18 ม.ค. 2022 เวลา 14:24 • ความคิดเห็น
เรื่องภิกษุ ก็คือฆราวาส ที่เข้ามาอาศัยครองเครื่องหมายกาสาวพัสตร์ ว่าจะเป็นผู้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติธรรมไปตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าบวชปุ๊บ จิตเป็นพระปั๊บเมื่อไหร่ล่ะ ก็ยังมีโลภโกรธหลงอยู่ ฆราวาสที่เข้ามาบวช บวชตามประเพณีบ้าง บวชแก้บนบ้าง บวชเพราะเบื่อโลก บวชเพราะไม่รู้จะไปไหนดี ก็ล้วนมีมากมายหลายสาเหตุ มีหลวงตาที่นับถือ เคยถามท่านว่า หลวงตาทำไมถึงบวช ท่านว่า ผู้หญิงมันว่าฉันหน้าตัวเมีย ฉันก็เลยบวช แต่ท่านก็ปฏิบัติธรรมของท่านเงียบๆจนมรณภาพ ถามว่าก่อนจะมาบวชมาขอนิสัยของพระ เพื่อละนิสัยเยี่ยงฆราวาส มาประพฤติปฏิบัติธรรม ไปตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธะ นั่น ต้องทำอย่างไรบ้าง เราก็ดูที่ต้นแบบ องค์พระสิทธัตถะ ที่ท่านกระทำมา ท่านทิ้งทรัพย์สมบัติ ท่านทิ้งยศฐานบรรดาศักดิ์ ไปอยู่กลางป่า แล้วสมัยนี้บวชแล้วอยู่ที่ไหน? แล้วสามารถจะทำได้เหมือนต้นพุทธกาลมั้ย?
แล้วการที่มีวัดวาอาราม ผู้ที่ถวายที่ให้สร้างวัดเค้าต้องการอะไร เค้ามีไว้ทำไม ถ้าไม่ใช่ให้ญาติโยม สร้างบุญกุศีลบารมี สมัยก่อน คงไม่มีปัญหาเรื่องการดูแลวัดวาอะไรมากมาย เพราะญาติโยมก็ช่วยกันดูบูรณสละหยาดเหงือแรงกาย มากระทำ สร้างกุฏิศาลา อะไรก็ไม่ต้องอาศัยปัจจัยอะไรไปซื้อ มีแค่แรงกายช่วยกันไปตัดไม้ มาทำกุฏิศาลา ยามภิกษุเจ็บป่วยก็มีหมอพื้นบ้านช่วยรักษา สงเคราะห์อนุเคราะห์ ภิกษุให้หายเพื่อจะได้มีกำลังกายเป็นปกติประพฤติปฏิบัติธรรม
แล้วในปัจจุบันนี้ ภิกษุก็มีกาย แก่เฒ่าชราเป็นปกติ ภิกษุที่อยู่เมืองนอกเมือง ตามชนบท ก็มีเจ็บป๋วย มีทุกข์เวทนาในเรื่องของกาย เคยเจอภิกษุ ท่านเจ็บป่วย มาคนเด๊ยว ตัวคนเดียว ญาติโยมก็ไม่มี อาศัยโบกรถมาโรงพยาบาล เราก็ถวายปัจจัยให้ท่าน เอาไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น แล้วก็เป็นค่ารถเดินทางกลับ ภิกษุที่อยู่ตามชนบทจริง ท่านก็ไม่มีปัจจัยอะไรมากมาย บางที่ท่านก็ต้องมาทำหน้าที่ให้การศึกษากับเด็กที่ยากจน มาบวชเป็นเณรเพื่อเรียนหนังสือ ถามว่าพระจะได้ปัจจัย จะต้องจับปัจจัยมั้ย ค่าน้ำปะปา (สมัยก่อนรองน้ำฝนกินได้ สมันนี้รองน้ำฝนมากินได้มั้ย) ค่าไฟ ค่าดูแลบูรณะ กุฏิ ค่ารักษาพยาบาลมันก็มี บางวัดก็สร้างเสียใหญ่โต คนมาบวชก็น้อย เด็กวัดก็ไม่มีแล้ว บางวัดก็เป็นที่ฌาปนกิจสถานออกใหญ่โต แล้วใครเป็นผู้บริหารจัดการ ถ้าไม่ใช่ภิกษุภายในวัด
แล้วเวลาไปขอสถานที่จัดงานศพไปขอใคร แล้วจะไม่ให้พระจับเงินได้อย่างไร ที่จริงแล้ว ปัจจัยเงินทองนั้นที่ญาติโยมถวายให้นั้น เพราะญาติโยมเค้าต้องการบุญ พระที่รับก็เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์โยมให้ได้บุญ บุญที่ไปเสาะแสวงหาปัจจัย มาด้วยความเหนื่อยยาก สละออกมา สละความยึดถือทรัพย์สมบัติ สละความโลภโกรธหลง ที่ต้องใช้อารมณ์กรรมต่างๆไปแสวงหามา สละปัจจัยนั้นมาบำรุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจิตของตนจะได้อาศัยศาสนาสร้างบุญกุศลบารมี ถ้าภิกษุไม่จับไม่รับปัจจัยเสียแล้ว ญาติโยมจะสร้างบุญกุศลกับศาสนาได้อย่างไร เพราะญาติโยมก็ต้องการบุญ บรรเทาทุกข์เหมือนกัน ทุกข์กับเรื่องราวความโลภโกรธหลง ที่ไหลมาสะสม ในจิตตน
ที่อยู่ที่อาศัย อาหารการกิน ที่หลับที่นอน มีไว้เพียงเพื่อประทังสังขาร ประคองสังขารที่มีกรรม ให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ภิกษุที่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ ที่จริงท่านไม่อยากรับปัจจัยอะไรของญาติโยมเลย แต่ที่ท่านรับก็ด้วยเมตตาสงเคราะห์ ให้กายให้จิตเค้ามีบุญ บุญนั้นคืออะไร เราก็ต้องทำความเข้าใจอีกเหมือนกันว่าอะไรคือบุญ
บางคนก็มาถวายสิ่งของปัจจัย เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ปผู้ที่ล่วงรับไปแล้ว เรื่องราวเจ้ากรรมนายเวร ใครจะสงเคราะห์ รับสิ่งของปัจจัย มาแปรสภาพให้เป็นบุญกุศลได้ ใครจะอุทิศส่วนกุศลช่วยจิตที่ทุกข์ทรมานละกายมนุษย์ไปได้ ลูกจะทำบุญอุทิศให้กับพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว จะทำอย่างไร มันก็มีหลายภาระที่เข้าไปหาภิกษุ มันจึงมีผู้พูดให้ฟังว่า อยากตกนรก ให้เป็นเจ้าอาวาส ทำไมเป็นเช่นนั้น ภิกษุที่ท่านมุ่งมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมจริง ท่านก็ไม่ค่อยอยู่เมือง ท่านก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร ท่านก็มุ่งเรื่องราวชำระสะสาง กายวาจาใจของท่าน เพื่อจะหยุดกรรมหยุดเกิด
มีผู้พูดให้ฟังว่า คำว่า พระ..มาจากคำว่า พอละ พอละ..ละเรื่องราวของความโลภโกรธหลง ความทะเยอทะยานอะไรต่างๆไปจนหมด จนจิตนั้นหยุดสิ่งต่างๆที่ไหลมาแต่เหตุเป็นอารมณ์กรรม ดับได้หมด เค้าจึงว่า จิตของพระ คราวนี้ภิกษุที่มาบวชท่านก็ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ไปจนถึงจิตเป็นพระ แต่เราก็เรียกกันว่าพระ ทั้งที่ยังไม่ลดละประพฤติประพฤติธรรมให้เกิดมรรคผลอะไรเลย พอมาครองผ้ากาสาวพัสตร์ ก็เรียกว่าพระไปเสียแล้ว ตามประเพณีที่เค้าเรียกกัน ทั้งที่คำว่าพระ..เป็นคำที่สูง ผู้ที่ทำจิตเป็นพระได้ เทพยดาอินทร์พรหมท่านก็อนุโมทนาสาธุการ
โฆษณา