12 มี.ค. 2022 เวลา 02:42 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของคำว่าศีล ศีลธรรม จรรยา มันล้วนเป็นเรื่องราวที่ช่วยสกัดกั้น จิตใจของผู้ที่ที่จะรักษาศีล ที่จะช่วยให้มีสติยับยั้ง มิให้จิตใจเตลิดไปตามอารมณ์ นำพากายไปสร้างกรรม เมื่อบุคคล รู้จักที่จะรักษาศีล ก็เกิดมีการระมัดระวัง การใช้กายวาจาใจของตน ที่จะไม่ไปทำความวุ่นวาย เดือดร้อน ทั้งตนเองและผู้อื่น
เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะ ที่จะรักษาศีลจริง มันก็จะเกิดขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง คือเรื่องราวของศีลที่จิต ศีลที่ระมัดระวัง อารมณ์กรรม อารมณ์โลภโกรธหลง ที่นำพาจิตของเราหมกมุ่น อยู่กับเรื่องราวการกิน การนอน พอเรามีการระมัดระวังอารมณ์มากขึ้น ก็จะเริ่มสังเกตุ เห็นการใช้กายเคลื่อนที่ไป วิญญาณหกไปสัมผัส สัมผัสแล้วมันติดมาเป็นอารมณ์ มีความซุ่มซ่าน หงุดหงิด วิตกกังวล ในเรื่องราวที่สัมผัส เอามาคิดมานึก ที่เรียกว่าอารมณ์นึกคิด มันก็เลยกดทับจิตเราโดยไม่รู้ตัว คิดไปเรื่อยเปื่อยก็มี หยุดอารมณ์หยุดความคิดไม่ได้ จิตมันก็เหนื่อล้า คิดแต่เรื่องคนนั้นคนนี้ ไม่หันกลับมามองจิตตัวเอง แล้วสติสัมปชัญญะจะมีมั้ย ความรู้สึกตัวมีมั้ย ว่ากำลังทำอะไรดีหรือไม่ดี มองกิริยากายวาจาใจของตนไม่ออก แก้ไขไม่ได้ จิตตัวเองก็เลยหาความสงบไม่ได้ แล้วมันสุขหรือทุกข์ของจิตล่ะ
เรื่องของศีลเป็นเรื่องเฉพาะตัว แล้วแต่ละบุคคลจะเห็นเข้าใจ ว่าเมื่อเรารักษาศีลนี้ เรารักษาจิตของเรา เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้อารมณ์ต่างๆ เข้ามาในจิตใจ ให้ว้าวุ่น วุ่นวายใจ เมื่อเราทำได้ เราก็จะค่อยๆเห็นความสงบของจิตใจตัวเอง ก็เหมือนกับเราได้ช่วยจิตของตัวเอง บรรเทาทุกข์ที่จิตที่ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์ แล้วเราก็จะมีความเห็นอกเห็นใจ ผู้ที่เค้าจมอยู่กับทุกข์ เค้าก็ไม่สามารถ นำพาเรื่องราวของศีลมาช่วยสกัดกั้นอารมณ์บ้างเลย จิตมันก็จมอยู่กับเรื่องราวของทุกข์ที่เป็นอารมณ์เกิดขึ้นที่จิตใจของเค้าเอง เหมือนเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นไม่เข้าใจในเรื่องราวของศีลที่จะช่วยเกื้อกูล ให้จิตของตนค่อยๆหลุดพ้นจากบ่วงกรรมทั้งหลายที่ หมุนเวียนเกิดขึ้นที่กายตน เรื่องราวนึกคิดที่ดีก็มี ไม่ดีก็มี อะไรล่ะที่ช่วยยับยั้งใจตน หยุดการกระทำที่ที่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและตนเองเดือดร้อน คล้องเวรคล้องกัน จมอยู่กับทุกข์
คราวนี้ เราไปพูดถึงคำว่า โลก มันก็กว้างขวางใหญ่โต มันมีอยู่กี่ประเทศ ที่คนเค้าได้ยินได้ฟังเรื่องของศีลห้า เอาแค่ในเมืองไทยนี่ก็พอ เราก็เห็นกันอยู่ เวลาไปทำบุญ ยิ่งเป็นงานศพ มีอาราธนาศีลห้า มีใครบ้างที่ตั้งใจรับศีล ทำอะไรกันเมื่อพระให้ศีล ก็เห็นบางคนก็คุยสนุกสนาน (ไม่ได้ต้องการไปติเตียนใคร เพียงแต่ให้เราพิจารณากันเองว่า ตัวเราเองจะทำอย่างไรต่างหาก ชึ่งก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลภายใจจิตแต่ละดวง นั้นไม่เหมือนกัน มีทิฐิคิดเห็นไม่เหมือนกัน) ส่วนเราก็ตั้งใจรับ รับมาแค่ขณะที่ฟังพระสวด เแล้วก็อยู่นิ่งๆ ไม่คุยกับใครเลย อยู่กับจิตของตัวเอง รักษาศีลให้บริสุทธิ์ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี เพื่อจะได้เป็นกุศลเผื่อแผ่แก่ผู้ที่จากไป
ไหนก็เขียนมาถึงตรงนี้ ก็ขอเขียนเรื่องราวของงานศพเสียหน่อย เรื่องของงานศพเดี๋ยว มันมีอะไรเปลี่ยนไปมาก เรื่องการตั้งศพ ปกติคนเมื่อก่อน เค้าไม่ตั้งศพ จัดให้ผู้ที่มาร่วมงาน หันหน้าเข้าหาศพหรอก ที่มันมีแต่เรื่องราวสีดำๆทั้งนั้น เค้าจัดให้แขกนั้นหันหน้าไปหาพระ ให้แขกได้มองพระ มองผ้าเหลืองเครื่องหมายของธรรม ให้จิตน้อมไปหาพระ ให้เกิดเป็นแสงของธรรม จิตก็จะได้อยู่กับพระ ก็จากเกิดบุญกุศล เผื่อแผ่ไปให้ผู้ที่จากไป
เพราะที่จริงแล้วร่างที่อยู่โลง มันก็เหมือนท่อนไม้ ใช้การไม่ได้ มีแต่สิ่งที่เป็นของเสียใช้อะไรไม่ได้ จิตคนเราเมื่ออกจากร่าง ล้วนต้องการบุญกุศล ถ้าเราศึกษาได้ ว่าคนที่บุญ กับคนที่มีแต่กรรม จิตออกจากร่างเป็นยังไง ทุกข์ยังไง เมื่อจะช่วยสร้างบุญให้แก่ดวงจิตที่ออกจากร่าง ก็ควรตั้งให้มันถูก เมื่อก่อนเค้าไม่ทำกัน นี่แหละ เดี๋ยวอะไรมันเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำเหมือนกับโรงมโหรสพ คิดว่าจะเป็นบุญให้แก่คนตาย ที่แท้ไม่ได้อะไรเลย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป บุญกุศลก็ไม่เกิดให้แก่ผู้ที่จากไป ไม่รู้ไปไหนเหมือนกัน
เรื่องราวทำนองนี้ เราก็จะค่อยๆเห็นการเปลี่ยนแปลงไป เหมือนว่าของเก่าไม่ดี ต้องคิดใหม่ทำไหม่ แต่ก็ไม่ศึกษาให้เข้าใจว่า ทำไมเค้าทำแบบนั้น เพื่ออะไรกัน คนรุ่นนั้นก็จากไปแล้ว รุ่นนี้ก็ต้องจากไป รุ่นต่อๆไป ถ้าจะเสาะหารากเหง้า ทำไมต้องมีศีล รักษาศีล มีคำถามว่าทำไม จบแล้วก็คิดไปตามทิฐิความคิดเห็นของตัวเอง ที่ว่าจิตของเราโตเพราะถ่านเก่า ก็คือร่องรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้กระทำจนพ้นทุกข์ และชี้ทางให้ แล้วใครจะพบรอยนี้ เมื่อพบแล้วผ่านเลยไป เพราะเห็นไม่มีสาระแก่จิตตน ก็ขึ้นอยู่กับกุศลบุญบารมีแต่ละคนทำมาก็แล้วกัน เพราะเราเป็นผู้รับผลสุขทุกข์จากการมาอาศัยกายนี้ชั่วขณะหนึ่ง หมดลมก็จากกัน เอาตามที่ชอบแล้วกัน แต่กฏของกรรม ก็คือกฏต้องไปตามกรรมที่สะสมมาเท่านั้นเอง
โฆษณา