22 ก.พ. 2022 เวลา 23:32 • ประวัติศาสตร์
การโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้เชื่อในสิ่งที่เราต้องการนั้นถือเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญ แต่เพราะเหตุใดชายผู้เรืองนาม เดล คาร์เนกี กลับทำได้อย่างง่ายดายโดยคนผู้นั้นไม่ทันได้รู้ตัวว่าถูกเขาชักจูงด้วยซํ้า
ในวันนี้ผมอยากจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับชายผู้นี้ให้มากกว่าเดิมครับ โดยผมคิดว่าเราควรทำความรู้จักประวัติของชายผู้นี้ก่อน มันอาจจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่พอบอกเราได้คร่าวๆถึงที่มาของความสามารถแสนวิเศษของเขา
เดล คาร์เนกี
เอาละครับ หากได้ลองศึกษาประวัติของเดล คาร์เนกีในเบื้องต้นแล้วจะพบว่า เขาไม่ได้มาจากครอบครัวรํ่ารวยอะไรเลย และไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการพูดมาตั้งแต่ต้นด้วย หากแต่ทั้งหมดล้วนมากจากการฝึกฝนจนชำนาญด้วยความทุ่มเทและแรงปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ
ในเมืองแมรีวิลล์ รัฐมิสซูรี วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เขาได้ลืมตาดูโลกในเขตบ้านไร่ที่ห่างไกล ครอบครัวของเขาเป็นชาวนาฐานะค่อนข้างจะยากจนเลยทีเดียว บิดาของเขาคือ เจมส์วิลเลียมคาร์เนจ แม่ของเขา อแมนดาเอลิซาเบ ธ ฮาร์บิสัน
ตอนยังเด็กเขาเคยรับจ้างเก็บสตอเบอรี่ และตัดหญ้า จำนวนค่าแรงที่เขาได้คือ5เซ็นเท่านั้น อาชีพในตอนวัยรุ่นของเขายังมิได้หมดเพียงแค่นั้น เขายังเคยเป็นหนุ่มคาวบอยขี่มากระโจนข้ามรั้วต้อนฝูงวัวอย่างชำนาญการอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการพูดเลยก็จริง แต่ลึกๆแล้วเดล คาร์เนกีเป็นคนที่มีจิตใจใฝ่รู้เป็นอย่างมาก
แต่ด้วยความยากจนทำให้เดล คาร์เนกีเข้าถึงการศึกษาได้ไม่ง่ายเลย แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเข้าใส่ครอบครัวของเขาอีกหลายครั้งหลายหน
นํ้าไหลบ่าเข้าท่วมไร่ข้าวโพดของเขา หลายฤดูติดต่อกันจนทำให้พืชไร่เสียหายหนัก หมูที่เลี้ยงเอาไว้ก็ติดโรคอหิวาต์สุกร(เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงในสุกร) ราคาวัวก็ตกตํ่าลงอย่างมาก จนทำให้ครอบครัวของเขาไม่สามารถมีเงินไปจ่ายให้กับธนาคารได้ กระทั้งธนาคารขู่จะยึดไร่ที่จำนองไว้เสีย
จนในที่สุดอาจจะเพราะความเหลืออดทำให้พ่อแม่ของเขาตัดสินใจขายไร่นั้นทิ้งไป และซื้อไร่แห่งใหม่ในเมืองวอร์เรนสเบิร์ก แต่ก็ยังอยู่ในรัฐมิสซูรีดังเดิม หากแต่คราวนี้ไร่ที่พ่อของเขาซื้อใหม่อยู่ไม่ไกลกับวิทยาลัยถือเป็นเรื่องดีนิดหน่อยที่มีเข้ามาในตอนนั้น
จะบอกว่าใกล้ก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะเขาต้องขี่ม้าวันละ3ไมล์ต่อวันเพื่อไปกลับระหว่างบ้านกับวิทยาลัย เพราะเขาไม่มีเงินพอที่จะกินอยู่ในเมืองได้ แต่นั้นหาใช่สิ่งที่จะลดทอนความใฝ่รู้ของเดล คาร์เนกี เขาดำเนินชีวิตเช่นนั้นเรื่อยมา
ชีวิตหลังกลับจากวิทยาลัย เขายังต้องช่วยที่บ้านทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรีดนมวัว ตัดไม้ ที่สำคัญคือพ่อของเขาเลี้ยงหมูเอาไว้หลายตัว และทุกคืนตอนตี3เขาจะต้องตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเขาเองตั้งเอาไว้ เพื่อที่จะเอาเจ้าหมูน้อยที่อยู่ในคอกด้านนอกใส่ตระกร้ายกเข้ามาวางไว้หน้าเตาไฟ เพราะข้างนอกอากาศหนาวมากจนอาจทำให้ลูกหมูเหล่านี้ตายได้
ช่วงชีวิตในการศึกษาของเดล คาร์เนกี ไม่ค่อยจะสะดวกสบายดีนัก เขาเป็นนักศึกษาผู้ยากไร้ ในบรรดานักศึกษาทั้งหมดราว600คน มีคนที่เป็นเช่นเขาเพียง6-7คนเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นที่โดดเด่นในหมู่เพื่อนนัก เสื้อของเขาก็ฟิตเปรี๊ยะ กางเกงก็สั้นลงเรื่อยๆด้วยความที่ใส่มานานปีและเงินจะซื้อใหม่ก็ไม่มี
แต่ในใจลึกๆเขาก็อยากที่จะเป็นคนที่โดดเด่นเหมือนดังผู้อื่นอยู่เหมือนกัน และในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสังเกตเห็นว่า คนหมู่ใดที่เป็นที่นิยมชมชอบของบรรดานักศึกษาในวิทยาลัย คนเหล่านั้นคือนักกีฬา นักแข่งโต้วาทีและนักแข่งกล่าวปาฐกถา
ส่วนลึกเขารู้ตัวเองดีว่าไม่อาจเอาดีด้านกีฬาได้ดั่งคนอื่นๆ เขาจึงเลือกอีกหนึ่งทางเลือกนั้นคือการแข่งขันกล่าวปาฐกถา ครั้นรู้เช่นนั้นแล้วเขาจึงเริ่มต้นทันที เขาร่างคำกล่าวอย่างตั้งใจใช้เวลาเป็นเดือนๆ และฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น
เขาฝึกซ้อมอยู่ตลอดเวลา คำว่าตลอดที่กล่าวไปคือตลอดจริงๆครับ ระหว่างขี่ม้าไปเรียน หรือกลับ ในตอนที่รีดนมวัวจากเต้า ในตอนกลางคืนเขาก็จุดตะเกียงและอ่านหนังสือ และการกระทำนี้เป็นเหตุให้สายตาของเขาไม่ค่อยดีนัก ร่างก็ค่อมตํ่าลง
หลายคนอ่านถึงตรงนี้คงได้รับรู้ถึงความอุตสาหะและทำงานหนักของเดล คาร์เนกี และในใจอาจคิดว่าพอถึงการแข่งขันเขาจะสามารถชนะคู่แข่งและกลายเป็นผู้ที่ถูกนิยมชมชอบในทันที ใช่ไหมครับ
หากแต่เป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลกกระมัง เขาแข่งขันแพ้และแพ้อีกติดกันหลายต่อหลายครั้งจนเขารู้สึกท้อถอยเป็นอย่างยิ่ง ใจหนึ่งก็อยากจะละทิ้งมันไปเสีย เพราะความที่หวังไว้อย่างสูงพอผิดหวังจึงทำให้คิดไปถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย แต่เขาก็ก้าวข้ามจุดนั้นมาได้
จนวันของเขามาถึงสักที เขาสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในที่สุด และด้วยความสามารถของเขาทำให้เอาชนะได้ติดต่อกันหลายครั้งจนชื่อเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักกล่าวปาฐกถาผู้มีชัย และเขาก็เป็นที่นิยมดั่งใจหวัง
มีหลายคนขอร้องเชิงอ้อนวอนให้เขาสอนสิ่งที่รู้ให้แก่ตนบ้าง ซึ่งเดล คาร์เนกีผู้นี้ไม่ใช่คนใจแคบเลย เขาสอนคนเหล่านั้นจากสิ่งที่ตนได้เรียนรู้และฝึกฝนมา ผลสุดท้ายคนเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้ชนะเช่นกัน นั้นยิ่งทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมากในวิทยาลัย
เขาศึกษาต่อจนจบ และงานแรกของเขาคือการหาผู้สมัครเข้าเรียนให้แก่โรงเรียนทางไปรษณีย์แห่งหนึ่ง แต่เหมือนงานนั้นจะไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีของเขาเลย จนมีคร่าวหนึ่งเขารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนและร้องไห้ออกมาจากส่วนลึก ชีวิตการทำงานช่างโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน เขารู้สึกว่าอยากจะกลับไปเป็นนักศึกษาอีกสักครั้ง
แต่มันคงเป็นเช่นนั้นไม่ได้แล้ว เขาได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้งไปที่เมืองโอมาฮา เนบราสก้า เพื่อหางานใหม่ทำ แต่เพราะไม่มีเงินเขาจึงเดินทางโดยการอาศัยติดรถบรรทุกของไปและทำงานเพื่อเป็นค่าเดินทาง โดยการให้อาหารม้าป่าบนตู้รถคันนั้น
ต่อมาเขาได้งานเป็นคนเดินตลาด(ผู้นำสินค้าไปเสนอขาย)ของบริษัทอาร์เมอร์ สินค้าที่เขาขายก็จะมี หมูเค็ม สบู่และนํ้ามันหมู ซึ่งเขาสามารถทำมันได้อย่างดี อาจเพราะการฝึกฝนเพื่อการแข่งขันกล่าวปาฐกถาทำให้เขามีทักษะการพูดและเจรจาเป็นเลิศ จนสามารถขายของได้อย่างมากมายยอดขายในเขตของเขาพุ่งจากที่25ขึ้นสู่ที่1ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเขตที่เขาขายอยู่นั้นถือว่าทุรกันดารพอสมควร
วิธีการทำงานของเดล คาร์เนกีมักจะติดไปกับรถไฟ พอรถไฟจอดที่สถานีเขาจะรีบวิ่งลงรถไปหาพ่อค้าแม่ขายแถวนั้นเพื่อรับสนทนาและยอดสั่งซื้อ แล้วรีบวิ่งสุดชีวิตกลับมาที่รถไฟ บางครั้งเขาถึงกับต้องวิ่งตามและกระโดนขึ้นไปบนนั้นอีกด้วย
หลังจากยอดขายขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ประธานบริษัทจึงได้ประกาศเลื่อนตำแหน่งให้แก่เขา แต่เดล คาร์เนกีกลับเลือกที่จะลาออก ผมไม่เข้าใจในการกระทำนี้เท่าใดนัก แต่มันกลับเป็นทางที่จะนำพาเขาให้ไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต
นี้เป็นเพียงตอนแรกเท่านั้น ผมเกรงว่าจะยาวจนเกินพอดีจึงแบ่งไว้เป็น2ตอน ตอนหน้าผมจะเล่าถึงว่า ชายผู้นี้เขาเริ่มสอนวิชาความรู้ของเขาเมื่อใดและเขามาเยือนประเทศของเราได้อย่างไร
1
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตรงนี้ หากชอบตอนนี้คุณต้องชอบตอนหน้าด้วยอย่างแน่นอน ฉะนั้นฝากกดติดตามเพจ Hourglass ไว้ด้วยนะครับ
คิดเห็นเช่นไรคุยกันได้ที่ด้านล่างนะครับ ผมอยากแลกเปลี่ยนแนวคิดกับทุกท่านเสมอ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา