15 มี.ค. 2022 เวลา 05:18 • ไลฟ์สไตล์
“ไม่ทุกข์ หากจิตว่าง
… จิตว่าง คืออะไร อย่างไร ?”
“ … การมีชีวิตด้วยจิตว่าง
การมีชีวิตด้วยจิตว่างนี้คืออะไร ?
… คือสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ จะพูดใส่หน้ากรอกหูลงไปเลยว่า คือ สิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตด้วยจิตว่างอย่างไร ไม่รู้ว่าจิตว่างคืออะไร
การมีชีวิตด้วยจิตว่าง
ก็คือ จิตที่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง
ไม่ไปเป็นทาสของสิ่งใด ๆ
ไม่ไปติด ผูกพันอยู่กับสิ่งใด ๆ
เป็นจิตว่าง เป็นจิตอิสระจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก
อย่างนี้เรียกว่า จิตว่าง
จิตฉลาด จิตคิดนึกได้รวดเร็วสำหรับจะว่าง
ไม่เป็นจิตโง่ งุ่มง่าม เข้าไปหลงใหลยึดถือในสิ่งใด
ก่อนแต่จะทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้ว
จิตโง่ มันก็ยึดถือตลอดเวลา
มันก็แบกภูเขาอยู่ตลอดเวลา
มันเป็นจิตวุ่น เป็นจิตที่ติดอยู่กับสิ่งนั้น ๆ
มันไม่ว่าง
ถ้ามีสติปัญญา รู้ เพียงพอ ในเรื่องของธรรมชาติ
เรื่องกฏของธรรมชาติ
เรื่องหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ
เรื่องผลจากหน้าที่เป็นต้นแล้ว ก็รู้ว่า
ธรรมชาติทั้งหลายเป็นอย่างนั้นเอง
จะไปหมายมั่นตามความต้องการของเราไม่ได้
งั้นเราก็เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ต้องหมายมั่น
คือ ด้วยจิตที่เป็นอิสระ
มีจิตเป็นอิสระจากทุกสิ่ง นี่เรียกว่า จิตว่าง ว่างจากอะไร ?
… ว่างจากกิเลส ที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น
แต่เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา ที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้น ที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านั้นด้วยจิตที่เป็นอิสระ
จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย สะดุ้งหวาดเสียว วิตกกังวล ระแวง ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้อาย ละอายแมว
คนมีจิตวุ่น ผูกพันอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนทำ กำลังทำ ทำเสร็จแล้ว เพราะมีจิตวุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น มันก็ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ละอายสุนัขด้วย ละอายสัตว์ทุกชนิดที่มันไม่เป็นโรคประสาท
คน กินยาแก้ปวดหัว แมวไม่ต้องกิน
คน กินยาระงับประสาท แมวไม่ต้องกิน
คนกินยาระงับปวดหัว ระงับโรคประสาทเป็นตัน ๆ ทั้งโลก แล้วก็ยังปวดหัว แล้วก็ยังเป็นโรคประสาท แมวไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว ไม่ต้องกินยาระงับโรคประสาท แมวก็ยังไม่เป็นโรคประสาทสักตัวหนึ่ง แล้วก็คิดดู น่าละอายหรือไม่น่าละอาย
ถ้าเราจะคำนวณดูในโลกนี้ กินยาแก้ปวดศรีษะ กินยาระงับประสาทกันวันหนึ่ง ๆ ทั้งโลก จะกี่ตันกี่สิบตันก็ยังมีคนเป็นโรคประสาท ประเทศไทยนี่ว่าเป็นกันเป็นแสน ๆ ทั้งโลกจะเป็นกี่สิบล้าน กี่ร้อยล้าน ทั้งที่กินยา แมวไม่ต้องกินยาสักเม็ดหนึ่งมันก็ไม่ปวดหัว
1
สัตว์ทั้งหลาย ก็เหมือนกันแหละ เพราะว่า สัตว์มันอยู่ด้วยจิตว่าง ไม่หมายมั่นยึดถืออะไรเป็นตัวกูเป็นของกู
คนนี่มันยึดถืออะไรเป็นตัวกู เป็นของกู ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้าน ทุกประการ มันอยู่ในความยึดถือ
ยึดถือในสิ่งใด ก็เป็นทาสของสิ่งนั้น เป็นหลักธรรมะสูงสุด ซึ่งควรจะรู้ไว้ว่า เราไปยึดถือในสิ่งใด เราก็จะเป็นทาสของสิ่งนั้น
1
เรายึดถือจนไปหลงรักมัน เราก็เป็นทาสของสิ่งที่เรารัก
เราไปยึดถือจนโกรธมัน เกลียดมัน เราก็เป็นทาสของสิ่งที่เราเกลียด เราโกรธ เพราะเราต้องไปเกลียดมัน ต้องไปโกรธมัน กลัดกลุ้มร้อนรนอยู่ด้วยความโกรธและความเกลียด
ถ้าเราไปยึดถือ หลงใหลมัน สงสัยมัน วิตกกังวลมัน ก็เป็นทาสของสิ่งนั้น ในรูปนั้น
จึงเรียกว่า โลภ โกรธ หลง 3 อย่างนี้เป็นผลของความยึดถือ
ยึดถือในสิ่งใดแล้ว ก็ต้องเป็นทาสของสิ่งนั้น
คือ สิ่งนั้นมาย่ำยีหัวใจเราได้ บังคับใช้เราได้
ให้ไปหาอะไรก็ได้ ให้ไปฆ่าใครก็ได้ ให้ไปกระโดดน้ำตายเองก็ได้
นี่เรียกว่า ไม่มองเห็นสิ่งนั้น ๆ ตามที่เป็นจริง แล้วก็เข้าไปยึดถือ
เข้าไปยึดถือแล้วจิตมันก็ไม่ว่าง
มีคนโง่เขลาที่เป็นครูบาอาจารย์ก็มี พูดว่า จิตว่างไม่ได้ จิตต้องคิดนึกเสมอ ถูกแล้ว แต่คิดนึกอย่างไม่ยึดถือนั่นแหละ คือ ว่าง
คิดนึกอย่างไม่ยึดถืออะไรมาเป็นของกู มาเป็นตัวกู นั่นคือ จิตว่าง
ถูกแล้ว จิตมันต้องคิดนึก ต้องรับอารมณ์
ต้องคิดนึก แต่อย่าโง่ไปยึดถือ
ก็เรียกว่า ว่าง จิตไม่ยึดถือในสิ่งใด จิตก็ว่างจากสิ่งนั้น
เหมือนกับมือของเรานี้ ถ้าไม่ไปจับฉวยสิ่งใด ก็เป็นมือที่ว่าง ไม่ไปติดอยู่กับสิ่งใด เรียกว่ามือมันว่าง
นี่เรามีจิตที่มองเห็นสิ่งทั้งปวง ว่ามันเป็นอย่างไรตามที่เป็นจริงแล้ว ไม่ไปยึดถือ คือ ไม่หมายมั่นเป็นตัวกู ของกู
แม้แต่ชีวิตร่างกายนี้ก็มีได้ ใช้มันได้ โดยไม่ต้องยึดถือเป็นตัวกู ของกู
การงานก็ทำได้ ทั้งที่ไม่ต้องยึดถือเป็นตัวกู ของกู
เพราะมันทำด้วยสติปัญญา ที่มีอยู่ในนามรูป
ที่ควบคุมอยู่ด้วยสติปัญญาอันถูกต้อง ไม่ใช่ความโง่
จิตควบคุมนามรูปนี้ให้ทำอะไรไปได้ตามหน้าที่
โดยไม่ต้องเป็นทุกข์
ถ้าจิตมันโง่ จิตมันไม่ว่าง จิตเต็มอยู่ด้วยกิเลส เต็มอยู่ด้วยอวิชชา
มันก็ให้ร่างกายนี้ นามรูปนี้ทำอะไรไปด้วยความโง่ ก็มีความทุกข์
จึงไม่ว่างจากกิเลส ไม่ว่างจากความทุกข์
จิตนั่นไม่ว่างจากกิเลส จิตนั่นไม่ว่างจากความทุกข์
เราเรียกว่า จิตไม่ว่าง
ไม่ว่าง ก็คือ อยู่กับกิเลส และอยู่กับความทุกข์
ถ้าจิตว่าง ก็เป็นจิตที่อิสระ
เต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา
ประพฤติ กระทำถูกต้องหมดทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิตเอง
จิตว่าง จึงนำชีวิตไปแต่ในทางที่สงบเย็น
ถ้าเรามีชีวิตด้วยจิตว่าง เราก็มีชีวิตที่เย็น
คำว่า เย็น นี้เป็นความหมายของคำว่า พระนิพพาน
คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น
แต่เรามันโง่ เราสอนกันมาผิด ๆ
ให้นิพพานเป็นอะไรเสียก็ไม่รู้ และอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
ต้องรออีกกี่หมื่นชาติ กี่แสนชาติ จึงจะได้
นิพพาน แปลว่า เย็น
ของร้อน ๆ … เย็น ก็เรียกว่า นิพพาน
ในบาลีมีอยู่ชัด ชาตะรูปัง นิพพาไปยะ
ทำแท่งทองนั้นให้นิพพาน คือ เอาน้ำรดมัน
ชาตะรูปัง แท่งทอง
นิพพาไปยะ ทำให้เย็น
คำว่า นิพพา ไปยะ คือ กิริยา นิพพาน ทำให้เย็น
เอาน้ำไปรดแท่งทองที่ร้อนออกไปจากเบ้า
ขอให้ถือความหมายให้ถูกต้องว่า นิพพาน แปลว่า เย็น
เย็นกาย เย็นใจ เย็นอะไรที่ไม่มีความร้อน
แล้วก็เรียกนิพพานไปตามแบบของสิ่งนั้น ๆ
วัตถุก็นิพพานได้
จิตใจก็นิพพานได้
ร่างกายก็นิพพานได้
คือ มันเย็นก็แล้วกัน ถ้าจิตว่าง ไม่เป็นทาสของอะไร ไม่ผูกจิตอยู่กับอะไร ก็เป็นจิตเย็น ชีวิตก็เย็น ชีวิตที่อยู่ด้วยจิตว่าง มันเป็นชีวิตเย็น
ใครไม่ชอบ ก็ได้
ถ้าใครชอบก็ควรจะสนใจทำให้มันเป็นชีวิตที่เย็น คือเป็นชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยจิตว่างจากกิเลส ตัณหา ว่างจากความทุกข์ ว่างจากต้นตอของปัญหา ก็คือว่างจาก อวิชชา
ถ้ายังไม่รู้ ก็หยุดไว้ก่อนก็แล้วกันว่า อย่าไปหลงยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน หรือเป็นของตน ระวังไว้แต่เพียงเท่านี้ อวิชชาก็ไม่เกิด มันคุ้มครองได้ ด้วยความยึดถือหลัก ไม่ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตน ของตน
ไม่ยึดถือสิ่งใดไว้ ก็คือ ว่าง มือว่าง
ไม่แบกไม่ห่ามไม่หามอะไรไว้ที่จิต
จิตมันก็ว่าง จิตว่างมันก็เย็น และสบาย
นึกถืงเมื่อเราจับถืออะไรไว้อย่างหนัก และนึกถึงเปรียบเทียบกับเมื่อไม่มีอะไรหนัก มันก็ต่างกันอย่างตรงกันข้าม
มีชีวิตด้วยจิตว่าง ก็คือ มีชีวิตที่ปราศจากของหนัก
ปฏิบัติอย่างไร จึงจะว่าง
ก็ศึกษาให้รู้ให้ข้อที่ว่า ไปจับอะไรเข้าแล้วมันไม่ว่าง
ไปจับอะไรก็แล้วมันไม่ว่าง
มันไม่ว่าง มิหนำซ้ำมันกัดเอา มันกัดเอาด้วย
ไปจับอะไรเป็นตัวตนเป็นของตนแล้วมันกัดเอา
ไม่ใช่ว่ามันไม่ว่างเฉย ๆ ไม่ใช่ว่ามันวุ่นเฉย ๆ
มันกัดเอาด้วย เจ็บปวด
ยึดถืออะไรโดยความเป็นตัวตน เป็นของตน
ในรูปแบบของความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี
มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ
ยึดถือชีวิต ชีวิตมันก็กัด
ยึดถือเงินทอง ข้าวของ มันก็กัด
ยึดถืออะไร สิ่งนั้นมันก็กัด
ยึดถือนิพพาน ก็ไม่มีนิพพาน
ก็นิพพาน ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดถือได้
ยึดถือว่านิพพานของกู ก็เป็นเรื่องหลอกของคนนั้นเอง
เอาอะไรมาเป็นนิพพาน แล้วก็ยึดถือ
เมื่อมียึดถือแล้ว ไม่มีดับทุกข์
เมื่อยึดถือแล้ว ไม่มีว่าง ก็จะเป็นทุกข์
เรียกว่า ไปยึดถือสิ่งใด สิ่งนั้นมันจะกัดเอา
อย่างน้อยก็ด้วยความที่มันไม่เป็นไปตามที่ผู้นั้นต้องการ
สิ่งต่าง ๆ เป็นตามไปเหตุตามปัจจัย ตามกฏเกณฑ์ของมันเอง เรียกว่า มีความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะดึงมาสู่กิเลสของเรา ตามความต้องการของเราไม่ได้
พอไปยึดถือสิ่งใดเข้า สิ่งนั้นมันก็กัดเอา สมน้ำหน้าของคนโง่ อยากไปยึดถือให้เป็นตัวกู ของกู ทั้งที่มันเป็นของธรรมชาติ เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ
เรามีหน้าที่แต่เพียงจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยถูกวิธี ให้ได้รับประโยชน์ เอามากินมาใช้ มาอะไรได้ตามต้องการแต่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องถูกกัด ไม่ต้องถูกมันกัดเอาเพราะความยึดถือ
นี่คือการปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ โดยรู้อยู่แก่ใจตลอดเวลา ว่า
ไม่มีสิ่งใดที่เข้าไปยึดถือแล้วจะไม่กัดเอา
แม้ที่สุดแต่ระเบียบการประพฤติปฏิบัติ ถ้ายึดถือแล้วมันก็ยังกัดนะ จะถือศีล จะให้ทาน ทำบุญ จะอะไรก็ตาม ถ้ายึดถือแล้วมันก็จะต้องกัดเอา
เมาบุญ บุญมันก็กัดเอา
กลัวบุญจะหมดจะสิ้น มันก็กัดเอา
บุญยังไม่ให้ผล มันก็กัดเอา
เราจะต้องไม่หมายมั่นให้เป็นตัวกูของกู เป็นไปตามอำนาจของกู … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระธรรมโกศาจารย์ พุทธทาสภิกขุ
ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา