21 ก.พ. 2022 เวลา 06:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The French Dispatch (2021)
ภาพยนตร์รวมดาวกำกับโดยผู้กำกับสุดอาร์ต Wes Anderson เล่าเรื่องในคอลัมน์ต่างๆของนิตยสาร The French Dispatch ฉบับสุดท้ายโดยมีคอลัมนิสต์แต่ละคนเป็น narrator ให้กับคอลัมน์นั้นๆ ซึ่งประกอบด้วยทั้งหมด 4 คอลัมน์ กับนักแสดงแม่เหล็กจำนวนมากที่อัดแน่น
1
งานภาพของหนัง ยังคงเด่นชัดเหมือนเคยสำหรับเวสแอนเดอร์สันคนดีคนเดิมเพิ่มเติมคือเรื่องนี้ใช้เทคนิคภาพที่หลากหลาย แปลกใหม่ และสัมผัสได้ว่าแกเล่นสนุกยิ่งขึ้นด้วยการสลับการใช้หลายๆเทคนิค ระหว่างภาพขาวดำ ภาพสี และภาพอนิเมชั่น ซึ่งสื่อออกมาค่อนข้างชัดเจนว่าเทคนิคที่ใช้เล่าในแต่ละแบบทำเพื่อบ่งบอกอะไรบ้าง
แถมว่ายังมีการแพนภาพในตำนานที่แฟนๆเวสแอนเดอร์สันจะต้องคิดถึงอยู่เหมือนเดิม (การแพนภาพของเวสแอนเดอร์สันจะชอบเล่นกับความเป๊ะของมุม และขอบเขตภาพ)
จุดที่ไม่เด่นนักของหนังเรื่องนี้คือเนื้อเรื่องและตัวละครที่ไม่ได้มีแก่นแกน หรือเมนไอเดียที่เด่นชัดจับต้องได้ หรือมีตัวละครเด่นที่คนดูจะดูแล้วอิน คล้อยตาม หรือเอาใจช่วยไปกับตัวละครนั้นๆสุดลิ่มทิ่มประตู จนในบางจุดอาจดูแล้วงงงวยถึงขั้นเบื่อได้
ออฟฟิศของ The French Dispatch
แต่ความเด่นของหนังจะอยู่ที่ “คอนเซปต์ไอเดีย” ที่ต้องการจะสื่อออกมาโดยรวมถึง “ธีมความเป็นฝรั่งเศส” และ “อิสระการนำเสนอของสื่อ” ที่สื่อออกมาผ่านการดีไซน์คอลัมน์นั่นแล
โดย 4 คอลัมน์ดังที่กล่าวถึงข้างต้นประกอบไปด้วย
1
The Cycling Reporter
คอลัมน์สั้นๆคอลัมน์แรกที่เหมือนเป็นตัวเซ็ทโทนให้กับหนัง ซึ่งเริ่มด้วยการเล่าถึงสภาพบ้านเมืองแบบสวยๆ ชิวๆ ด้วยการไม่ใช้มูฟเม้นของกล้องเลย จากนั้นก็เข้าสู่ความวายป่วงแบบจิกกัดตลกๆด้วยการวิจารณ์บ้านเมืองและสังคม โดยมี Owen Wilson รับบทคอลัมนิสต์
The Concrete Masterpiece
คอลัมน์มี Tilda Swinton เป็นคอลัมนิสต์ และ narrator โดยตอนนี้จะเอาจุดเด่นหนึ่งของฝรั่งเศสมานำเสนอเต็มๆนั่นคือ “ศิลปะ” ซึ่งมันมีความตลกเล็กๆน้อยๆอยู่ในตัวอยู่ตลอดเวลาผ่านการเล่าเรื่องย้อนไปถึงที่มาอันบรรเจิดของภาพจิตรกรรมชิ้นเอก ซึ่งมีทั้งความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของศิลปิน ผู้คุมคุกที่เหมือนเป็นตัวแทนของ commitment และวินัยในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่ศิลปินขาดไป และยังมีเรื่องงานแสดงศิลปะที่วายป่วงใช้ได้
MVP ของตอนนี้สำหรับผมเลยคือ Adrien Brody และ Benicio Del Toro
Revisions to a Manifesto
ตอนนี้เกี่ยวข้องกับอีกหนึ่งความฝรั่งเศ้สสสฝรั่งเศส นั่นคือสิทธิเสรีภาพหรือคำภาษาอังกฤษที่ตรงกว่าคือ “liberty”
บทเด่นของตอนนี้ตกไปอยู่ที่ Thimothee Chalamet โดยคอลัมนิสต์ของตอนนี้แสดงโดย Frances McDormand ซึ่งจะมีบทบาทร่วมในเรื่องราวด้วย เอาง่ายๆคือตอนนี้เกี่ยวกับการลุกฮือของหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ และความวายป่วงคือจบด้วยกลายเป็นคอลัมน์ความรักซะงั้น
MVP แน่นอนคือ Thimotee แต่ที่ไม่แพ้กันเลยแม้จะดูมีบทให้เล่นน้อยกว่าก็ตาม แต่การแสดงมันล้นออกมาเลยคือตัวคอลัมนิสต์เองนั่นแล
ฉากแข่งหมากรุกเดิมพัน
The Private Dining Room of the Police Commissioner
เป็นตอนที่หลุดโลกมากที่สุด จากหัวเรื่องจะเห็นได้ว่าเป็นคอลัมน์อาหารแน่ๆ แต่ดูๆไปแล้วอ่าวไม่ใช่แฮะ และเราก็ทำหน้าอมยิ้มปนเอิ่มไปกับการที่มันค่อยๆกลายเป็นหนังแอคชั่นไปได้ ซึ่งคอลัมนิสต์ รับบทโดย Jeffrey Wright บังเอิญไปอยู่ในเหตุการณ์พอดี
MVP คือเชฟเนสกาฟิเยร์ (มันชื่อนี้จริงๆ) กับ Edward Norton ที่เป็นตัวขโมยซีนที่เป็นตลกซีเรียสแบบที่ผมชอบจังหวะมากๆ
และตอนจบของทุกตอนจะเป็นตอนที่เจ้าของ (Bill Murray) มาใช้เวลาร่วมกับคอลัมนิสต์ ทั้งวิจารณ์เนื้อหา ขอเพิ่มลดเนื้อหา ซึ่งเป็นพาร์ทที่ผมชอบมากๆ ทั้งตลกแบบนิ่งๆ และใช้สื่อความหมายของบทในช่วงแรกๆของหนังได้ดีมากกก ที่ว่าเขาจะให้ย่อตัวหนังสือ ตัดโฆษณาบางตัว ถึงกับให้ซื้อกระดาษเพิ่มโดยไม่ยอมตัดคอลัมน์ของใครออกเลย และปกป้องต่างๆนาๆจากทีมพิสูจน์อักษร และบก.
สรุป
หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน เนื่องจากดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆแบบไม่มีแกนเรื่องหลัก และตัวละครหลักให้เกาะเกี่ยว หรือมีอะไรที่ตลก ตื่นเต้นแบบเด่นชัดมากนัก แต่เป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะกับการ “เสพ” บรรยาการ งานภาพ เพลงประกอบ บทพูดที่จิกกัดตลกหน้าตาย และเนื้อเรื่องวายป่วงระดับอ่อนๆ หรือถ้าเป็นแฟนเวสแอนเดอร์สันอยู่แล้วก็แนะนำให้มาดูเพื่อเสพสิ่งเหล่านี้ที่คุณโหยหาครับ
1
The French Dispatch พร้อมให้ดูได้แล้วทาง Disney plus จ้า
โฆษณา