6 ก.พ. 2022 เวลา 08:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
10 จุดจบของโลกและมนุษยชาติที่นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้
8
ระยะเวลาที่ใช้ในการอ่านโดนประมาณ : 5นาที
1
ตามกฏธรรมชาติแล้ว ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป คำพูดนี้เป็นจริงกับทุกสรรพสิ่ง แน่นอนว่าโลกและมนุษยชาติก็เช่นกัน ในเมื่ออุบัติขึ้นมาได้ มันก็ย่อมมีวันที่จะแตกดับได้เช่นกัน และในวันนี้นายจอมโม้จะมาพูดถึง 10 “จุดจบของโลกและมนุษยชาติ” ที่นักวิทยาศาสตร์คาดไว้
1. ดวงอาทิตย์สว่างมากเกินไป
จากแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คาดการว่าในอีก 600 ล้านปีข้างหน้า แสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จนกระทั้งไปขัดขวางวงจร Carbonate-Silicate ในโลก โดยวงจรที่ว่านี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างคาร์บอนและซิลิกอน เพื่อช่วยในการรักษาระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลก และเมื่อวงจรนี้ถูกขัดขวางระดับคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะลดลงเข้าขั้นวิกฤต และพืชก็จะไม่สามารถสังเคราะห์แสง และไม่สามารถผลิตออกซิเจนได้ ระบบนิเวศก็จะล่มสลาย สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดก็จะต้องล้มตายไป
5
2. อุกกาบาตพุ่งชนโลก
เมื่อ 66 ล้านปีก่อน เคยมีอุกกาบาตขนาดมหึมาพุ่งชนโลกในบริเวณแหลมยูคาทาน ของประเทศแม็กซิโกในปัจจุบัน โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้กวาดล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกไปกว่า 75% หรืออย่างเหตุการณ์ในปี 2020 ที่ NASA ตรวจพบดาวเคราะห์น้อย 2020 VT4 ที่เคลื่นที่เฉียดโลกห่างเพียง 370 กิโลเมตรเท่านั้น ดังนั้นในอนาคตจึงมีความเป็นไปได้ที่โลกจะถูกพุ่งเข้าชนโดยอุกกาบาตขนาดใหญ่มากพอ ที่อาจทำให้มนุษยชาติต้องเผชิญกับการสูญสิ้นดังเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นๆเมื่อ 66 ล้านปีก่อน
5
3. ปัญญาประดิษฐ์
นักวิทยาศาสตร์หลายคนกล่าวว่ามนุษย์อาจไม่ได้อยู่ถึงวันที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก แต่พวกเราน่าจะต้องเจอปัญหาจากปัญญาประดิษฐ์ที่มนุษย์เป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาเองก่อน โดยเมื่อถึงจุดที่เรียกว่า Technological Singularity หรือเมื่อ AI ได้วิวัฒนาไปจนถึงระดับ Artificial Super Intelligence (ASI) ในจุดนี้พวกมันจะมีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในทุกๆด้าน สามารถเรียนรู้เอง คิดด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป และในท้ายที่สุด ASI อาจเห็นมนุษย์เป็นเพียงส่วนเกินบนโลกใบนี้ และทำการกวาดล้างมนุษยชาติออกไป อย่างที่เราเห็นกันในภาพยนต์
7
4. Malthusian
1
ย้อนกลับไปในปี 1798 นักวิชาการชาวอังกฤษชื่อ Thomas Malthus ได้เผยแพร่ความคิดของตัวเองที่ว่า ในอนาคต จำนวนประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายจะมีมากเกินกว่าที่ทรัพยากรของโลกจะรองรับได้ โดยเขาเรียกสิ่งนี้ว่าภัยพิบัติ Malthusian ในสภาวะนี้ผู้คนจะขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ทรัพยากรก็จะเหลือน้อยเต็มที ทำให้เกิดการแย่งชิงและความขัดแย้งขึ้น หรืออาจถึงขั้นเกิดเป็นสงครามขนาดใหญ่ อีกทั้งการเสื่อมโทรมและความอดอยากจะนำมาซึ่งโรคระบาดซึ่งจะคร่าชีวิตจำนวนมหาศาล และต่อให้ในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มผลผลิตได้จริง แต่ถ้าหากมันเป็นเทคโนโลยีที่ไม่สะอาดมากพอ และยังทำลายธรรมชาติ โลกก็จะยังคงหนีไม่พ้นภัยพิบัติ Malthusian อยู่ดี
4
5. รังสีแกมมา
ในอวกาศมีปรากฏการมากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการระเบิดรุนแรงที่รู้จักกันในชื่อ Gamma-Ray Burst ซึ่งรังสีแกมมาจะถูกปล่อยออกมาจากซูเปอร์โนวา และแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่พลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นมหาศาล ซึ่งอาจมากพอๆกันกับพลังงานที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยออกมาตลอดชีวิตของมัน ดังนั้นถ้า Gamma-Ray Burst เกิดขึ้นในทางช้างเผือกของเรา และโลกของเราดันไปอยู่ในตำแหน่งที่รับผลกระทบพอดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกอย่างแน่นอน
1
6. Super-Eruption
Super-Eruption คือการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟขนาดใหญ่ และมันสามารถสร้างความเสียหายให้กับทวีปทั้งทวีปได้ โดยการระเบิดที่ว่านี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณ 74,000 ปีก่อน โดยนักธีณีวิยาประมาณว่า เหตุการณ์แบบนี้น่าจะเกิดขึ้นทุกๆ 50,000 ปี และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีประกาศให้เฝ้าสังเกตุการณ์ภูเขาไฟในเขตอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน เนื่องจากมีรายงานว่ามันมีความเคลื่อนไหวที่เร็วกว่าปรกติจนเป็นเหมือนสัญญาณเตือนล่วงหน้า โดยคาดกันว่าการระเบิดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นภายใน 100 ปีนี้ และถ้ามันเกิดขึ้นจริงมันจะสร้างความเสียหายแก่สหรัฐเมริกาและโลกเป็นอย่างมาก สสารและฝุ่นผงจะปนเปื้อนอยู่ในน้ำและอากาศ ระบบนิเวศจะถูกกระทบอย่างหนัก ผู้คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก หรือหากการระเบิดใหญ่มากพออาจถึงขั้นที่ฝุ่นผงจะลอยขึ้นไปปกคลุมแสงจากดวงอาทิตย์ และทำให้โลกย้อนกลับไปยังยุคน้ำแข็งได้เลย
6
7. Diatom
แหล่งการผลิตออกซิเจนของโลกนั้นไม่ได้มีแค่ผืนป่าเท่านั้น แต่ยังมีมหาสมุทรอีกด้วย โดยในมหาสมุทรจะมีสิ่งที่เรียกว่า Diatom หรือสาหร่ายเซลล์เดียวขนาดเล็กที่ลอยอยู่บนผิวน้ำและสังเคราะห์แสงได้ โดย 50% ของออกซิเจนบนโลกนี้ล้วนมาจาก Diatom และในอนาคตเมื่อสภาพถูมิอากาศของโลกแย่ลงเรื่อยๆ Diatom อาจจะใช้น้ำและแสงในการสังเคราะห์แสงไม่ได้อีกต่อไป โดยนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามันอาจวิวัฒนาการไปใช้เกลือแทน และถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงสิ่งที่มันสร้างออกมาจะไม่ใข่ออกซิเจน แต่เป็นแก็สคลอรีน และจากนั้นไม่นานโลกก็จะเต็มไปด้วยแก็สคลอรีน สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดก็จะอาศัยอยู่ไม่ได้และสูญพันธ์ไปในที่สุด
6
8. วงโคจรที่ไม่เสถียร
ตลอดชีวิตของดาวแต่ละดวง การโคจรของมันนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งการเปลี่ยนวงโคจรของดาว 1 ดวงก็อาจสร้างผลกระทบต่อดาวดวงอื่นๆด้วย ยกตัวอย่างสมมติฐานที่ว่า ในอนาคตอันไกลโพ้น วงโคจรของดาวพฤหัสจะเปลี่ยนไป จากนั้นด้วยแรงดึงดูดที่มหาศาลของมัน จะส่งผลต่อดาวเคราะห์ชั้นใน อย่างดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลกมีวงครจรที่เปลี่ยนไปใกล้กับดวงอาทิตย์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชิวิตบนโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยไม่ต้องสงสัย
1
9. เชื้อราซอมบี้
1
มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Ophiocordyceps หรือราแมลง โดยเมื่อสปอของเชื้อราชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายของแมลง มันจะค่อยๆไปควบคุมปมประสาทของสมอง และส่วนอื่นๆตามร่างกาย ทำให้แมลงตัวนั้นไม่สามารุควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และถ้าในอนาคตมีเชื้อราทำนองนี้พัฒนาตัวเอง หรือกลายพันธ์จนมีความร้ายกาจกว่าเดิม มันก็อาจจะเป็นภัยคุมคามต่อสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รวมถึงมนุษย์ด้วย
4
10. Snowball Effect
1
สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสิ่งทีเรียกได้ว่ารุนแรงที่สุด และมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด โดยเปรียบเทียบมันกับลูกหิมะที่ในตอนแรกก็มีขนาดเล็ก แต่พอกลิ้งไปบนพื้นหิมะเรื่อยๆ ก็ก่อตัวเป็นก้อนใหญ่ได้ ซึ่งก็เหมือนกับมนุษยชาติที่ยังคงเมินเฉย และปล่อยปะละเลยกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับโลก เช่นปัญหาโลกร้อน และสิ่งแวดล้อม และเมื่อถึงจุดหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปัญหาที่สั่งสมมาเป็นร้อยๆปีนี้ จะก่อตัวขึ้นเป็นปัญหาขนาดใหญ่ เหมือนกับก้อนหิมะขนาดมหึมา ซึ่ง ณ จุดนั้นโลกอาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลายอย่างพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น ภูมิอากาศ โรคระบาด ระบบนิเวศเสียสมดุล เกิดการขาดแคลนอาหารและทรัพยากรอย่างหนัก จนในที่สุดสิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างบนโลกก็ต้องพบจุดจบ โดยโลกอาจต้องอาศัยเวลาหลายล้านปี เพื่อพื้นฝูให้พร้อมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอีกครั้ง
5
เรียบเรียงโดย
นายจอมโม้
5 กุมภาพันธ์ 2022
2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา