7 ม.ค. 2022 เวลา 01:45 • ประวัติศาสตร์
• แม้กระทั่งความตายก็มิอาจพรากรักของทั้งสอง
• กษัตริย์ Peter I แห่งโปรตุเกสกับ Inês de Castro สนมผู้เป็นสุดที่รักของพระองค์
ในประวัติศาสตร์ของบรรดากษัตริย์ในราชวงศ์ยุโรปมักเต็มไปด้วยเรื่องเล่าที่เหล่าราชานั้นมากรักมีสนมทั้งที่ลับและไม่ลับอยู่มากมาย แต่สำหรับกษัตริย์กษัตริย์ปีเตอร์หรือเปโดรที่ 1 แห่งโปรตุเกส พระองค์ทรงมีรักมั่นกับสนมนามว่า อีเนส ดี คาสตรู มาตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาท แต่ถูกพระราชบิดาของพระองค์กีดกันและส่งมือสังหารไปปลิดชีพสนมอันเป็นยอดดวงใจของพระองค์
1
พอเมื่อปีเตอร์ทรงขึ้นครองบัลลังก์โปรตุเกส พระองค์ทรงสั่งให้ขุดศพสนมสุดที่รักนางนี้มาแต่งเนื้อแต่งตัวทำพิธีสถาปนาเป็นราชินีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก อีกทั้งยังทรงบังคับให้เหล่าข้าราชสำนักจุมพิตมือของราชินีองค์ใหม่ผู้ไร้ซึ่งชีวิตแล้วอีกด้วย และฉากในตอนนั้นก็ดังที่ผู้อ่านเห็นในรูปข้างล่างนี้ และพอมีอำนาจพระองค์ทรงแก้แค้นให้กับสนมผู้นึ้ด้วยการสั่งประหารคนที่ลอบฆ่าสนมสุดรักของพระองค์
3
ภาพชื่อว่า The Coronation of Inês de Castro in 1361 วาดโดยศิลปินฝรั่งเศสนามว่า Pierre-Charles Comte วาดเมื่อปี 1849 ที่มา: Wikipedia
• รักของเจ้าชาย
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 14
เจ้าชายปีเตอร์แห่งโปรตุเกส ทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งกษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 (King Alfonso IV) ด้วยความเป็นหน่อเนื้อชาติเชื้อกษัตริย์ทรงมีหน้าที่ที่ต้องมีรัชทายาทให้กับราชบัลลังก์ของโปรตุเกสต่อไป
1
แน่นอนว่าพระองค์ทรงถูกจัดแจงเลือกคู่ไว้ให้แล้ว ว่าที่ชายาของพระองค์คือ คอนสแตนซ่า มานูเอล หรือคอนสแตนซ์แห่งคาสตีล (Constanza Manuel, Constance of Castile) เป็นธิดาของขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรคาสตีล และมีมารดาเป็นพระธิดาของกษัตริย์เจมส์ที่ 2 แห่งอารากอน
1
คู่หมายของเจ้าชายปีเตอร์เคยสมรสมาแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะเคยถูกคลุมถุงชนให้อภิเษกกับกษัตริย์อัลฟองโซที่ 11 แห่งคาสตีล (Alfonso XI of Castile) แต่แต่งกันอยู่ 2 ปีกษัตริย์อัลฟองโซที่ 11 ก็ให้การแต่งงานนี้เป็นโมฆะ แล้วพระองค์ก็ไปอภิเษกใหม่กับพระราชธิดาองค์โตของอัลฟองโซที่ 4 แทน (พูดง่าย ๆ คือไปมีเมียใหม่เป็นพี่สาวของเจ้าชายปีเตอร์นั่นแล อลเวงดีแท้)
สาเหตุแห่งการจับคู่คลุมถุงชนระหว่างเจ้าชายปีเตอร์กับคอนสแตนซ์ก็เลยชุลมุนน่าดู เป็นเพราะกษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 ทรงต้องการสร้างพันธมิตรกับอดีตพ่อตาของลูกเขยตัวเองเพื่อต่อต้านลูกเขยของพระองค์ เพราะพอรู้ว่ากษัตริย์อัลฟองโซที่ 11 แห่งคาสตีลทรงปฏิบัติต่อพระราชธิดาของพระองค์แย่มาก พ่อตาปัจจุบันก็เลยจับมือกับอดีตพ่อตา โดยให้เจ้าชายปีเตอร์สมรสกับคอนสแตนซ์แห่งคาสตีล
เจ้าชายปีเตอร์จึงต้องทรงทำหน้าที่ในฐานะเจ้าชายผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์โปรตุเกสต่อไปด้วยการแต่งงานกับคอนสแตนซ์แห่งคาสตีลเมื่อปี 1340 ที่เมืองลิสบอน
แต่เรื่องก็อลเวงต่อไปเมื่อกามเทพดันแผลงศรใส่ผิดคน เพราะพอเมื่อคอนสแตนซ์เดินทางมาถึงโปรตุเกส เจ้าชายปีเตอร์กลับไปตกหลุมรัก อีเนส ดี คาสตรู ธิดาของขุนนางคาสตีลที่เดินทางมาด้วยเพื่อทำหน้าที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์ให้แก่คอนสแตนซ์
เจ้าชายปีเตอร์ทรงตกหลุมรักอีเนสที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของชายาของพระองค์ผู้นี้อย่างรวดเร็ว และนางก็รักตอบพระองค์ด้วย ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมาโดยตลอด อีเนสจึงมีอีกหน้าที่หนึ่งคือเป็นนางสนมของเจ้าชายปีเตอร์ และมีโอรสและธิดานอกสมรสกับอีเนสด้วย ซึ่งคอนสแตนซ์ก็พยายามขัดขวางความสัมพันธ์นี้แต่ก็ไม่สำเร็จ
แต่ที่แน่ ๆ คอนสแตนซ์รับรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะเจ้าชายปีเตอร์ไม่สนใจใยดีชายาแต่ง ความรักทั้งหมดทุ่มไปกับนางสนมอีเนส การที่เจ้าชายปีเตอร์ไม่ใส่ใจชายาของพระองค์สั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกสกับคาสตีลที่เปราะบางอยู่แล้ว แถมยังนำพาให้บรรดาพี่น้องผู้ชายของอีเนสมีอำนาจเพราะได้กลายมาเป็นพระสหายสนิทและที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดกับเจ้าชายปีเตอร์
ความสัมพันธ์เยี่ยงนี้อื้อฉาวและอันตรายมากจนกษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 ทรงไม่โปรดที่อีเนสมีอำนาจเหนือพระโอรสของพระองค์ พระองค์จึงทรงรอให้พระโอรสเบื่อสนมนางนี้ไปเอง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นดั่งที่พระองค์คาด
รูปจำลองของอีเนสบนโลงศพหินอ่อนของนาง ที่มา: Wikipedia
• อุปสรรคของความรัก
ถึงแม้เจ้าชายปีเตอร์จะมิได้รักใคร่ใยดีคอนสแตนซ์ผู้เป็นชายา แต่ก็มีโอรสและธิดากับชายาอยู่ 3 องค์ ชายาของเจ้าชายปีเตอร์สิ้นชีพในปี 1345 ภายหลังจากคลอดทายาทให้แก่พระองค์ผู้ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 (Ferdinand I) ได้ไม่กี่สัปดาห์ การจากไปของชายาเลยทำให้พระองค์กับอีเนสอยู่กินกันออกหน้าออกตาอย่างเป็นทางการ
กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 จึงพยายามจัดแจงให้พระโอรสสมรสใหม่หลายครั้ง แต่เจ้าชายปีเตอร์ปฏิเสธ พระองค์ทรงยืนยันกับพระราชบิดาว่าจะไม่สมรสกับใครนอกจากอีเนสเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ปัญหาคืออีเนสไม่มีคุณบัติเหมาะสมพอสำหรับตำแหน่งว่าที่ราชินีของโปรตุเกส
โอรสของอดีตชายาผู้สิ้นชีพที่จะได้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ต่อไปนั้นร่างกายอ่อนแอ ในขณะที่โอรสธิดานอกสมรสกับอีเนสนั้นแข็งแรงสุขภาพดี ซึ่งทำให้บรรดาขุนน้ำขุนนางโปรตุเกสรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเกรงว่าพวกขุนนางจากคาสตีลจะยิ่งมีอิทธิพลต่อเจ้าชายปีเตอร์มากกว่าพวกตน
แต่พฤติกรรมเยี่ยงนี้ไม่เป็นที่สบพระทัยกษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 พระองค์เกรงว่าพระโอรสจะสนับสนุนเหล่าญาติสายคาสตีลของสนมอีเนสจนทำให้ราชสำนักโปรตุเกสไม่มั่นคงและจะส่งผลต่อสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ในอนาคตด้วย พระองค์จึงทรงสั่งให้อัปเปหิอีเนสออกจากราชสำนัก
ถึงแม้กระนั้น อุปสรรคนี้ก็มิอาจขวางกั้นความรักของคนทั้งคู่ เจ้าชายปีเตอร์ทรงประกาศว่าอีเนสคือรักแท้ของพระองค์ และทั้งสองก็แอบอยู่กินกันอย่างลับ ๆ ต่อไป
กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 ทรงพยายามแยกคู่รักคู่นี้ออกจากกันหลายครั้ง แต่ไม่ทรงประสบความสำเร็จ ดังนั้นความตายจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งสองแยกขาดจากกันได้
กษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 จับแยกพระโอรสออกจากอีเนส โดยพระองค์สั่งให้กักตัวอีเนสอยู่ที่อารามแห่งหนึ่ง แล้ว
ว่าจ้างมือสังหารจำนวน 3 คนเดินทางไปจัดการปลิดชีพนาง โดยอีเนสถูกตัดศีรษะต่อหน้าลูกเล็ก ๆ ของนางเมื่อปี 1355 แต่มีตำนานเล่าขานเป็นสีสัน(เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวว่าอีเนสถูกฆ่าตรงจุดที่มีน้ำพุ และคราบเลือดของเธอยังติดให้เห็นอยู่ในหินมาจนถึงทุกวันนี้
1
เจ้าชายปีเตอร์ทรงโกรธแค้นกับการกระทำนี้มาก กลายเป็นศึกระหว่างพ่อลูก เจ้าชายทรงยกทัพไปรบกับพระราชบิดาของพระองค์เป็นการตอบโต้แต่ก็พ่ายไปถึงแม้ว่ากษัตริย์อัลฟองโซที่ 4 จะรบชนะพระโอรส แต่พระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าชายปีเตอร์จึงทรงกลายเป็นกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 แห่งโปรตุเกสในปี 1357
แต่บางเวอร์ชั่นเล่าว่าเจ้าชายปีเตอร์ทรงโกรธมากจนถึงขั้นจะรบกับพระบิดา แต่พระมารดาของพระองค์คือราชินีบีทริซ (Queen Beatriz) มาร้องขอเพื่อสันติสุขและโน้มน้าวใจให้เจ้าชายปีเตอร์ล้มความคิดนี้ และยังทำให้พระองค์สาบานว่าจะไม่ตามล่าฆ่ามือสังหารอีเนส แต่พอพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็เปลี่ยนใจและออกคำสั่งให้ตามล่าบุคคลเหล่านั้น จนทำให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า “ผู้โหดร้าย” (Cruel)
ภาพวาดการสังหารอีเนส วาดโดยศิลปินรัสเซียชื่อว่า Karl Briullov ที่มา: Wikimedia Commons
• สถาปนาราชินีจากหลุมศพ
เมื่อปีเตอร์ที่ 1 ทรงครองบัลลังก์ พระองค์ทรงอ้างว่าได้สมรสกับอีเนสแล้วอย่างลับ ๆ ดังนั้น อีเนสจึงมีสถานะเป็นราชินี ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานการสมรสอย่างถูกต้องมายืนยันนอกจากคำพูดของพระองค์ แต่ในเวลานี้ทรงกลายเป็นกษัตริย์มีอำนาจแล้ว สิ่งที่พระองค์ตรัสคือกฎหมาย
มีตำนานอันสยดสยองเล่ากันว่า กษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 ทรงมีคำสั่งให้ขุดศพของอีเนสยอดดวงใจของพระองค์ขึ้นมาใหม่ นำร่างนั้นมานั่งในบัลลังก์ แต่งองค์ทรงเครื่องนางด้วยมงกุฎและชุดในราชพิธี เพื่อทำพิธีสวมมงกุฎสถาปนานางให้เป็นราชินีของพระองค์ ตามตำนานเล่าขานกันมาว่าพระองค์ถึงขั้นบังคับให้เหล่าข้าราชสำนักขุนน้ำขุนนางแสดงสัตย์ปฏิญาณต่อศพของอีเนส และให้แสดงความเคารพโดยจุมพิตชายชุดคลุม(บ้างก็ว่ามือ)ของศพที่เน่าเปื่อยขององค์ราชินีเพื่อชดเชยห้วงเวลาที่ยามนางมีชีวิตอยู่ไม่เคยได้รับความเคารพเช่นนี้
สิ่งที่กษัตริย์ปีเตอร์ทรงลงมือทำต่อไปคือมีพระบัญชาตามล่าบรรดาคนที่ลอบฆ่าสนมของพระองค์ และจับตัวได้ 2 คน ซึ่งการลงโทษนั้นก็ทำเพียงแค่ให้ควักหัวใจออกจากร่างของมือสังหารเหล่านี้ต่อหน้าสาธารณชนในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง พระองค์ให้เหตุผลว่าคนพวกนี้ไม่สมควรมีหัวใจหลังจากที่ได้ขยี้หัวใจของพระองค์ด้วยการสังหารสนมยอดรักของพระองค์ไป
กษัตริย์ปีเตอร์ยังประกาศให้ลูก ๆ ของอีเนสกับพระองค์เป็นพระโอรสและธิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย พระธิดาของพระองค์ก็คือทวดของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์แห่งอะรากอน (Ferdinand II of Aragon) ผู้เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ที่อภิเษกกับอิซซาเบลล่าแห่งคาสตีล (Isabella I of Castile) จนรวบรวมดินแดนกลายเป็นประเทศสเปนต่อมานั่นเอง (ก็คือกษัตริย์ที่ให้ทุนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ล่องเรือจนไปพบทวีปอเมริกานั่นแหละ)
ศพของอีเนสถูกฝังไว้ที่อาราม Alcobaça ซึ่งปัจจุบันโลงศพของนางก็ยังคงมีอยู่ และอยู่ตรงข้ามกับโลงพระศพของกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 โดยมีความเชื่อว่าเมื่อถึง “วันตัดสินสุดท้าย” ทั้งสองจะได้มองเห็นซึ่งกันและกันได้เมื่อลุกขึ้นมาจากหลุมศพ
โลงศพของทั้งคู่ทำมาจากหินอ่อน และสลักลวดลายวิจิตรงดงามถ่ายทอดเรื่องราวตอนที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่และคำสัญญาของกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 ว่าทั้งสองจะครองคู่อยู่ด้วยกันตราบจนวันสิ้นโลก
โลงฝังศพของอีเนส ที่มา: ArtsandCulture.google.com
อ้างอิง:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา