21 มี.ค. 2022 เวลา 15:20 • หนังสือ
ทำความรู้จักเขมรแดงผ่านเรื่องเล่าปางตาย จากปลายปากกาของหญิงชนชั้นสูงชาวญี่ปุ่น
1
“4 ปี นรกในเขมร หนังสือที่ฉายภาพความรุนแรง ความอดอยาก และการทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด ของผู้คนในประเทศกัมพูชา ในช่วงเวลาที่เขมรแดงเรืองอำนาจ ผ่านเรื่องราวของหญิงสาวชนชั้นสูงชาวญี่ปุ่น ที่สูญเสียทุกอย่างไป พร้อมกับผู้คนชาวกัมพูชาอีกหลายล้านคน”
___________________________________
คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า “เขมรแดง” แม้มันไม่ได้อยู่ในตำราเรียนให้เราศึกษาและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อพอได้ยินใครพูดถึงชื่อนี้ ความรู้สึกที่มีต่อคำว่า เขมรแดง ย่อมหนีไม่พ้นความน่ากลัว และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมร
.
17 เมษายน พ.ศ. 2518 หลังจากที่เขมรแดง กลุ่มที่มีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ โดยมีแกนนำเป็นกลุ่มปัญญาชน อดีตนักศึกษาที่เคยได้ทุนไปศึกษาที่ฝรั่งเศส ทำการปิดล้อมเมืองหลวงกรุงพนมเปญอยู่ 3 เดือน พวกเขาสามารถยึดครองกรุงพนมเปญได้ในวันนั้น และเป็นวันเดียวกันกับที่กลุ่มเขมรแดง ได้เริ่มสร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
.
ประวัติศาสตร์ที่มีความตายและความอดยากของประชาชนเป็นผลลัพธ์ โดยมี ยาสึโกะ นะอิโต หญิงสาวชาวญี่ปุ่น เป็นสักขีพยานของสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 4 ปีในยุคเขมรแดง เธอเป็นผู้โชคดีที่รอดชีวิต เพราะจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีคนต้องเสียชีวิต 850,000 ถึง 3 ล้านคน จากจำนวนประชาชนกัมพูชาทั้งหมด 7.5 ล้านคน
.
ยาสึโกะ เป็นชาวโตเกียว ลูก 4 คนและสามีตายจากความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เธอมาจากแวดวงสังคมชนชั้นสูงของประเทศญี่ปุ่น เป็นสตรีญี่ปุ่นหนึ่งใน 6 คนสมัยนั้นที่แต่งงานกับชาวเขมร สามีเธอชื่อโศ ทันลัน เกิดในตระกูลผู้ดีเขมร สำเร็จการศึกษาจากฝรั่งเศส เป็นข้าราชการระดับสูงประจำกระทรวงการต่างประเทศ
.
ซึ่งคนจำพวกทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ผู้มีการศึกษา หรือผู้มีวิชาชีพเฉพาะในด้านต่าง ๆ ถือเป็นศัตรูทางชนชั้นของกลุ่มเขมรแดง เพราะในยุคสมัยนั้นเกิดปัญหาความไม่เสมอภาคทางชนชั้น และความไม่เป็นธรรมในสังคมกัมพูชา เขมรแดงจึงเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่มีชนชั้นแรงงานเป็นตัวขับเคลื่อน และให้คำสัญญาแก่พวกเขาว่าจะสร้างสังคมใหม่ที่ทุกคนเท่าเทียม แต่อย่างที่เห็นแล้วว่าแนวคิดของพวกเขานั้นไม่สามารถสร้างความเท่าเทียม และความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนได้จริง
.
เรื่องราวบันทึกในหนังสือ 4 ปีนรกในเขมร เริ่มต้นขึ้นวันที่ 15 เมษายน 2518 ด้วยคำหลอกลวงของพวกเขมรแดงที่กล่าวว่า “สงครามสงบแล้ว! สงครามสงบแล้ว!”
.
คำกล่าวนี้ไม่แตกต่างไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คำสัญญาของพวกเผด็จการมักใช้ความสงบสุข เป็นเหยื่อล่อให้ประชาชนตายใจ พวกเขามักอ้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจจากความวุ่นวาย ที่ตัวเขานั่นแหละคือผู้ก่อขึ้น ยาสึโกะบันทึกไว้ในหนังสือว่า
.
“ประชาชนต่างดีอกดีใจกันว่าความสงบสุขได้กลับคืนสู่บ้านเมืองและประชาชนชาวเขมร”
.
แต่เพียงชั่วอึดใจยังไม่ทันข้ามคืนวัน ยาสึโกะและครอบครัว รวมทั้งประชาชนชาวพนมเปญราว 2.5 ล้านคน ต่างถูกหลอกให้รีบอพยพออกจากเมืองพนมเปญ
.
“หญิงคนหนึ่งนอนข้างถนน เธอถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล ศีรษะทารกแรกเกิดกำลังโผล่ออกมาจากผ้าถุง หน้าประตูโรงงานแห่งหนึ่ง มีคนถูกตรึงไว้กับประตู หน้าอกเปลือยเปล่ามีข้อความเขียนว่าศัตรู เนื้อตัวเริ่มบวมฉุ”
.
พนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง ยาสึโกะถูกอพยพไปอยู่ในชนบท พวกเขมรแดงบังคับให้พวกเขาต้องทำงานใช้แรงงานอย่างหนัก แลกกับสุขลักษณะการกินอยู่แบบแร้นแค้น กินข้าวกับเกลือ ไม่มียารักษาโรคให้กับคนป่วย เขมรแดงฆ่าประชาชนอย่างเลือดเย็น ด้วยการให้พวกเขาค่อยๆ อดตาย หรือตายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างทุกข์ทรมาน ส่วนหนึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะความโกรธ จากความไม่เสมอภาคในสังคมก่อนหน้า
1
.
“พวกชาวเมืองพนมเปญมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ในตึกรามบ้านช่องใหญ่โต อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ จัดงานรื่นเริงกันทุกคืน ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยโดยไม่คิดถึงคนอื่น”
คือถ้อยคำที่ทหารเขมรแดงพูดกับยาสึโกะ นี่คือสิ่งที่พวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนมา ทหารเขมรแดงส่วนใหญ่ คือกองกำลังติดอาวุธทั้งชายและหญิงจากครอบครัวชาวนาในชนบทอันห่างไกล ซึ่งทั้งยากจนและขาดโอกาสในการศึกษา
.
ในหนังสือ 4 ปี นรกในเขมร ยาสึโกะผู้เขียน ใช้การเขียนรูปแบบบันทึกประจำวันแบบเขียนไดอารี่ หากมองในแง่เทคนิคถือว่าเป็นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ขาดเทคนิคชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง แต่ด้วยสิ่งที่เธอต้องพบเจอตลอด 4 ปี การค่อยๆ เห็นลูกและสามีตายไปทีละคน เธอโดดเดี่ยวอยู่ในประเทศที่ไม่มีใครรู้จักเธอ ผ่านการป่วยหนัก การหลบหนีซ่อนตัว ความอดอยากที่ในบางวันเธอได้กินเพียงน้ำข้าวต้ม เสียงระเบิดที่ดังอยู่ทุกค่ำคืน การที่เธอยังคงยืนหยัดเขียนสิ่งเหล่านี้ออกมาได้เกือบทุกวัน ผมคิดว่าเธอแข็งแกร่ง และคงไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกำลังใจหยิบปากกามาเขียนได้เช่นเธอ
.
สิ่งที่เธอเล่าออกมาคือหน้าประวัติศาสตร์ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี หนังสือเล่มนี้ยังคงมีคุณค่า และตอกย้ำความรุนแรงให้เราได้ตระหนักว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้อีกเสมอ
.
“ฉันคิดว่าวันปีใหม่ของปี 2519 นี้ ฉันจะได้กลับไปฉลองที่ญี่ปุ่น แต่ก็เป็นเพียงความหวังยังไม่รู้เลยว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่ ฉันเริ่มท้อแท้ หมดหวัง”
.
สิ่งที่ผมได้ตระหนักเมื่ออ่านเรื่องราวของยาสึโกะ ชีวิตของเธอคือสิ่งที่สอนใจอย่างหนึ่งว่า ชีวิตสามารถเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้ทุกวินาที ยาสึโกะเคยมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่เพียงแค่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 วันเดียว ทุกอย่างพังทลายหายไปหมด ชีวิตช่างเปราะบางไม่ว่ากับผู้ใคร แต่จะต้องไม่หลงลืมว่าความเปราะบางเหล่านั้น เกิดจากผู้กระหายอำนาจเพียงไม่กี่คน
.
ในขณะเดียวกันเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ไปจนถึงตอนท้าย ยาสึโกะเองหมดหวังไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าชีวิตนี้เธอคงไม่มีวันได้กลับไปญี่ปุ่นแล้ว แต่ก็ด้วยความไม่ยอมแพ้และทำทุกวิถีทางของเธอ จนในที่สุดเธอรอดออกมาได้
.
โดยหลังจากที่ลูกๆ และสามีของยาสึโกะเสียชีวิต เธอได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขตชนบทแห่งหนึ่ง โดยมีการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์ เธอได้เล่ารูปแบบการปกครองที่ทุกคนจะไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินใดๆ ส่วนตัว ห้ามมีความรักโดยไม่ขออนุญาตเจ้าหน้าที่ทหาร อาหารการกินจะถูกจัดโดยส่วนกลาง ทุกคนต้องทำงานหนักอย่างเท่าเทียมกัน คนอ่อนแอจะถูกกำจัดทิ้ง พวกเขาพยายามลดความเหลื่อมล้ำผ่านการปกครองรูปแบบนี้ แต่สิ่งนี้กลับทำให้ทุกคนอดอยากกันอย่างถ้วนหน้า โดยมีแค่พวกผู้กุมอำนาจเท่านั้นที่อยู่สุขสบาย
.
ช่วงเวลาในหนังสือผ่านไป 4 ปี ระหว่างนั้นมีเรื่องราวที่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย การหลบหนีออกจากหมู่บ้าน การถูกขอแต่งงานโดยชาวเขมร การถูกใส่ร้ายป้ายสีให้เธอถูกลงโทษ หรือแม้แต่การกินกิ้งกือประทังชีวิต ยาสึโกะผ่านมาได้
.
จนกระทั่งรัฐบาลของกลุ่มเขมรแดง ถูกโค่นลงจากทหารเวียดนามและกองทัพปลดแอกกัมพูชา แต่ยาสึโกะยังไม่สามารถหาทางออกจากประเทศกัมพูชาได้ เธอต้องใช้ความพยายามในการฝากจดหมายขอความช่วยเหลือให้เพื่อนชาวกัมพูชา ส่งไปถึงนักข่าวชาวญี่ปุ่นที่อยู่เมืองไทย การฝากจดหมายที่ไร้จุดหมาย แต่ก็นำมาสู่การเข้าไปช่วยเหลือเธอได้สำเร็จในท้ายที่สุด
.
ยาสึโกะได้กลับบ้าน เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประเทศบ้านเกิดของเธอ เธอแต่งงานใหม่มีครอบครัว มีการงานที่สมบูรณ์อีกครั้ง ชีวิตของยาสึโกะและผู้คนในยุคสมัยนั้นเหมือนรถไฟเหาะ เธอผ่านวัยเด็กในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เติบโตมาอย่างสง่างามในสังคมนักการทูตของสามีเธอ ในยุคสงครามเย็นที่เธอได้ไปเยือนและใช้ชีวิตแทบจะเกือบทั่วโลก แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันทำให้เธอต้องกลายเป็นเหยื่อของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตลอด 4 ปี
1
.
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ กำลังใจ ความหวัง และการรู้จักปรับตัว คือสิ่งที่ผมได้รับจากยาสึโกะ เพราะหากเธอยังสามารถรอดมาจากความเลวร้ายเช่นนั้นได้ ผู้อ่านอย่างเราที่วันนี้อาจจะกำลังเจอเรื่องใดอยู่ คงได้รับกำลังใจจากยาสึโกะไม่น้อย
.
แต่สิ่งที่เธอเจอมาก็หนักหนาเกินไป 3 ปีให้หลังจากเดินทางกลับไปญี่ปุ่น ยาสึโกะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โดยมีความเชื่อกันว่า เพราะร่างกายและจิตใจของเธอถูกกระทบกระเทือนมากเกินไปตลอดระยะเวลา 4 ปีในกัมพูชา
.
“ไม่มีความสวยงามเหลือให้เห็นอีก นอกจากร่องรอยสุดแสนกระด้าง เหี้ยมเกรียม และแสนโหดร้ายทารุณ ไม่มีเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของชาวเขมร ภาษาพูดที่ฟังเหมือนเสียงดนตรี รอยยิ้มอ่อนหวาน ทีท่าหลบหน้าเอียงอายของหญิงสาว ไม่เห็นภาพเหล่านั้นอีกที่พนมเปญ ทุกสิ่งสูญหายไปพร้อมกับการเริ่มของสงคราม- - - และอีกนานเท่าใดไม่มีใครรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านั้นจะกลับคืนมา คงได้แต่หวังว่าจะกลับคืนมา เมื่อความชอกช้ำทั้งมวลได้ผ่านไปเนิ่นนาน จนกลายเป็นประวัติศาสตร์แห่งความอัปยศของมนุษยชาติ”
สักวันสงครามจะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ของเรา
.
4 ปี นรกในเขมร อาจจะไม่ใช่หนังสือที่เขียนโดยนักเขียนมืออาชีพ แต่นักเขียนมืออาชีพก็ไม่สามารถบรรยายสิ่งเหล่านี้ได้ หากไม่ได้ประสบพบเจอด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้วหนังสือ 4 ปี นรกในเขมร จึงมีแค่เธอ ยาสึโกะ นะอิโต เท่านั้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ได้อย่างลึกซึ้งและเห็นภาพ เพราะเธอคือคนหนึ่งในนั้น คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เขมร
.
เมื่ออ่านเรื่องราวที่เธอเขียนจบลง ผมเชื่อว่าคนอ่านคงได้แต่ภาวนาให้สงคราม ความรุนแรง และการบ้าอำนาจของชนชั้นปกครอง ที่ยังทิ้งมรดกตกทอด หลงเหลืออยู่จนมาถึงยุคปัจจุบันหายสาบสูญไปเสียที เพราะคนที่เจ็บปวดจากเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผมหรือคุณ และประชาชนที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากสงครามความรุนแรง ของพวกชนชั้นปกครอง
//PODNATAHPHOB
โฆษณา