25 ม.ค. 2022 เวลา 12:52 • ความคิดเห็น
The Diary 5 : คนเดินถนนที่นี่มีสิทธิ์การใช้ถนนเป็นอันดับหนึ่ง
หนึ่งในหน้าไดอารี่ที่ถูกเขียนไว้อย่างประทับใจตั้งแต่วันแรกๆที่เพิ่งมาถึง คือเรื่องของการเดินทางในชีวิตประจำวัน
แต่ละรัฐคงมีกฎหมายเกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนนแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย เนื่องจากแยกกันปกครอง แต่คิดว่าโดยรวมคงเหมือนกัน คือเรื่องของการจำกัดความเร็ว การหยุดให้ทาง และการเคารพสิทธิ์การใช้ถนน
ภาพจากเพจ facebook : uninspired by current events
สำหรับเมืองที่อยู่เรียกว่าเป็น ‘เมืองมหาวิทยาลัย’ คือทั้งเมืองมีมหาวิทยาลัยเป็นจุดศูนย์กลาง มหาวิทยาลัยมีคณะแพทย์ ก็เลยมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย แล้วจึงเกิดการพัฒนาสิ่งต่างๆ เช่น ห้าง ร้านอาหาร ธนาคาร สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง ขึ้นโดยรอบมหาวิทยาลัย
ประชากรส่วนใหญ่ราว 70% ในเมืองเป็นนักศึกษาที่มาเรียน เรียนจบก็ไป ทำให้มีการเกิดอาชญากรรมน้อยมาก ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการใช้ชีวิต (เดินถนนคนเดียวตอนตีสามได้แบบไม่กังวล) อายุเฉลี่ยของประชากรในเมืองจึงไม่สูงมาก
การขนส่งสาธารณะในเมืองนี้มีอยู่อย่างเดียวคือ RTS หรือ ‘รถเมล์’ สำหรับนักศึกษาสามารถขึ้นรถได้ฟรีทุกสายเพียงแค่แสดงบัตรนักศึกษา รถเมล์ก็มีหลายสายและขับผ่านทุกสถานที่ทั่วทั้งเมือง เกือบทุกสายจะขับเข้าไปในแคมปัส ซึ่งจะผ่านทุกตึก ทุกอาคารในมหาวิทยาลัย มีตารางการเดินทางที่แน่นอน และสามารถเช็คตำแหน่งรถทุกสายแบบ realtime ได้จากแอพพลิเคชั่น
- ที่นี่มี​ 'สิทธิ์'​ การใช้ถนนอยู่​ โดย​ 'คน'​ มีสิทธิ์​การใช้ถนนเป็นอันดับ​ 1 มอเตอร์​ไซค์​ มีสิทธิ์​การใช้ถนนเป็นอันดับ​ 2 และ​ รถยนต์​ มีสิทธิ์​การใช้ถนนเป็นอันดับ​ 3 -​
🚶 กล่าวคือ ถ้าเห็นคนจะข้ามถนนต้องหยุดให้ข้ามโดยทันที ‘ไม่ว่าจะมีทางม้าลายหรือไม่’ ไม่มีสิทธ์ไปบีบแตรไล่ หรือตะโกนบอกให้ข้ามเร็วๆ
1
🏍 รถยนต์ก็จะเคารพสิทธิ์ของมอเตอร์ไซค์ โดยถือว่ามอเตอร์ไซค์เป็นรถยนต์คันหนึ่ง มีสิทธ์ใช้ถนนหนึ่งเลนเต็ม ดังนั้นรถยนต์ต้องขับตาม ไม่มีการเบียดไปขับข้างๆ แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ก็ต้องพึงคำนึงสิทธิ์ของกันและกัน
🚙 รถยนต์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร ถ้าถนนมีป้ายบอกความเร็ว (speed limit) ตั้งอยู่ ก็ห้ามขับเกินที่ระบุ (ซึ่งบางทีแต่ละเส้นมี speed limit ไม่เท่ากัน) ถ้าเป็นถนน highway ที่ขับผ่านเมือง บางทีมี minimum speed คือห้ามขับช้ากว่าที่กำหนด
มีสิ่งหนึ่งที่เห็นตรงกันในหมู่เพื่อนคนไทยในอเมริกาว่า ‘ชอบ’ ไม่ว่าจะอยู่รัฐไหน คือความศักดิ์สิทธิ์ของป้าย ‘STOP’ หรือ ป้ายหยุด รถยนต์ที่เห็นป้ายนี้ต้องหยุดทุกคัน หยุดแบบหยุดจริงๆ (completely stop) สัก 2 วินาที แล้วค่อยไปต่อ ถึงบนถนนจะไม่มีรถเลยก็ต้องหยุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นป้ายที่อยู่ตามแยก ไม่ว่าแยกเล็กหรือใหญ่ (บางทีรถแข่งกันหยุด เพราะฝั่งไหนหยุดก่อน มักจะได้ไปก่อน)
2
ซึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์เนี่ย ไม่ต้องพึ่งพาเทพเจ้าที่ไหน แค่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ค่าปรับมหาโหด’ ก็พอ เวลาโดน ticket แต่ละทีกินบุฟเฟต์ได้หลายมื้อ แถมถ้าไปจอดซี้ซั้ว เจอยกรถหายไปทั้งคันเป็นเรื่องปกติ
thanop.com
จากประสบการณ์ส่วนตัว สิ่งที่ชอบที่สุดของการใช้ชีวิตในอเมริกา (รองจากท้องฟ้าเพราะเมืองที่อยู่ท้องฟ้าสวยมาก) ก็คือการใช้รถใช้ถนนนี่แหละ
1
speed limit ของถนนในมหาวิทยาลัยจะต่ำมาก เพราะฉะนั้นรถที่ขับในมหาวิทยาลัยจะวิ่งช้าาาามากกกก ตอนที่ไปถึงแรกๆ แค่เดินไปยืนอยู่ริมถนน เหลียวมองดูรถเตรียมจะข้าม รถที่วิ่งมาช้าๆก็เบรคเอี๊ยดดด
1
แล้วลองนึกสภาพ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นต่างดาวน้องใหม่ มาจากประเทศไทยที่ต้องหันมองสัก 4-5 รอบว่าข้ามถนนได้หรือยัง นี่แค่เดินไปยืนริมถนน หันมาอีกทีรถทุกคันหยุดให้แบบเรียงหน้ากระดาน ทั้งที่ตรงนั้นไม่ใช่ทางม้าลาย แล้วก็ยังมีแค่เราคนเดียว (ไม่จำเป็นต้องรวบรวมคนให้ได้เยอะๆแล้วค่อยข้ามเป็นกลุ่มเพื่อกดดันรถให้หยุดเหมือนที่ไทยเลย)
3
- ความรู้สึกแรกคือ​ งง​ นิ่งไปแปบนึง​ ว่า อะไร​ แค่นี้ก็หยุดให้แล้วเหรอ​ รถหยุดจนเกรงใจว่าต้องรีบข้ามละนะ​ -​
ตอนนั้นรู้สึกแบบซาบซึ้งราวกับชีวิตไม่เคยเจออะไรดีงามแบบนี้ นึกถึงประเทศตัวเองแล้วน้ำตาจะไหล ฉันไม่เคยข้ามถนนที่ประเทศไทยแล้วรู้สึกสบายใจแบบนี้เลย
1
อีกความดีงามที่พบเจอคือ ‘รถเมล์ที่นี่มีทางลาดขึ้น-ลงสำหรับรถเข็นผู้พิการทุกคันและใช้งานได้จริงๆ’
1
ประเทศไทยทำให้รู้สึกว่าไม่อยากแก่ ไม่อยากพิการ เพราะใช้ชีวิตลำบากมาก แทบไม่ต้องคิดออกไปไหนถ้าไม่มีคนพาไป แต่อยู่ที่นี่ไปสักพักแล้วรู้สึกว่าเมืองที่อำนวยความสะดวกสำหรับคนนั่งรถเข็นมันดีอย่างนี้เอง สามารถพบเจอผู้สูงอายุและคนพิการนั่งรถเข็นบังคับเองมาซื้อของที่ห้างได้เป็นปกติ
2
โดยคนขับรถเมล์ จะกดปุ่มให้ทางลาดที่ซ่อนอยู่ยื่นออกมา คนบนรถเข็นก็บังคับรถขึ้นไป หลังจากนั้นคนขับจะเป็นคนเดินมาใช้อุปกรณ์ล็อคที่ติดตั้งอยู่ภายในรถเมล์ล็อครถ ล็อคล้อ ไม่ให้เคลื่อนไปไหน เมื่อเช็คว่าทุกอย่างแน่นหนา เสร็จเรียบร้อยถึงค่อยออกรถ ตอนลงก็เช่นเดียวกัน
การเห็นภาพชีวิตดีๆแบบนั้น ทำให้รู้สึกสะท้อนใจและอดย้อนเปรียบเทียบกับประเทศไทยไม่ได้จริงๆ รถเมล์ที่บันไดสูงจนแม้แต่คนธรรมดายังก้าวแทบไม่ทัน ไม่ต้องหวังถึงทางลาดตรงบันไดรถเมล์สำหรับคนนั่งรถเข็นเลย เพราะขึ้นไปบนรถจะมีที่ว่างพอสำหรับรถเข็นมั้ยก่อน
1
จะว่าไป รถเมล์ก็เป็น culture shock แรกที่เจอตอนกลับไทยเช่นกัน
เนื่องจากตอนอยู่อเมริกานั่งรถเมล์บ่อย ไม่ว่าจะเมืองไหนๆ ไม่มีใครเดินไปรอที่ประตูก่อนถึงป้าย (แม้แต่ตอนนั่ง subway ในนิวยอร์คก็ไม่มีใครเดินไปที่ประตูก่อนรถหยุด) สิ่งที่ทุกคนทำคือกดกริ่ง แล้วนั่งกับที่ เมื่อรถถึงสถานีต้องรอให้รถจอดสนิท ถึงค่อยลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู
1
#ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัย
แล้วพอกลับไทย เกิดอะไรขึ้น ก็กดกริ่งแล้วนั่งอยู่กับที่ พอรถเมล์จอดที่ป้ายค่อยลุกเดินไปที่ประตู ปรากฎว่าอะไรรู้ไหม เดินไปถึงประตู รถเมล์ออกแล้ว
2
ก็เลิกลั่กหันไปมองกระเป๋ารถเมล์ว่าแบบ อ้าว ยังไม่ได้ลงเลย เจอกระเป๋ารถเมล์ด่ากลับเสียงดัง ว่าทีหลังจะลงก็ต้องรีบลุกมาก่อน ไม่ใช่รอให้ถึงป้ายแล้วค่อยเดินมาแบบนี้ @฿$¥{…*:¥#฿@@€_{)[€฿#&$€”@@$¥{¥}
2
โอ้โห ได้สติทันทีว่า โอเค ที่นี่ประเทศไทย!
2
[ หมายเหตุ ]
จากเรื่องราวของหมอกระต่าย ถือว่าใกล้ตัวระดับนึง หมอกระต่ายเรียนเฉพาะทางที่เป็นสาขาหายาก โดยเฉพาะ Uveitis หรือ จักษุวิทยาภูมิคุ้มกันอักเสบ มีหมอน้อยคนในไทยที่เลือกเรียนสาขานี้ หมอเพิ่งเรียนจบและกำลังจะบรรจุ ได้ทำงานหลังจากเรียนมา 14 ปีแถมเพิ่งกลับจากต่อ fellow ที่ University of California (UCSF) ที่อเมริกา
4
หมออาจจะเคยชินเหมือนกัน ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีทางม้าลาย แต่ถ้าไม่มีสัญญาณไฟให้กดปุ่ม ทางม้าลายก็เหมือนไม่มีอยู่ การใช้รถใช้ถนนที่นี่ไม่เป็นมิตรกับคนเดินถนนเลย
1
ยิ่งพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หวังจริงๆว่าการใช้รถใช้ถนนของประเทศไทยจะดีขึ้นบ้าง เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยากให้คนไทยออกไปพบเจอในประเทศที่เขาเจริญแล้วมากที่สุด ว่าคนในแต่ละประเทศที่พัฒนาแล้ว​ เขามีคุณภาพชีวิตการใช้รถใช้ถนนกันยังไง
2
💐
เพื่อนๆของหมอกระต่ายทำแคมเปญ​ 'ทางกระต่าย'​ ขึ้นมา ❤️ เพื่อรวบรวมรายชื่อคนที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการข้ามทางม้าลายโดยปลอดภัยแบยยั่งยืน
หลังจากนั้นจะรวบรวมรายชื่อทั้งหมดเพื่อยื่นกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมาธิการคมนาคมของรัฐสภา ตัวแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สามารถลงชื่อได้ที่เว็บด้านล่างนี้เลยค่ะ​ :) >>

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา