3 มี.ค. 2022 เวลา 14:50 • ธุรกิจ
อังกฤษใช้เวลาถึง 100 ปี ชำระคืนหนี้พันธบัตรสงครามที่ออกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) จากประกาศความสำเร็จของประเทศ ที่จะชำระคืนทั้งหมดในปี 2015 มูลค่ายอดคงค้าง 1.9 พันล้านปอนด์ จากผู้ถือตามทะเบียนจำนวนประมาณ 11,000 คน
3
"This is a moment for Britain to be proud of. We can, at last, pay off the debts Britain incurred to fight the First World War....It’s also another fitting way to remember that extraordinary sacrifice of the past."
Chancellor of Exchequer George Osborne, Dec 2014
4
คำจำกัดความของความสำเร็จย่อมแตกต่างในแต่ละคน ผู้เชี่ยวชาญบางท่านไม่เห็นด้วยกับคำประกาศความสำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้
สิ่งที่สำคัญสำหรับเราคือ มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การระดมทุนครั้งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ว่า อังกฤษทำสำเร็จตั้งแต่เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว จนจบ “วงจรการเป็นหนี้สงครามโลกครั้งที่ 1” ได้อย่างไร?
4
สถานะของอังกฤษในช่วงเริ่มต้นของสงคราม ธนาคาร และตลาดการเงิน
1
อังกฤษ เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในโลกในขณะนั้น ด้านการเงิน
2
อังกฤษ คือ ประเทศมหาอำนาจสูงสุดของโลกด้านเศรษฐกิจ (world’s economic superpower)
8
อังกฤษ มีระบบธนาคารกลาง คือ Bank of England และมีธนาคารชั้นนำมากมายดำเนินงานอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งเงินฝาก เงินกู้ และอื่นๆ
1
First War Loan
อังกฤษคาดการณ์ว่าสงครามจะสิ้นสุดภายใน 1 ปี คือ และต้องการงบประมาณเพิ่ม 339 ล้านปอนด์
เงินกู้จำนวน 350 ล้านปอนด์ในขณะนั้น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ใหญ่กว่าเงินกู้ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยกู้ ถึง 6 เท่า
  • อัตราดอกเบี้ยที่ 3.5% ชำระคืนโดยรัฐบาลในปี 1925-1928
  • ให้ส่วนลด 5% จากราคาพันธบัตร (discount) คือ สามารถซื้อพันธบัตร 100 ปอนด์ ได้ที่ 95 ปอนด์
2
ขายให้คนที่มีความมั่งคั่งสูงและสถาบัน ซื้อขั้นต่ำที่ 100 ปอนด์ และขายผ่านธนาคารในอังกฤษ
3
อ้างอิงจาก Western Front Association
อังกฤษกำหนดให้ ธนาคารชั้นนำทั้งหลาย ต้องซื้อพันธบัตร และรับประกันการจัดจำหน่าย (ซื้อเองถ้าขายได้ไม่หมด) เพื่อสร้างกระแสความมั่นใจในวงกว้าง ในความพร้อมการทำสงครามของอังกฤษ
1
ธนาคารกลางอังกฤษรับซื้อพันธบัตร 40 ล้านปอนด์ และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำตกลงซื้อพันธบัตร 5% ของเงินฝากที่มี (จำนวนรวมประมาณ 60 ล้านปอนด์) ทำให้มียอดคงเหลือที่ต้องขายทั่วไป 250 ล้านปอนด์
1
การขายพันธบัตรแบบทั่วไปไม่ประสบความสำเร็จ มีคนลงทุนจำนวน 50,000 คน รวม 91 ล้านปอนด์ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ในอังกฤษต้องซื้อเพิ่มอีก 46 ล้านปอนด์ และที่เหลือโดยแหล่งเงินทุนอื่นที่เข้ามาลงทุนในพันธบัตร
1
Second War Loan
1
อังกฤษออกพันธบัตรอีกครั้งในปี 1915 อัตราดอกเบี้ย 4.5% ไม่มีการให้ส่วนลดจากราคาพันธบัตร กำหนดชำระคืนในปี 1929-1945 และเน้นนักลงทุนรายย่อยที่มีจำนวนมาก กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ 5 ปอนด์ และอนุญาตให้นักลงทุนในพันธบัตรรุ่นก่อนเปลี่ยนมาลงทุนในพันธบัตรนี้ได้
Various posters promoting war bonds, อ้างอิงจาก Western Front Association
มีนักลงทุนสนใจซื้อถึง 547,000 คน รวม 571 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็น เงินใหม่ ที่ได้รับจากการออกพันธบัตร เมื่อรวมกับยอดนักลงทุนในพันธบัตรรุ่นก่อนที่เปลี่ยนมาพันธบัตรนี้อีก 310 ล้านปอนด์ จึงทำให้มียอดการออก Second War Loan ประมาณ 900 ล้านปอนด์ในขณะนั้น
1
Financing the War in 1916
อังกฤษเปลี่ยนเป็นออกตราสารระยะสั้นลง (“Exchequer Bonds) ในปี 1916 แบ่งเป็น 4 รุ่นที่ทยอยออกขาย กำหนดชำระคืนในปี 1919 และ 1921 อัตราดอกเบี้ย 5-6% จำนวนรวม 540 ล้านปอนด์ในขณะนั้น (รวมส่วนของธนาคารพาณิชย์ที่เปลี่ยนมาจาก Second War Bond 77 ล้านปอนด์)
Third War Loan
อังกฤษระดมทุนครั้งนี้ ที่อัตราดอกเบี้ย 5% กำหนดชำระคืนในปี 1929-1947 ได้รับเงินใหม่ จากนักลงทุนประมาณ 2 ล้านคน จำนวน 960 ล้านปอนด์ และให้นักลงทุนเดิมใน Second War Loan และ Exchequer Bonds สามารถเปลี่ยนมาถือ Third War Loan ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 2,128 ล้านปอนด์ในขณะนั้น
National War Bonds
อังกฤษออกขาย National War Bonds ในช่วงปี 1917-1919 ที่อัตราดอกเบี้ย 4% (ไม่เสียภาษี) และ 5% กำหนดชำระคืนในปี 1922-1927
จากการออกขายทั้งหมด 4 ครั้ง ระดมทุนได้ 1.7 พันล้านปอนด์ในขณะนั้น
การแปลงสภาพของ Third War Loan ในปี 1932
อังกฤษตัดสินใจประกาศให้มีการแปลงสภาพของ Third War Loan โดยสมัครใจ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และความเสี่ยงในการไม่สามารถชำระคืนได้ภายในกำหนด จากสภาวะ Great Depression ในทศวรรษที่ 1930’s ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับกำหนดที่ต้องชำระคืนเงินกู้ระหว่างปี 1929-1947
ในปี 1932 รัฐบาลได้จัดตั้ง War Loan Conversion Publicity Bureau และประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุน Third War Loan ตัดสินใจแปลงสภาพเป็น War Loan ใหม่ ที่อัตราดอกเบี้ย 3.5% และไม่มีกำหนดชำระคืน (จากเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ย 5% และมีกำหนดชำระคืน) เพื่อช่วยเหลือประเทศอังกฤษ และชี้แจงว่าอัตราดอกเบี้ยใหม่ก็ยังคงเป็นอัตราที่ดีมาก พิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดขณะนั้นที่ 2%
3
กว่า 90% ของนักลงทุนตัดสินใจแปลงสภาพเป็น War Loan ใหม่
และนั่นคือเรื่องราวกว่า 100 ปี ตั้งแต่ที่อังกฤษ ได้ระดมทุนสนับสนุนสงคราม จนกระทั่งประกาศล่าสุดที่จะชำระหนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้หมด ในปี 2015
4
ก็เป็นเรื่องราวที่อยากฝากให้อ่าน และวิเคราะห์กันต่อ เพื่อขยายมุมมอง ซึ่งประวัติศาสตร์นี้ครอบคลุมหลายมิติมาก ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และสงครามก็ยังคงดำเนินต่อมาจนปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงคู่สงครามตามสถานการณ์ผลประโยชน์และความขัดแย้ง
1
หลายอย่าง เราสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้ จริงๆ ประวัติศาสตร์ช่วงที่รัฐบาลอังกฤษระดมทุนนั้น มีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งไม่ได้เล่าถึงในวันนี้ หากมีเวลา อยากแนะนำให้ศึกษากันเพิ่มเติม จะได้อรรถรสเต็มรูปแบบมากขึ้นค่ะ
แล้วติดตามในตอนถัดไป กับ Manage Your Money นะคะ
Reference:
โฆษณา