร้องต่อ เราเลยเข้าไปนั่งคุย เป็นเพื่อนสักพัก คุยไปคุยมาเราจะร้องแง่วไปกับมันเสียแล้ว
ถึงเวลาอันสมควรก็ของตัวลาเหล่า Cat & Dog Cafe มุ่งหน้าหาของกิน ทานเสร็จก็กลับมาที่คอนโด ระหว่างที่จะขับรถเข้าคอนโดก็เหลือบไปเห็นลูกหมา ดีใจอย่างกับได้โล่ 555 รีบขับรถเข้าไปจอดที่อาคาร และเดินออกมา ซื้อไก่ร้านส้มตำหน้าคอนโด เอาไปให้ลูกหมาและแม่หมา
มาถึงศาลพระภูมิ เราก็เราแจกไก่ย่างให้แม่หมา ยังไม่ทันทีแม่มันจะได้กิน เหล่าลูกๆ 4 กุมารก็ชิงแย่งแม่มันเรียบร้อย เราเลยต้องให้อันที่ร้อนๆ ให้แม่มันแทน ด้วยความที่ลูกหมามี 4 ตัว แต่ตัวเล็กสุดก็ชิงไปกินคนเดียว ด้วยความหวังดีก็เลยเข้าไปแบ่งให้ได้ครบทั้ง 4 ตัว ด้วยความที่เราเดินขึ้นไปบนศาล เพื่อฉีกเนื้อไก่แบ่ง เราก็รู้สึกมีอะไรมาโดยที่ขาแต่ไม่ได้สนใจอะไร แล้วเดินลึกเข้าไปตรงศาลตายาย สิ่งที่รู้แหละว่าอะไรโดนขาก็คือ อีแม่หมา!!! มันจะกัดขา แต่ยังดีที่ไม่กัน แต่มันหันมาเห่าแทน เราเลยเหากลับ เอ๊ย!! ดุกลับจนแม่มาหยุดเห่า เราเลยเจรจาบอกว่าเรามาให้กินไม่ได้มาทำร้าย นางเลยยอมถอย เราก็ยอมลงมาที่บันไดแทน ดีนะที่ไม่โดนกัด สงสารตายายที่ศาลห้ามไว้
ภายในไม่กี่นาที ไก่ก็หมด สิ่งที่ได้เห็นจากกลุ่มแม่ลูกหมากลุ่มนี้ คือ ความรักของแม่ที่ยอมเสียสละให้ลูก ไก่ชิ้นแรกที่แบ่งลูกๆ ไปนั้นหมดในไม่กี่นาที แล้วชิ้นที่สอง แม่หมากัดเพียง คำเดียว ที่เหลือนางก็ให้ลูกนางหมด เป็นภาพที่ทำให้หวนคิดถึง วันที่ฝนตก ตอนนั้นอยู่อนุบาล รร.วัดศรีเอี่ยม แม่ข้ามมารับเรากลับบ้าน ระหว่างนั้นฝนตก แม่เอามาเพียงเสื้อกันฝน 1 ตัว ให้เราใส่กลับบ้าน ส่วนแม่ตากฝนเดินกลับกับเราจนถึงร้าน แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกลมากประมาณ กิโลกว่าๆ แต่แม่ก็เสียสละให้เราไม่เปียกฝน แม่หมาตัวนี้ก็เช่นกัน ยอมที่จะอดเพื่อให้ลูกกินก่อน เป็นภาพที่ประทับใจและฮิลลิจิตใจได้เป็นอย่างดี
เราก็นั่งเล่นกับลูกหมาสักพักกใหญ่ๆ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา กลับเข้ามาลุยงานต่อ พอถึงห้อง เดินไปเปิดประตูหลังบ้าน สิ่งที่เห็นคือเจ้านกเขาตัวอ้วนที่เราให้อาหารเป็นประจำ ก็ยืนรอต้อนรับการกลับมา พร้อมด้วยเหล่านกกระจอก ที่บินมารอขนมปัง อะจ้า แป๊บนะ วางของเสร็จก็จัดการบิขนมบังให้เหล่านกตัวน้อยแบ่งกันกิน
ชีวิตมันก็ไม่อะไรมาก เมื่อหยุดคิดมากมันก็ไม่มาก ความสุขมักไม่มาพร้อมกับความยิ่งใหญ่เสทอไป ระหว่างทางก็มี อยู่ที่ว่าเราจะรับความสุชเหล่านั้นหรือเปล่า?
Credit Photo: Ludemeula Fernandes (https://unsplash.com/@ludemeula)
โฆษณา