4 ม.ค. 2022 เวลา 04:29 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
อายุ 30 แล้ว ฉันยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย … เข็มนาฬิกาก็เดินไปเหมือนระเบิดเวลา
ติ๊ก…ติ๊ก…ตู้มมมมม!!! 💣💥
Tick, Tick…Boom!
Tick, Tick…Boom! - Netflix
คะแนน 9/10
1
นี่เป็นหนังจาก Netflix อีกเรื่องจากปีที่แล้วที่โคตรดี - หลากหลายอารมณ์ตอนที่ดู บางฉากทำฉันตื้นตันจนน้ำตาซึม และบางฉากก็ทำให้ฉันรู้สึกมีแรงฮึดสู้กับชีวิต
1
และนี่คือ 10 Short Notes หลังดูจบ - ไม่สปอยล์
1. นี่เป็นหนังอัตประวัติชีวิตของ โจนาธาน ลาร์สัน - นักประพันธ์เพลง / นักเขียนบทละครเพลงบรอดเวย์เจ้าของรางวัลพูลิเซอร์ที่มีชื่อเสียงในช่วง 90s - คือก่อนดูหนังเรื่องนี้ ควรรู้จักเค้าสักนิดจะได้พออินไปกับเนื้อเรื่องได้
2. ในหนังจะเล่าถึงช่วงอายุใกล้จะ 30 ของโจนาธานในอีกไม่นาน ซึ่งเขากดดันตัวเองอย่างมากที่ควรจะประสบความสำเร็จก่อนอายุ 30 ปี เพราะไอดอลของเขาในสายอาชีพเดียวกัน ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 27 แล้ว
3. Tick, Tick … Boom! คือเสียงที่โจนาธานได้ยินในหัวตลอด คล้ายระเบิดเวลาที่ใกล้จะระเบิด เพราะอีกไม่นานเขาจะ 30 แล้ว งานที่เขาบ่มเพาะ ซุ่มทำ ใกล้จะเผยออกมาให้ผู้คนได้เห็นและจดจำ ซึ่งโจนาธานรู้ว่าผลงานของเขานั้นเยี่ยมยอด มันจะต้องโด่งดังและถูกนำไปแสดงที่บรอดเวย์ อันเป็นจุดสูงสุดของสายอาชีพนี้ ในช่วงอายุ 30 ปีของเขา
4. นี่เป็น Musical Movie จะเรียกว่าหนัง/ละครเพลงก็ได้ เพราะเลียนแบบมาจากละครเพลงที่โจนาธานตัวจริงเคยทำการแสดงไว้ในชื่อ Tick, Tick … Boom! แต่ในหนังจะมีเนื้อเรื่องที่แสดงให้เราเห็นภาพชัดขึ้น (ในละครเวทีที่โจนาธานเคยแสดง จะเป็นเพียงการเล่าเรื่อง+บทเพลงเท่านั้น) ซึ่งทำให้เราสนุกไปกับเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี
5. หนังมีการตัดต่อสลับไปมา ระหว่างบนเวทีที่เขาเล่าและร้อง กับภาพชีวิตที่ดำเนินไป ถ้าไม่รู้เรื่องตั้งแต่ข้อ 1-4 ที่เขียนบอกไป อาจจะมึน ๆ เล็กน้อย
6. แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เล่นดีมากกกกกก มีเสน่ห์ลบภาพทุกภาพจากหนังทุกเรื่องที่เขาเคยแสดง ถ้ายังจำภาพเด็กหนุ่มเนิร์ดจาก Spider Man อยู่ล่ะก็ ลบภาพนั้นไปได้เลย เรื่องจากอารมณ์ของหนังมีเยอะมาก ทั้งสุขเศร้า ท้อแท้ ผิดหวัง มีพลัง ฯ แอนดรูว์ ตีบทแตกทุกอารมณ์ ทำให้เราอินไปกับโจนาธาน แบบจมไปกับเรื่องราวทุกบททุกตอน
7. ประเด็นหลักของหนังก็คือสิ่งที่ โจนาธาน ลาร์สันต้องการสื่อถึงการฝ่าฟัน ทุ่มเท ของตัวเขากว่าจะประสบความสำเร็จ (เพราะหนังเอาบทมาจากงานประพันธ์ของโจนาธานที่แสดงเอง) ซึ่งเล่าถึงความอดทนตลอด 8 ปี ที่ไม่ยอมทิ้งฝัน แต่ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับงานที่เขาเชื่อและรัก และไม่ยอมทรยศความฝันไปทำงานที่ได้เงินมากกว่า ให้ชีวิตที่สุขสบายกว่า
8. เพลงทุกเพลงในหนังก็ครบรส เราจะเห็นถึงพรสวรรค์และศักยภาพของโจนาธาน ที่สามารถแต่งเพลงได้กับทุกสถานการณ์ ขนาดตอนทะเลาะกับแฟน จนคืนดีกันกอดกัน ยังอดเคาะนิ้วเป็นทำนองเพลงไม่ได้ แฟนสาวถึงกับโพล่งขึ้นด้วยความโกรธว่า “อย่าบอกนะว่าจะเอาเรื่องที่เราทะเลาะกันไปแต่งเพลง”
9. แต่เพลงซึ่งโจนาธานไม่สามารถแต่งได้เสียที จนได้ยินเสียง ติ๊ก ๆๆๆๆๆๆ เหมือนระเบิดเวลาใกล้จะถึงแล้วนั้น คือเพลงที่เป็นคีย์หลักของละครเพลงที่เขากำลังจะนำไปแสดง ทำอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที เพราะความกดดันว่ามันจะต้องเป็นเพลงที่ดีและมีความหมายถูกต้อง สื่อถึงสิ่งที่ตัวเอกในละครต้องการบอกได้ดีที่สุด
และสุดท้ายเขาก็ทำมันออกมาได้ดีเยี่ยมจริง ๆ ตอนที่ดูอยู่นั้นรู้สึกถึงพลังของบทเพลง ประกอบกับเสียงร้องของนักร้องด้วย บอกตรง ๆ ว่าหัวใจมันเต็มตื้นมาก ๆ ตอนฟัง
10. หนังเรื่องนี้สามารถ relate กับเราได้ในหลายสถานการณ์โดยเฉพาะถ้าเป็นช่วงที่เรายังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะประสบความสำเร็จเสียที หรือไม่รู้ว่าจะเลือกทางเดินไหนของชีวิตกันแน่
แต่ประโยคที่ฉันชอบที่สุดในหนัง กลับเป็นประโยคของคุณป้าเอเจนซี่ที่คอยขายงานให้โจนาธาน ตอนที่เขาผิดหวังและถามว่า จากนี้เขาต้องทำอย่างไรต่อไป คุณป้าตอบว่า
“เริ่มเขียนเรื่องใหม่ เสร็จแล้วก็เขียนอีก เขียนไปเรื่อย ๆ ต่อไป เป็นนักเขียนก็แบบนี้ โยนงานออกสู่สายตาคนเรื่อย ๆ แล้วหวังว่าจะมีสักงานที่ประสบความสำเร็จ”
2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา