8 เม.ย. 2022 เวลา 01:00 • หนังสือ
## 10 ข้อคิด ที่ผมได้จากการทำ Podcast มา 100 ตอน และเขียนบทความทุกวันมาเป็นเวลา 1 ปี ##
.
.
เตือนก่อนว่าบทความนี้ยาวมากๆ แต่ก็อยากให้ทุกคนอ่านให้จบนะครับ
.
.
นับย้อนหลังไปวันที่ 24 เมษายน ปีที่แล้ว เป็นวันที่ผมเริ่มทำพอดแคสต์ตอนแรกเพราะรู้สึกหลงไหลในหลักการของวินัย หลักการของการทำอะไรทีละนิดละหน่อย แต่ทำอย่างต่อเนื่อง และผมก็บอกตัวเองว่าจะทำพอดแคสต์สั้นๆให้คนได้ฟังกันสัปดาห์ละ 2 คลิป
.
.
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว กับคลิป 100 คลิป ที่ผมสามารถบังคับตัวเองให้ลงอย่างสม่ำเสมอมาได้
.
.
ก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างนึงของผมนะครับ แล้วก็ใครก็ตามที่ติดตามช่องนี้มา เติบโตมาด้วยกัน ไม่ว่าจะในเฟสบุ๊คหรือยูทูป ผมก็ขอบคุณมากๆเลยนะครับที่ติดตามช่องเล็กๆช่องนี้
.
.
แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ผมทำพอดแคสต์ติดกันมา 100 คลิป และเขียนบทความในเฟสบุ๊คทุกวันติดกันมาร่วม 200 กว่าบทความแล้ว ผมจะมาสรุปให้ฟังว่า หนึ่งปีที่ผ่านมากับช่องฟิวชั่น ผมได้ประสบการณ์ ได้ข้อคิดอะไรบ้าง เผื่อจะมีประโยชน์กันครับ
.
.
ข้อที่ 1. วินัย สำคัญกว่าแรงบันดาลใจทุกอย่างในโลกใบนี้
.
.
นี่คือข้อคิดสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มทำช่องนี้ เป็นข้อสำคัญที่ผมยึดติดมาตลอด และผ่านไปหนึ่งปีผมก็พิสูจน์ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง
.
.
สาเหตุหลักที่ทำให้ผมเขียนบทความทุกวัน ทำพอดแคสต์ทุกอาทิตย์ได้โดยไม่เว้นเลย คือวินัยล้วนๆเลยครับ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อก่อนผมถึงทำอะไรติดกันได้ไม่นาน ทำไมผมถึงออกกำลังกายแล้วก็เลิก ทำไมผมเคยเปิดเพจเปิดช่องอะไรก็อยู่กับมันได้ไม่นาน เพราะผมมัวแต่ไปพึ่งพาแรงบันดาลใจครับ
.
.
ผมต้องไปนั่งอ่านคำคม ต้องหา inspiration ต้องขอกำลังใจจากคนอื่น ต้องรออารมณ์ดี ถึงจะลงมือทำ ถ้าครั้งไหนไม่มีอารมณ์ทำก็จะไม่ทำ ไม่ลุกไปออกกำลังกาย ไม่ลุกไปทำคลิปต่อ ผมมัวแต่พึ่งพาสิ่งภายนอก
.
.
และเมื่อผมเอาการกระทำของผมไปขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจ สิ่งที่ตามมาก็คือ พอไม่มีอารมณ์ ผมก็ไม่ทำ
1
.
.
แต่ตอนที่ผมทำคลิปได้มาเสมอ เขียนบทความได้เสมอ ก็ตอนที่ผมเริ่มเอาการลงมือทำไปขึ้นอยู่กับวินัย ผมบอกตัวเองว่าผมจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะนอนน้อย อารมณ์ไม่ดี ไม่มีแรงบันดาลใจ หรืออะไรก็ตาม ผมจะเขียนบทความให้ได้ ผมจะออกกำลังกายให้ได้ ผมจะทำคลิปให้ได้
.
.
ผมสร้างวินัยขึ้นมาให้กับตัวเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เหนื่อย และโคตรน่าเบื่อ บางบทความ บางคลิป ก็เป็นคลิปสั้นๆ เป็นคลิปที่ออกมาไม่ดีนัก แต่สำหรับผม การที่มีคลิปที่ดีแค่ 50% ออกมา ยังดีกว่าไม่มีคลิปออกมาเลย
.
.
เพราะสิ่งที่ผมกำลังทำไม่ใช่แค่การทำคลิป แต่เป็นการสร้างวินัยให้ตัวเอง
.
.
ถ้ามีคนรอดูเราทุกอาทิยต์แล้วเราเว้นไป เขาอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ หรือถ้าผมปล่อยปะละเลยตัวเองแล้วเว้นไปสักสองสามวัน ผมอาจจะกลับมาทำไม่ได้อีกเลยก็ได้ เหมือนกับหลายๆอย่างที่ผมล้มเลิกไป
.
.
เพราะฉะนั้น เพราะวินัยล้วนๆเลยครับ ที่ทำให้ผมเติบโตมาได้ ต่อให้ทั้งช่องและเพจจะยังไม่โตมาก แต่มันก็เป็นความภาคภูมิใจ ที่ผมยังสามารถลงมือทำได้ทุกวัน โดยไม่เคยเว้นเลย
.
.
ข้อที่ 2. การสนับสนุนจากภายนอกนั้นมาแล้วก็ไป แต่การสนับสนุนจากภายในจะอยู่กับเราไปตลอด
.
.
ตอนที่ผมเริ่มเขียนบทความอันแรกๆ ทำพอดแคสต์ตอนแรกๆ ตอนนั้นจะเป็นช่วงที่ผมมีกำลังใจเยอะที่สุด เพราะผมจะได้แรงสนับสนุน ได้กำลังใจ ได้คำชมจากคนรอบข้างอยู่เสมอ
.
.
แรงสนับสนุนเหล่านี้ช่วยผลักดันให้ผมมีกำลังใจในการลงมือทำได้ไม่น้อย และยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำชม แรงสนับสนุน ยอดไลค์ ยอดแชร์จากคนใกล้ตัวก็จะค่อยๆลดน้อยลง จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออีก
.
.
จะเหลือแต่ยอดไลค์ของคนแปลกหน้าที่มาอ่าน มาดูบทความของผม แต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ดีว่าข้อความของผมได้ถูกส่งออกไปสู่โลกภายนอกอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
.
.
มันไม่ใช่ความผิดของคนรอบตัวผมที่แสดงตัวมาสนับสนุนแค่ตอนแรกและหายไป หรืออาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่มาให้กำลังใจแล้วหายหน้าหายตาไปไม่กลับมาอ่านบทความผมอีก
.
.
เพราะมันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาด้วยซ้ำที่ต้องมาอ่านบทความของผม ทุกคนมีชีวิต มีหน้าที่ของตัวเองต้องทำ เขาอาจจะยังสนับสนุนผมอยู่ห่างๆแต่ไม่แสดงออก หรือหายตัวไปแล้วจริงๆก็ได้ นั่นก็เป็นเรื่องของเขา
.
.
แต่มันจะเป็นความผิดของผมเต็มๆ ถ้าผมปล่อยให้แรงสนับสนุนที่ลดลงเหล่านั้นทำให้ผมหยุดเขียนบทความและล้มเลิกสิ่งที่กำลังทำ มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะได้แรงสนับสนุนจากคนรอบข้างเวลาที่เริ่มทำสิ่งใหม่
.
.
เช่นการที่คนรู้จักคุณมาอุดหนุดซื้อขนม ซื้อสินค้าของคุณตอนคุณเริ่มทำธุรกิจใหม่ ส่วนมากมันคือการแสดงความยินดีเท่านั้น จะมีกี่คนที่สนับสนุนเราจริงๆ และจะมีกี่คนที่คิดในใจว่าเราคงไปได้ไม่ไกล
.
.
มันจะเป็นความผิดของผมถ้าผมมองยอดไลค์ มองยอดแชร์ มองตัวเลขที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกว่ามันคือตัวเลขจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา
.
.
การสนับสนุนจากายนอกนั้นดีก็จริง เพราะมันช่วยยืนยันว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว แต่การสนับสนุนจากภายใน หรือว่ากำลังใจจากตัวเราเองนั้นสำคัญกว่าหลายร้อยเท่า เพราะสิ่งที่เราเจอตอนเพิ่งเริ่ม มันเป็นแค่ภาพลวงตาจากการแสดงความยินดีเท่านั้น
.
.
แต่สิ่งที่เรากำลังจะเจอหลังจากภาพลวงตาเหล่านั้นหายไปต่างหาก คือของจริง และคนที่มีกำลังใจจากภายในที่แข็งแกร่ง คนที่ให้กำลังใจตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น คือคนที่จะอยู่รอด
.
.
ข้อที่ 3. นอกจากขาขึ้น ขาลงแล้ว ชีวิตยังมีการโตแบบ sideway ด้วย
.
.
คำว่าชีวิตมีทั้งขาขึ้นและขาลง เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยจนชิน แต่จริงๆแล้วการเติบโตมันก็ไม่ได้เป็นเกลียวคลื่นขึ้นลงจนน่าปวดหัวขนาดนั้นไปซะทีเดียว
1
.
.
เอาจริงๆแล้ว เวลาส่วนมากของการเติบโต จะเน้นไปทางการเติบโตแบบ sideway ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หรือร่วงลงอย่างรุนแรงเเหมือนกับกราฟหุ้นเลย
.
.
และช่วงเวลาที่เคลื่อนที่แบบ sideway เนี่ยแหละ คือช่วงที่ลำบากที่สุด ไม่ใช่เพราะแค่มันยากอย่างเดียว แต่ว่ามัน “โคตรท้อ” และ “โคตรน่าเบื่อ” เพราะมันคือช่วงเวลาเแห่งการลงมือทำแบบไม่มีผลลัพธ์อะไรให้เห็นเลย
.
.
ตอนที่ผมเขียนบทความลงเฟสทุกวัน เพจของผมแทบจะไม่มีใครเห็นเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าโตแบบ sideway มาหลายเดือน จนมีคอนเทนต์นึงที่อยู่ๆก็ไวรัลและมีคนแชร์ไปเป็นพัน ทำให้เพจผมเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเปลี่ยนเทรนด์ของเพจผมมาเป็นขาขึ้นทีละช้าๆ หลังจากเริ่มได้ฐานลูกค้ามา
.
.
และไม่นานหลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วง sideway ใหม่เป็นเวลาหลายเดือน ที่ลงคอนเทนต์ไปแล้วไม่มีใครสนใจเลย จนกระทั่งมีคอนเทนต์นึงที่ไวรัลและมีคนแชร์ไปเป็นหมื่น ถึงจะทำให้เพจผมเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกครั้งนึง และในปัจจุบัน เพจของผมก็กำลังกลับมาโตแบบ sideway อีกครั้ง
.
.
ช่วงเวลานี้เนี่ยแหละครับ คือช่วงเวลาที่โคตรน่าเบื่อที่สุด โคตรน่ารำคาญที่สุด แต่ถามว่าถ้าช่วงที่ผ่านมาผมล้มเลิกไปก่อนเวลาที่เห็นเพจไม่โต ผมก็คงเดินทางมาไม่ถึงจุดที่คอนเทนต์ไวรัลและคนแห่กันเข้ามา
.
.
เพราะฉะนั้น คนที่อึด และก้าวข้ามความน่าเบื่อไปได้นั่นแหละ คือคนที่จะได้รางวัล เพราะการเอาชนะช่วง sideway ของชีวิต คือการลงมือทำได้เรื่อยๆ จนกว่าจะหลุดจากมันมาได้
.
.
ข้อที่ 4. อ่านให้เยอะ
.
.
นิสัยที่ทำให้ผมมีคอนเทนต์ลงบทความทุกวัน และทำพอดแคสต์มาได้เรื่อยๆ ก็คือนิสัยรักการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือบทความหน้าเว็บต่างๆ การอ่านหนังสือเยอะๆ มันทำให้ผมตกตะกอนความคิด และได้ไอเดียในการทำคอนเทนต์อยู่เสมอ
.
.
แต่ถ้าไม่นับเรื่องการทำคอนเทนต์ การอ่านก็เป็นนิสัยที่ช่วยได้หลายอย่างเช่นกัน หนังสือหนึ่งเล่ม บทความหนึ่งบทความ มันก็มาจากการเขียนของคนหนึ่งคนเนี่ยแหละ มันไม่ได้อยู่ๆก็ถูกเสกขึ้นมาจากที่ไหน
1
.
.
เพราะฉะนั้น การที่เราอ่านหนังสือ มันก็เหมือนกับการที่เราได้นั่งคุยกับคนๆนึง ได้รับความรู้ ได้แนวคิด ได้แนวปฏิบัติมาปรับใช้กับชีวิต บางเรื่องใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป บางเรื่องใช้ได้ก็เอามาใช้
.
.
แถมหนังสือบางเล่มก็ถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ทั้งชีวิตของคนๆนึง ที่ย่อยมาให้เราอ่านจบได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
.
.
และที่สำคัญที่สุดคือ หนังสือหนึ่งเล่มสามรถเปลี่ยนชีวิตคนๆนึงได้เลย และการอ่านไปเรื่อยๆเนี่ยแหละ จะทำให้เราเจอหนังสือเล่มนั้น
.
.
สำหรับผมแล้ว หนังสือเล่มที่ทำให้ผมมาสนใจด้านการเงินและเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง ก็คือหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ของลุงโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดตัวเองและมองภาพตัวเองในอนาคตเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต
.
.
และอีกเล่มที่เป็นจุดเริ่มต้นของเพจฟิวชั่น และสร้างนิสัยให้ผมมีวินัยทำเพจและทำสิ่งต่างๆมาได้ถึงทุกวันนี้ คือหนังสือ "Atomic Habits" ของ เจมส์ เคลียร์ ถือว่าเป็นแก่นหลักใจกลางของเพจฟิวชั่นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ
.
.
ข้อที่ 5. รู้จักให้เสียก่อน ก่อนที่จะเอ่ยปากขออะไรจากคนอื่น
.
.
นี่เป็นแนวคิดที่ผมได้เห็นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจากหนังสือหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือหนังสือ Think and Grow Rich ของ นโปเลียน ฮิลล์
.
.
คนที่ทำธุรกิจสำเร็จคือคนที่มอบคุณค่าออกไปก่อน ยอมลงเงินลงแรงไปก่อน เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้คน แล้วเขาถึงได้คุณค่ากลับมาอย่างทวีคูณจากลูกค้าที่พอใจในธุรกิจนั้น
.
.
พนักงานที่ได้ขึ้นเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่ง คือพนักงานที่ยอมทำงานหนักกว่าเงินที่ได้รับก่อน มอบคุณค่าออกไปก่อน แล้วได้คุณค่ากลับมาในภายหลังจากการพิสูจต์ตัวเอง
.
.
ส่วนพนักงานที่ไม่ได้เติบโตไปไหนสักที คือพนักงานที่บอกว่าถ้าอยากให้ทำงานหนักขึ้น ก็ต้องขึ้นเงินเดือนก่อน การไม่เคยคิดจะมอบคุณค่าอะไรออกไปก่อน คิดจะเอาแต่ได้ก้อนอย่างเดียว ทำให้พวกเขาไม่โตไปไหน เพราะบริษัทเห็นว่าเงินที่เขาได้ตอนนี้ก็คู่ควรกับปริมาณงานที่ทำในปัจจุบันแล้ว
.
.
ผมลองนำแนวคิดนี้มาทบทวนดู เลยทำให้ผมได้เข้าใจว่าทำไมช่วงแรกที่เปิดตัวสมุดโน้ตสร้างวินัย สมุดเหล่านั้นถึงขายดี เนื่องจากผมเขียนบันทึกบูโจเป็นประจำอยู่แล้ว และเข้าใจว่ามันยาก ผมเลยออกแบบสมุดที่ทำให้เขียนง่ายขึ้นออกมาและคิดว่าจะขายในเพจดู
.
.
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือล็อตแรกที่เปิดจองนั้นหมดอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ผมไม่เคยทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการบันทึกบูโจมาก่อนถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับวินัยเหมือนกัน
.
.
แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือ สมุดที่คนซื้อไป เป็นเพราะเขาอยากสนับสนุนผม ที่ผมเขียนบทความให้อ่านฟรีๆทุกวันมาเป็นเวลาหลายเดือน มันคือการที่ผมมอบคุณค่าออกไปก่อนโดยการเขียนบทความฟรีๆทุกวันเป็นเดือน แล้วถึงได้คุณค่ากลับมาจากการที่คนจองสมุดล็อตแรกจนหมดเกลี้ยง
.
.
ข้อที่ 6. เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า
.
.
ในช่วงที่ผมเริ่มทำเพจและทำช่องแรกๆ ผมเขียนบทความลงวันต่อวัน และลงพอดแคสต์สัปดาห์ต่อสัปดาห์ และสิ่งที่ตามมาทันทีเลยก็คือความกดดันมากๆ และทำให้คอนเทนต์แต่ละอันของผมนั้นถูกเขียนแบบรีบๆ สะกดผิดเยอะ เรียบเรียงไม่ค่อยดีนัก
.
.
เนื่องจากช่วงแรกๆผมลงบทความทุก 6 โมงเย็น และลงพอดแคสต์ทุก 8 โมงเช้า ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันตั้งเวลาลงได้ เพราะฉะนั้นผมก็จะรีบๆเขียนและก็รีบลง มันทำให้ผมรู้สึกกดดันถ้าใกล้ถึงเวลาลงแล้วคอนเทนต์ยังทำไม่เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นบทความหรือพอดแคสต์
.
.
จนผมได้รู้ว่ามันสามารถตั้งเวลาลงได้ทั้งในเพจและยูทูป ทำให้ผมปลุกพลังตัวเอง และใช้เวลาวันนึงอย่างตั้งใจ ในการเขียนบทความวันเดียว 5 บทความเลย และตั้งลงไว้ล่วงหน้า เมื่อทำแบบนั้น ผมก็จะมีบทความลงล่วงหน้า 5 วันแล้ว
.
.
หลังจากวันนั้นผมก็ยังคงเขียนบทความทุกวันเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผมจะไม่ต้องกดดัน และรีบร้อนเขียนอีกต่อไป เพราะบทความที่ผมเขียนในแต่ละวันนั้นจะยังไม่ถูกลงทันทีในวันนั้น มันทำให้ผมมีเวลาเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้น
.
.
เช่นเดียวกันกับพอดแคสต์ มีอยู่ช่วงนึงที่ผมนั่งปั่นคอนเทนต์รัวๆและทำพอดแคสต์ล่วงหน้าไปเป็นสิบตอน หรือว่าสำหรับเดือนกว่าๆ โดยทำพอดแคสต์ทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์
.
.
การเหนื่อยแทบไม่ได้นอนในครั้งนั้นทำให้ผมไม่กดดันในการต้องเร่งทำพอดแคสต์อีกต่อไป เพราะคอนเท้นในนี้จะใช้เวลาเยอะกว่าบทความมาก และต้องการการกลั่นกรองที่สูง
.
.
การยอมเหนื่อยทำคอนเทนต์รัวๆเพียงช่วงหนึ่ง ทำให้ผมไม่ต้องกดดันหาคอนเทนต์มาลงแบบรีบๆ และมีเวลานั่งเขียน นั่งอ่านชิวๆ และทำให้คอนเทนต์ดีขึ้นได้โดยที่ไม่เหนื่อยเกินไปอีกด้วย
.
.
ข้อที่ 7. ถ้าอยากเติบโต ต้องยอมรู้สึกว่าตัวเองโคตรโง่
.
.
ผมไม่ได้รู้อะไรไปซะทุกอย่าง และมีหลายอย่างที่ผมไม่รู้ ผมได้ยินข้ออ้างจากเพื่อนรอบตัวผมบ่อยเวลาที่พวกเขาพยายามหาอะไรทำเป็นงานอดิเรก แต่จะมีข้ออ้างเสมอว่าไม่มีทักษะนั้นหรือว่าไม่เก่งเท่าคนอื่น
.
.
เฟสบุ๊คกับยูทูปตั้งเวลาลงล่วงหน้ามาได้หลายปีแล้ว แต่ผมเพิ่งมารู้ตอนที่ทำเพจไปได้สองเดือนว่ามันทำได้ การตัดต่อวิดีโอ ทำรูปหน้าปก รูปคอนเทนต์ ทั้งหมดเกิดจากการมั่วแบบโง่ๆเลยทั้งนั้น และใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะเริ่มคล่องและหาแนวทางของตัวเองได้
.
.
ถ้าย้อนไปดูบทความของบทตั้งแต่แรกๆ จะเห็นได้ว่าสไตล์ของผมมีการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง บางช่วงก็แทบจะเลียนแบบเพจอื่นมาเต็มๆเลย และค่อยๆคลำจนเจอแนวทางของตัวเองถึงจะยึดติดอยู่กับมันได้
.
.
ผมไม่เคยทำพอดแคสต์มาก่อน และตอนทำแบบมั่วๆก็รู้สึกโคตรโง่เลยที่ทำอะไรผิดๆถูกๆ พูดจาติดๆขัดๆ ตอนทำเพจก็เเหมือนกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมลองทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆของตัวเอง
.
.
ทุกอย่างก็เกิดจากการทำอะไรมั่วๆและเจ๊งไม่เป็นท่าทั้งนั้น แต่ทุกครั้งที่เจ๊ง มันทำให้ผมได้บทเรียนดีๆมา เงินเก็บผมหมดตัวจากการลองทำหลายอย่างแบบมั่วๆแล้วล้มเหลว ไปลงคอร์สเรียนไร้ประโยชน์ที่แสนแพงที่มารู้ทีหลังว่าสิ่งที่เขาสอนสามารถหาได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต
.
.
ทั้งหมดนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกโง่มากๆ แต่การยอมรู้สึกแบบนั้น ทำให้ผมได้ประสบการณ์และความรู้ที่สามารถทำให้ผมได้เงินเก็บที่หายไปทั้งหมดกลับมาได้ในเวลา 6 เดือน
.
.
ผมเองก็ยังไปไม่ถึงไหน ยังเรียนรู้ได้อีกเยอะ เพจของผมก็ยังเป็นเพจเล็กๆ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้แล้วว่าคนที่เขาอยู่จุดสูงสุดในสักเรื่อง เขาเคยรู้สึกว่าตัวเองโคตรโง่มาก่อน และคนที่ไม่เคยยอมให้ตัวเองรู้สึกโง่ คือคนที่จะไม่โตไปไหน
.
.
ข้อที่ 8. จริงๆเรามีเวลา แต่เราทำเป็นว่าเราไม่มี
1
.
.
ก่อนที่ผมจะเริ่มทำอะไรทุกอย่างที่ทำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทความ พอดแคสต์ ขายสมุด และก็วาดรูปขาย ผมเรียนอย่างเดียว และก็เคยคิดว่าผมไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นแล้ว แค่เรียนอย่างเดียวก็ไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นเลย และผมก็ได้ยินเพื่อนหลายคนพูดเหมือนกัน มันยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าความคิดนั้นเป็นความจริง
.
.
จนผมเริ่มทำธุรกิจแรกอย่างมั่วๆก็คือร้านเสื้อแบบ Print on Demand
.
.
เวลาที่ผมต้องแบ่งไปให้มันไม่ใช่แค่การทำเว็บไซต์หรือการขาย แต่มันรวมถึงเวลาที่ต้องแบ่งไปอ่านหนังสือ ไปดูคลิป ไปศึกษาหาความรู้ ไปออกแบบลายเสื้อ ไปนั่งหา ref ลายต่างๆ
.
.
ผมสามารถยัดทั้งหมดที่ว่ามานั้นลงไปในหนึ่งวันที่ผมเคยพูดว่าแค่เรียนหนังสืออย่างเดียวก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้วได้
.
.
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ขายเสื้อนั้นแล้ว แต่ผมก็ยังทำประมาณ 4 อย่างไปพร้อมๆกันกับการเรียน โดยที่ทุกอย่างนั้นก็ต้องใช้ทั้งเวลาในการดูแล ลงมือทำ และหาความรู้เพิ่มเติมควบคู่ไปได้เหมือนกัน ซึ่งมันก็วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของผมมาเกือบปีแล้ว โดยที่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยมากๆ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากการอดนอนบ้างนิดหน่อย
.
.
เมื่อมาลองมองย้อนดูแล้ว ผมไม่ได้ไม่มีเวลา แต่ผมทำให้ตัวเองไม่มีเวลาต่างหาก ระหว่างวันผมจะชอบพักเล่นมือถือครั้งละ 5-10 นาที แต่นับรวมกันทั้งวันผมก็ทำแบบนั้นหลายสิบครั้ง รวมแล้วก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เสียไป
.
.
การนั่งดูยูทูป นั่งดูหนังยาวๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการพักผ่อนที่ไม่ได้ผิดอะไร ทุกคนควรค่าแก่การได้พัก แต่ผมเล่นพักผ่อนไปซะ 4-6 ชั่วโมง รวมกับเล่นมือถือแล้วก็ไม่เหลือเวลาให้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเรียนอยู่แล้ว ไม่เห็นแปลก
.
.
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ไม่มีเวลา แต่เราทำให้เราไม่มีเวลาเองต่างหาก ถ้าลองสังเกตในแต่ละวันดีๆ เราอาจจะมีการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์เยอะมากๆก็ได้ และถ้าตัดการเคลื่อนไหวเหล่านั้นออกไป เราอาจจะได้เวลาคืนมาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ที่สามารถนำไปทำงานอดิเรกอย่างอื่นได้เยอะแยะ
.
.
ข้อที่ 9. พูดให้ช้าลง เดินให้เร็วขึ้น จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ
.
.
หนึ่งสิ่งที่การทำพอดแคสต์ได้เปลี่ยนผมก็คือ มันได้สอนให้ผมพูดช้าลง ใจเย็นลง ผมมักโดนทักเสมอว่าผมเป็นคนพูดเร็ว ฟังยาก แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองฟังยากขนาดไหนจนได้มาทำพอดแคสต์และนั่งฟังเสียงของตัวเอง
.
.
ตลอด 100 ตอนที่ผ่านมาช่วยพัฒนาทักษะการพูดให้ผมเยอะขึ้นมาก ทั้งพูดช้าลง การออกเสียง การงับคำให้ชัดขึ้น การพูดให้เป็นธรรมชาติ ใช้โทนเสียงสูงต่ำ และที่สำคัญก็คือ มันช่วยเพิ่มความมั่นใจในการพูดของผมได้มากเลย
.
.
ทั้งที่การทำพอดแคสต์นั้นเป็นการนั่งพูดอยู่หลังจอหลังไมค์คนเดียว สคริปต์ก็มี คนดูสดก็ไม่มี แต่มันก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผมในการไปพูดต่อหน้าผู้คนที่นั่งฟังสดจริงๆได้ดีขึ้นเยอะ และทุกอย่างราบรื่นเป็นธรรมชาติขึ้นเยอะจากการพูดคนเดียวเนี่ยแหละ
.
.
ผมเชื่อแล้วที่เขาบอกว่าการพูดคนเดียวหน้ากระจกจะช่วยให้มั่นใจขึ้น เพราะต่อให้ไม่มีคนฟัง แต่อย่างน้อยเราก็ได้ฝึกพูด
.
.
อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจที่ผมได้เรียนรู้มาก็คือการเดินให้เร็วขึ้น นี่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการทำพอดแคสต์โดยตรง แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากการนั่งอ่านหาข้อมูลมาทำพอดแคสต์
.
.
ถ้าใครมีปัญหาเรื่องความมั่นใจในตัวเอง ลองพูดให้ช้าลงนิดหน่อย งับคำให้ชัดขึ้น และเดินให้เร็วขึ้นสัก 20% และทำต่อเนื่องกันให้เป็นนิสัย อาจจะช่วยให้รู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้บ้างครับ
.
.
ข้อที่ 10. ไม่เคยมีใครบอกว่ามันจะง่าย
1
.
.
ตอนนี้ผมพูดไม่ได้หรอกว่าผมประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในด้านไหนก็ตาม เอาจริงๆก็คือผมยังไปไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งนึงที่รู้แล้วแน่ๆคือผมได้รู้แล้วว่าการลงมือทำอะไรสักอย่าง มันยาก และไม่เคยมีใครบอกว่ามันจะง่าย
.
.
ถ้าไปถามคนที่สำเร็จทุกคน ทุกคนก็จะบอกเหมือนกันหมดว่ามันไม่ง่าย แต่อีกอย่างนึงท่ทุกคนจะพูดเหมือนกันก็คือ ไม่ใช่มันเป็นไปไม่ได้
2
.
.
ไม่เคยมีใครบอกว่ามันจะง่าย แต่ก็ไม่มีใครบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ในตอนที่ผมได้ลองลงมือทำมันแล้ว ได้ลองอยู่กับมัน เบื่อกับมัน ทรมาณกับมัน ทำให้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ง่าย
1
.
.
และมันสร้างเกราะป้องกันให้กับผมว่าต่อไปนี้ถ้าผมลงมือทำอะไร ผมจะไม่ประมาท และประเมินตัวเองสูงไป และถ้าเจอใครมาโฆษณาอะไรก็ตามแล้วทำท่าเหมือนความสำเร็จมันได้มาง่ายๆ ผมจะไม่มีวันถูกหลอกอีก
1
.
.
การเริ่มต้นมันง่าย แต่การอยู่กับมันไปจนถึงปลายทางต่างหาก คือสิ่งที่ทั้งเหนื่อย น่าเบื่อ และทรมาณ และผมเชื่อว่ามันจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในที่สุด
1
.
.
การโพสต์คลิปแรกนั้นง่าย
แต่การโพสต์คลิปทุกวันให้ได้ 1 ปีนั้นยากมาก
.
.
การทำคอนเทนต์แรกนั้นง่าย
แต่การทำคอนเทนต์ให้ได้ทุกวันเป็นปีนั้นยากมาก
.
.
การเดินก้าวแรกนั้นง่าย
แต่การเดินทุกวันจนลดน้ำหนักได้ 10 กิโลนั้นยากมาก
1
.
.
เพราะฉะนั้น ข้อสรุปส่งท้ายที่ผมจะบอก จากทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้จากการทำเพจและทำพอดแคสต์มาครบ 100 ตอน และอีกหลายอย่างที่ผมได้ลองทำระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ รวบรวมอยู่ในคำเดียวคือคำว่า “วินัย”
.
.
สิ่งที่ทำให้ผมลงมือทำ สิ่งที่ทำให้ผมทนอยู่กับมันมาได้นาน คือวินัยล้วนๆ แรงบันดาลใจก็มีส่วน แพสชั่นก็มีส่วน ถ้าทำอะไรแบบไม่มีแพสชั่นก็จะรู้สึกเหนื่อย
.
.
แต่แพสชั่นมันไม่ได้อยู่กับเราตลอด มันมาๆไปๆ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ วันที่เราไม่มีแพสชั่น เรายังลงมือทำมันอยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือใช่ สิ่งนั้นแหละ คือวินัย
1
.
.
และคำนี้คำเดียว คือคำที่ทำให้เกิดเพจฟิวชั่นขึ้นมา และเป็นคำที่แบกเพจนี้ทั้งเพจมาจนครบ 100 ตอนได้ และมันจะยังคงแบกต่อไปเรื่อยๆ ในทุกๆพอดแคสต์ ทุกๆบทความต่อจากนี้
.
.
บทความนี้เป็นบทความที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมา และใช้เวลานานที่สุด ใครที่อ่านมาจนจบก็ขอขอบคุณ และคงต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะบทความนี้ถ้าถูกนำไปวางไว้ในหนังสือขนาด A5 ตามตลาดทั่วไป จะมีความยาวถึง 15 หน้าเลยทีเดียวครับ
.
.
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์นะครับ
.
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับผม สวัสดีครับ
โฆษณา