25 เม.ย. 2022 เวลา 11:12 • ประวัติศาสตร์
“ยิว (Jews)” ชนชาติผู้ยึดมั่นในพันธสัญญาแห่งพระเจ้า
4
จงเงยหน้าดูสถานที่ที่เจ้ายืนอยู่ไปทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก เพราะดินแดนทั้งหมดที่เจ้าแลเห็นนี้ เราจะยกให้เจ้าและเชื้อสายของเจ้าชั่วนิรันดร์ ลองมองบนท้องฟ้าสิ ถ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ก็นับไป เราจะทำให้วงศ์วานของเจ้ามีมากมายเฉกเช่นดวงดาวเหล่านั้น
The Old Testament : Genesis
5
ทุกท่านครับ นี่คือเรื่องราวของชนชาติหนึ่งที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างมากในปัจจุบัน...
2
ชนชาติที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวการกำเนิดของโลก...
1
ชนชาติที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและฝังลึก...
ชนชาติที่พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองว่าถูกเลือกสรรค์โดยพระเจ้าให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...
2
ชนชาติที่สร้างอัตลักษณ์ในยุคสมัยของตนเองและถูกทำลายอารยธรรมจนต้องแตกกระจัดกระจายไปทั่วโลก...
การแตกกระจายนั้นทำให้พวกเขาได้เข้าไปแทรกซึมในดินแดนต่างๆ เพื่อรอวันเวลาที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง...
1
และทุกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ล้วนมีพวกเขาสอดแทรกอยู่เบื้องหลัง...
2
การสร้างโลก...
เผ่าพันธุ์มนุษย์และความผิดบาป...
โนอาร์และการชำระล้าง...
1
อับราฮัม...
ดินแดนแห่งพันธสัญญา...
โมเสส...
เดวิด...
โซโลมอน...
1
ยูดาห์...
อิสราเอล...
เยซู...
การแตกแยกของความเชื่อ...
การอพยพเข้าสู่ยุโรป...
และนี่ คือเรื่องราวของ “ยิว (Jews)” ชนชาติผู้ยึดมั่นในพันธสัญญาแห่งพระเจ้า
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ย้อนกลับไปเมื่อ 6,000 ปีก่อน มีกลุ่มคนที่เรียกว่า "เซมิติก (Semitic)" เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ในแถบตะวันออกกลาง
3
โดยเซมิติกนี้เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลเดียวกัน และในบรรดาเซมิติก ภาษาอาหรับจะเป็นภาษายอดฮิตที่สุด
1
ซึ่งกลุ่มคนที่จะเป็นตัวละครหลักของเรื่องราวนั้นเป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลเซมิติกนี่แหละครับ แต่เป็นคนกลุ่มน้อยใช้ภาษาที่เรียกว่า "ฮีบรู (Hebrew)"
1
โดยชาวฮีบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ย้ายถิ่นฐานไปมาในบริเวณชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลทรายอาหรับ ซึ่งถือว่าเป็นเพียงชนเผ่าจืดๆ ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก...
1
แต่คนฮีบรูดันมีความเชื่อที่ถือว่าแปลกแหวกแนวในช่วงนั้นพอสมควร คือ การนับถือพระเจ้าองค์เดียวนามว่า "ยาห์เวห์ (Yahweh)" แตกต่างจากคนกลุ่มอื่นๆ ในสมัยก่อนที่มักนับถือพระเจ้าหลายองค์เพื่อเป็นตัวแทนของรูปแบบธรรมชาติต่างๆ
4
และความเชื่อนี่แหละ ที่จะขับเคลื่อนให้เหล่ามหาชนชาวฮีบรูเข้ามามีบทบาทสำคัญในดินแดนแถบนี้ จนถึงขนาดกลายเป็นแกนหลักความเชื่อของโลกในอนาคตเลยทีเดียว...
1
ภาพจาก Wikimedia Commons (การกระจายตัวของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลเซมิติก)
ภาพจาก Ancient Origin (ยาห์เวห์)
คราวนี้เรามาดูเรื่องราวความเชื่อของชาวฮีบรูกันดีกว่าครับ...
1
โดยมีการกล่าวไปถึงต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งพระเจ้าได้เริ่มต้นสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน สร้างความสว่างแยกออกจากความมืด สร้างพืชและต้นไม้ให้งอกเงย สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ สร้างฝูงสัตว์นานาชนิด และสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรกขึ้นมา คือ "อดัมกับอีฟ"
พระเจ้าได้ให้อดัมกับอีฟอยู่ในสวนที่พระเจ้าสร้างขึ้นชื่อ "สวนเอเดน (Eden)" โดยกำชับอย่างหนักแน่นว่า "ทั้งสองคนสามารถกินผลไม้และพืชได้ทุกชนิดในสวน ยกเว้นผลไม้ของต้นที่อยู่กลางสวนห้ามกินเด็ดขาด!"
3
แต่สุดท้ายทั้งอดัมกับอีฟก็ฝ่าฝืนคำสั่ง กินผลไม้ที่อยู่กลางสวน ทำให้พระเจ้าขับไล่ทั้งสองคนออกจากสวนเอเดน พร้อมตีตราว่าการกระทำนี้เป็นบาปครั้งแรกของมนุษย์...
3
อาดัมกับอีฟที่ถูกขับไล่ออกจากสวน ก็มีเชื้อสายที่สืบต่อมาจนขยายกลายเป็นมนุษยชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ พร้อมกับความชั่วร้ายที่ทวีมากขึ้นบนโลกตามจำนวนมนุษย์
4
พระเจ้าจึงตัดสินใจที่จะล้างบางมนุษย์ทั้งหมด แต่มีการยกเว้นชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า "โนอาห์ (Noah)" โดยมีการไปบอก "ให้โนอาห์สร้างเรือขนาดยักษ์ นำสัตว์ตัวผู้ตัวเมียอย่างละคู่ พร้อมครอบครัวของโนอาห์เข้าไปอยู่ในเรือ"
5
ว่าแล้วพระเจ้าก็ได้ทำการล้างบางมนุษย์ที่เหลือโดยทำให้ฝนตกอย่างหนัก 40 วัน 40 คืน โดยไม่หยุดจนน้ำท่วมโลกทั้งโลก เหลือรอดเพียงโนอาห์ ครอบครัวและสัตว์ที่อยู่ในเรือเท่านั้น
3
มนุษยชาติในเจนใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นจากเชื้อสายของโนอาห์ กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมโลก ก่อเกิดอารยธรรมมนุษย์ในพื้นที่ต่างๆ โดยในแถบตะวันออกกลางก็มีกลุ่มคนเซมิติกที่เป็นเจ้าถิ่นและสร้างอารยธรรมที่เรียกว่า "เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia)" ให้ผงาดขึ้นมา...
6
แต่พระเจ้านั้นไม่ได้สนใจเผ่าพันธุ์หรือกลุ่มคนที่ยิ่งใหญ่ใดๆ ในโลกนี้ แต่กลับสนใจชายซึ่งเป็นผู้นำของชนเผ่าเร่ร่อนในแถบตะวันออกกลาง
2
ชนเผ่าที่ว่าคือฮีบรู และชายที่เป็นผู้นำคือ "อับราฮัม"
2
พระเจ้าจึงได้ไปหาอับราฮัมและสั่งว่า "จงออกจากดินแดนของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เจ้าจะมีชื่อเสียงใหญ่โต เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปแช่งคนที่สาปแช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"
3
อับราฮัมจึงตัดสินใจนำชนเผ่าฮีบรู เดินทางไปยังดินแดนตามคำบัญชาของพระเจ้า...
ดินแดนที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเขากลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...
1
ภาพจาก Reason to Believe (อดัมกับอีฟ)
ภาพจาก Bible Study Tools (สวนเอเดน)
ภาพจาก Crossroad Intiative (น้ำท่วมโลกและเรือโนอาห์)
ภาพจาก JW (อับราฮัม)
ดินแดนที่เป็นเป้าหมายของเหล่าฮีบรูนั้นคือดินแดนที่ชื่อว่าคานาอัน แต่เผอิญว่าดินแดนนี้ดันมีคนคานาอันที่เป็นเซมิติกเหมือนกันเป็นเจ้าถิ่นอยู่
1
แต่พระเจ้าก็ยังยืนยันว่า จะให้คานาอันเป็นดินแดนของฮีบรู พร้อมเรียกดินแดนนี้ว่า "ดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised land)" แต่ฮีบรูต้องนับถือพระเจ้าเพียงแค่องค์เดียวเท่านั้น พร้อมทำสัญญาโดยผู้ชายทุกคนต้องขลิบอวัยวะเพศ
8
อีกทั้งยังมีการยกย่องให้อับราฮัมเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ ซึ่งพอเวลาผ่านไปเชื้อสายของอับราฮัมก็ขยายกระจัดกระจายไปยังดินแดนต่างๆ อีก
3
โดยชาวฮีบรูกลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดนั้นได้อพยพเข้าไปในอียิปต์ แล้วก็ได้ไปสร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นใหญ่เป็นโต กลายเป็นเศรษฐีในอียิปต์ไปจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
2
แต่พอเวลาผ่านไป ฟาห์โรที่เห็นว่าฮีบรูเริ่มมีอำนาจมากขึ้นทุกที จึงตัดไฟแต่ต้นลม ยึดทรัพย์สินและจับฮีบรูทั้งหมดไปใช้แรงงานเป็นทาส พร้อมสั่งให้ "เชือดเด็กฮีบรูเกิดใหม่ทุกคนอย่าให้เหลือ!"
8
การล้างบางเด็กฮีบรูในอียิปต์จึงเกิดขึ้นขนานใหญ่เพื่อจำกัดจำนวนประชากร แต่แล้วก็ดันมีเด็กคนหนึ่งที่ถูกเอาไปลอยแพในแม่น้ำเพื่อไม่ให้โดนเชือด ซึ่งเจ้าหญิงในวังดันไปพบเข้าเลยเก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยงพร้อมตั้งชื่อว่า "โมเสส (Moses)"
4
โมเสสที่โตขึ้นและเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นคนฮีบรู อีกทั้งยังเห็นชะตากรรมของชนชาติตัวเองที่เป็นประชากรชั้นต่ำ อดอยาก และใช้แรงงานจนตาย เลยเกิดทนไม่ไหวลุกขึ้นมาเป็นผู้นำปลุกระดมชาวฮีบรูจนสามารถปลดแอกตัวเองจากการเป็นทาสได้ พร้อมกับนำชาวฮีบรูหนีตายออกจากอียิปต์ไปเร่ร่อนในทะเลทราย
2
โดยโมเสสได้บอกกับเหล่าฮีบรูว่า "เราจะทำตามพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าได้ให้ไว้ คือการเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา"
1
ในช่วงนี้เองทำให้พระเจ้าได้มอบบัญญัติ 10 ประการเป็นแผ่นศิลาให้โมเสสบนยอดเขาซีนาย เพื่อเป็นหลักในการปกครองชาวฮีบรู ซึ่งก็มีการสร้างหีบเพื่อใส่แผ่นศิลาบัญญัติ 10 ประการเอาไว้เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า
3
แต่ยังไม่ทันเดินทางถึงคานาอัน โมเสสก็ดันเสียชีวิตลงก่อน ทำให้ผู้นำคนใหม่ที่ชื่อว่าโจชัว สานต่อนำชาวฮีบรูเข้าสู่คานาอันจนสำเร็จ...
2
ภาพจาก Quora (โมเสสและบัญญัติ 10 ประการ)
ภาพจาก Live Science (จำลองหีบพันธสัญญา)
อย่างที่ผมได้เล่าไปครับว่า คานาอันมีเจ้าถิ่นอยู่แล้ว แต่ฮีบรูที่เป็นผู้มาใหม่นั้นได้ยึดพันธสัญญาที่พระเจ้าให้เอาไว้ จึงพยายามแย่งชิงดินแดนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดเป็นสงครามยาวนานกว่า 200 ปี
3
จนในที่สุดฮีบรูก็เป็นผู้ชนะได้ดินแดนส่วนใหญ่มาครอบครองสมใจ พร้อมสร้างอาณาจักรของตัวเองบนคานาอันและมีผู้นำที่ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ชื่อว่า "ซาอูล (Saul)"
3
คราวนี้แหละครับ เหล่าฮีบรูที่เริ่มมีพาวเวอร์ขึ้นมา ก็ทำการตีดินแดนข้างเคียง เพื่อขยายอาณาเขตของตัวเอง โดยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องรบกับกองทัพฟิลิสเตีย ซึ่งมีแม่ทัพชื่อว่า "โกไลแอธ (Goliath)" นักรบยักษ์ไร้เทียมทานที่ไม่มีใครล้มได้
4
แต่แล้วก็มีชายร่างเล็กฮีบรูคนหนึ่งชื่อว่า "เดวิด (David)" เกิดห้าวขึ้นมาและท้าโกไลแอธตัวต่อตัว
1
ซึ่งใครๆ ต่างก็คิดว่าโกไลแอธชนะได้สบายๆ แน่นอน แต่เดวิดนั้นก็เริ่มจู่โจมโดยใช้หนังสติ๊กยิงใส่เพื่อบดบังทัศนวิสัยและสมาธิ จนโกไลแอธเสียศูนย์ล้มลง
1
ทำให้เดวิดที่ขนาดตัวเล็กกว่ามาก ใช้สปีดและความคล่องพุ่งเข้าฟันโกไลแอธฉับเดียวเป็นอันปิดเกม สยบยักษ์ผู้ไร้เทียมทานท่ามกลางความอึ้งของกองทัพทั้งสอง...
4
วีรกรรมครั้งนี้ ทำให้เดวิดดังกระฉ่อนชั่วข้ามคืน จนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่ทัพของฮีบรูได้อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับสร้างผลงานตีเมืองต่างๆ ได้อย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน
1
ซาอูลที่เห็นความดังของเดวิด ก็เกิดเขม่นขึ้นมา เลยสั่งคนไปเก็บเดวิด แต่เดวิดดันไหวตัวทันหนีไปได้ก่อน แล้วทำการตั้งอาณาจักรฮีบรูของตัวเองประจันหน้ากับซาอูล!
3
โดยหลังจากที่ซาอูลเสียชีวิตลง เหล่าฮีบรูก็ได้ยอมรับเดวิดและยกให้เป็นกษัตริย์อย่างเต็มใจแบบไร้เสียงคัดค้าน
2
ในเวลาไม่นานกษัตริย์เดวิดก็สร้างผลงานให้กับฮีบรู โดยรวบรวมกองทัพเข้าตีเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองหลวงของคานาอัน และหลังจากยึดได้ก็สร้างเยรูซาเล็มให้เป็นศูนย์กลางของตัวเอง ตั้งชื่ออาณาจักรใหม่ว่า "ยูดาร์ (Judah)"
2
พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเรียกชนชาติของตัวเองจากชาวฮีบรูไปเป็น "ชาวยิว (Jews)"
3
ภาพจาก Christianity Knowledge Base (กษัตริย์ซาอูล)
ภาพจาก Channel Future (เดวิด vs โกไลแอธ)
ในช่วงที่เดวิดปกครองนั้น อาณาจักรของชาวยิวเป็นรูปเป็นร่างและมีความมั่นคงมากขึ้น ซึ่งเริ่มเข้าสู่จุดพีคในยุคต่อมาภายใต้กษัตริย์ที่ชื่อว่า "โซโลมอน (Solomon)" โดยเป็นช่วงที่อาณาจักรมีเขตอำนาจที่ใหญ่และเจริญถึงขีดสุด
2
พร้อมกับสร้างวิหารเพื่อเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญาตั้งแต่ยุคของโมเสส และสร้างระบบความเชื่อของยิวให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น...
6
แต่แล้ว เมื่อหมดยุคของโซโลมอน ก็เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นจนอาณาจักรแตกออกเป็น 2 ส่วน คือ...
4
1) ส่วนเหนือ เป็นอาณาจักรอิสราเอล มีศูนย์กลางคือสมาเรีย
2
2) ส่วนใต้ เป็นอาณาจักรยูดาห์ มีศูนย์กลางคือเยรูซาเล็ม
3
โดยทั้งสองส่วนก็ทำการห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ อาณาจักรที่เข้มแข็งก็เริ่มอ่อนแอปวกเปียกลง ทำให้มีมหาอำนาจภายนอกอย่างอัสซีเรียใช้โอกาสนี้เข้ามาแจมโดยตีส่วนเหนือคืออิสราเอลจนแตก ชาวยิวที่อยู่ในอิสราเอลจำนวน 10 เผ่าต้องกระจัดกระจายและเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งเราจะเรียกพวกนี้ว่า "เผ่าที่สาบสูญ (Lost Tribes)"
6
และไม่นานมหาอำนาจที่ชื่อเคลเดีย ก็เข้ามาตีส่วนใต้อย่างยูดาห์ ทำให้ยิวกลายเป็นชนชาติที่ถูกปกครองอีกครั้ง และเคลเดียก็ลามไปตีอัสซีเรียทางเหนือจนแตกกระเจิง พร้อมสร้างศูนย์กลางอำนาจที่บาบิโลนอีกด้วย
5
เหล่าชาวยิวที่ไม่ยอมแพ้ ก็พากันลุกขึ้นก่อกบฏ แต่ก็ถูกปราบจนราบคาบ พร้อมโดนกวาดต้อนคนเกือบ 20,000 ไปเป็นแรงงานที่บาบิโลน...
3
แต่เหมือนไฟของการต่อต้านยังไม่มอดดับครับ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ชาวยิวก็ก่อกบฏขึ้นมาอีก!
3
ทำให้กษัตริย์บาบิโลนในตอนนั้นคือเนบูคัดเนสซาร์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบสุดๆ ยกกองทัพมาถล่มเยรูซาเล็มจนเละเทะ ทำลายวิหารของโซโลมอนจนย่อยยับ (เหตุการณ์นี้ทำให้หีบพันธสัญญาได้หายสาบสูญไป)
4
แต่ระหว่างที่ถูกบาบิโลนตีอยู่นั้น ชาวยิวที่รู้แล้วว่าไม่น่ารอดต่างพร้อมใจกันรวบรวมคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระเจ้า เพื่อรักษาเรื่องราวความเชื่อของตัวเองและพันธสัญญาเอาไว้ไม่ให้เลือนหายไป (คัมภีร์เหล่านั้น ภายหลังกลายเป็นไบเบิล The Old Testament ในปัจจุบัน)
8
ทำให้ความยิ่งใหญ่ทางการเมืองของยิวได้แตกสลายไป เหลือเพียงความเชื่ออันริบหรี่ที่ยังคงอยู่ในดินแดนคานาอัน...
2
แต่ในเวลาต่อมา ก็เกิดมหาอำนาจใหม่อย่างเปอร์เซียเข้ามาตีบาบิโลนจนแตก และมีการปลดปล่อยชาวยิวในบาบิโลน ทำให้มีการอพยพกลับมาที่เยรูซาเล็มและฟื้นฟูความเชื่อของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
2
เปอร์เซียอยู่ได้ไม่นาน ก็มีมหาอำนาจหน้าใหม่คือมาซิโดเนียที่นำโดยอเล็กซานเดอร์เข้ามาถล่มจนยับ อีกทั้งยังมีการขยายพรมแดนไปจนถึงอินเดีย
1
การสร้างจักรวรรดิของอเล็กซานเดอร์ทำให้โลกตะวันออกและโลกตะวันตกเชื่อมเข้าหากัน เกิดการประสานวัฒนธรรมและเคลื่อนย้ายผู้คนไปยังที่ต่างๆ
1
ชาวยิวจำนวนไม่น้อยเลยล่ะครับ ที่ไหลเข้าไปตามเทรนด์เหล่านี้โดยอพยพไปยังที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าใหม่ๆ แต่เยรูซาเล็มก็ยังคงเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่ออันมั่นคงอยู่
2
อีกทั้งชาวยิว ยังคงยึดมั่นในพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้ว่า "พวกเขาจะต้องกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่" ทำให้เกิดการเฝ้ารอคนแบบโมเสสที่จะนำพาพวกเขาก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น
2
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อความเชื่อของชาวยิวดันถูกสั่นคลอน โดยการมาของชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้าและมาเพื่อปลดปล่อยบาปของมนุษย์ทั้งมวล...
2
ชายที่ในเวลาต่อมารู้จักกันในชื่อ "เยซู (Jesus)"
2
ภาพจาก Learn Religions (กษัตรโซโลมอน)
ภาพจาก ภาพยนตร์ The Passion of the Christ (Jesus)
ความเป็นมาของชายที่ชื่อว่าเยซูในทางประวัติศาสตร์นั้น ค่อนข้างเป็นปริศนา วันเดือนปีเกิดจริงๆ ก็ไม่มีใครรู้ รู้เพียงแค่เกิดที่เมืองนาซาเลธ อีกทั้งช่วงชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนถึงก่อนอายุ 30 นั้น ก็ไม่มีเปิดเผย
2
ซึ่งเรื่องราวของเยซูปรากฏชัดเจนตั้งแต่อายุ 30 เป็นต้นมา ที่เริ่มมีบทบาทเป็นผู้เผยแพร่คำสอนของยาห์เวห์ให้กับชาวยิวและชาวต่างชาติ
ด้วยรูปแบบการสอนและวาทศิลป์ ทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาติดตามอย่างรวดเร็ว และเกิดปรากฏการณ์การสอนครั้งใหญ่คือ "การเทศนาบนภูเขา" ที่มีคนเข้ามาฟังนับพันคน และเริ่มเลื่อมใสนับถือในตัวของชายคนนี้มากขึ้น
2
ไม่เพียงคำสอนที่กินใจ แต่เยซูนั้นยังมีพลังอำนาจที่เหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ทั้งการรักษาโรคเรื้อนให้หาย รักษาคนเป็นง่อยให้เดินได้ รักษาคนใบ้ให้พูดได้ รักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้ ฯลฯ
1
ด้วยคำสอนและพลังวิเศษ ทำให้เครือข่ายความเชื่อของเยซูได้ขยายขอบเขตออกไปอย่างรวดเร็ว มีลูกศิษย์เข้ามาฝากตัวไม่หยุดหย่อน
1
แต่ทว่า ถึงแม้เยซูจะเป็นยิวและสอนในเรื่องความเชื่อของยิว แต่จุดมุ่งหมายของคำสอนนั้นดันแตกต่างจากพันธสัญญาของพระเจ้ากับชาวยิวไปมากพอสมควรเลยล่ะครับ
2
ไม่ว่าจะเป็น "ยิวสอนให้สามีภรรยาสามารถหย่ากันได้ แต่เยซูนั้นสอนว่าสามีภรรยาไม่ควรหย่าขาดจากกัน"
7
หรือที่สำคัญที่สุด คือ "ชาวยิวเชื่อว่า ชนชาติของตนเองเป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือก และจะกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือชนชาติอื่นๆ ในอนาคต"
3
แต่เยซูกลับสอนในลักษณะที่ว่า "มนุษย์ทั้งมวลคือชนชาติของพระเจ้า"
3
ทำให้ชาวยิวบางส่วนนั้นคิดว่า คำสอนของชายคนนี้จะมาทำลายความเชื่อและพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อชาวยิว จึงเฟ้นหาทุกวิถีทางในการทำลายเยซู...
1
โดยมีการปล่อยข่าวว่าเยซูนั้นจะตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์และนำชาวยิวก่อกบฏต่อโรมัน (เป็นช่วงที่มหาอำนาจอย่างโรมันปกครองอาณาจักรในแถบนี้)
2
ในที่สุด ทหารก็ได้เข้ามาจับกุมเยซูไปสอบสวน เหล่าปุโรหิตโรมันและผู้มีอิทธิพลของยิวก็จัดการทรมานทั้งเฆี่ยนตี ตอกข้อมือเข้ากับไม้ และประหารเยซูโดยการตรึงกางเขน เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...
4
แต่เยซูเป็นผู้นำทางความเชื่อที่ขับเคลื่อนผู้คนได้อย่างรวดเร็วและมหาศาล คำสอนต่างๆ จึงยังคงหลงเหลืออยู่กับเหล่าสาวกไม่หายไปไหน
2
ความเชื่อของยิวจึงแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ยังเชื่อมั่นในพันธสัญญาของพระเจ้า กับกลุ่มที่ไม่เชื่อมั่นในพันธสัญญาแล้ว แต่หันไปเชื่อมั่นในเยซูซึ่งถูกยกให้เป็นพระคริสต์ ศาสดาผู้นำพาความเชื่อและไถ่บาปให้มนุษย์แทน
3
ความขัดแย้งทางความเชื่อที่รุนแรงนี้ ทำให้ในที่สุด กลุ่มที่ไม่เชื่อในพันธสัญญา ก็ได้แยกคำสอนและความเชื่อของพระคริสต์ออกมาจากความเชื่อของยิว และสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา คือ "ศาสนาคริสต์"
6
ภาพจาก Wikipedia (การเทศนาบนภูเขา)
ภาพจาก ภาพยนตร์ The Passion of the Christ (การทรมานเยซู)
ภาพจาก ภาพยนตร์ The Passion of the Christ (การตรึงกางเขน)
อย่างที่ผมได้เล่าไปครับ ในช่วงเวลาที่เกิดการตรึงกางเขนพระคริสต์ เป็นช่วงที่โรมันได้เข้ามามีอิทธิพลในอาณาจักรแถบตะวันออกกลาง และมีการตั้งขุนนางให้มาปกครองดินแดนต่างๆ ซึ่งเผอิญว่าในเยรูซาเล็มนั้น โรมันได้ส่ง "ฟลอรัส (Florus)" เข้ามาปกครอง
1
แต่ฟลอรัสดันเป็นคนที่ไม่เคารพในความเชื่อของยิวเลย อีกทั้งยังมีการคอร์รัปชั่นเงินของอาณาจักรเข้ากระเป๋าตัวเอง ชาวยิวที่ไม่พอใจจึงพากันประท้วงและพยายามตั้งกองกำลังเพื่อก่อกบฏ
ฝ่ายโรมันเลยส่งกองทัพจากส่วนกลางเข้ามาสั่งสอน ตีเยรูซาเล็มจนแตกพร้อมสังหารหมู่ชาวยิวไปนับแสนคน อีกทั้งยังกวาดต้อนชาวยิวไปโรมันอีกจำนวนไม่น้อย
1
แต่เหมือนจะยังไม่เข็ดครับ เพราะในเวลาต่อมา ชาวยิวก็รวมตัวกันก่อกบฏต่อต้านโรมันอีก! ซึ่งโรมันที่เหลืออดก็ส่งกองทัพเข้ากระหน่ำอย่างไร้ปรานีเหมือนเดิมทำลายเยรูซาเล็มจนราบคาบ และไล่ชาวยิวออกไปจากดินแดนนี้ พร้อมออกกฎห้าม "ไม่ให้ชาวยิวกลับมาเหยียบยูดาห์และเยรูซาเล็มอีก!"
4
ในท้ายที่สุด ชาวยิวก็ได้หอบความเจ็บช้ำและความเชื่อของตนเองอพยพบากหน้ากระจัดกระจายเข้าสู่ยุโรป กลายเป็นชนชาติที่ไร้ซึ่งดินแดนเป็นของตัวเองอีกครั้ง
ดินแดนแห่งพันธสัญญาต่างก็ได้ถูกมหาอำนาจกลืนกิน พร้อมๆ กับความเชื่อแบบใหม่ที่มีรากฐานมาจากยิว แต่กลับทรงอิทธิพลขึ้นมาทดแทนยิว นั่นคือ "ศาสนาคริสต์" และ "ศาสนาอิสลาม"
2
ขั้วความเชื่อทั้งสองได้ปะทะกันอย่างรุนแรงโดยมีดินแดนพันธสัญญาของยิวเป็นเดิมพันในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "สงครามครูเสด"
3
ซึ่งท้ายที่สุดขั้วความเชื่ออย่างอิสลามก็เป็นฝ่ายชนะ และเข้าครอบครองดินแดนแห่งพันธสัญญา...
3
การอพยพ ทำให้ชาวยิวกระจัดกระจายไปยังดินแดนต่างๆ ของยุโรป และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...
บ้างก็เป็นชนชั้นต่ำของสังคม...
3
บ้างก็ถูกรังเกียจ...
1
บ้างก็ถูกกำจัด...
2
แต่ก็มีไม่น้อยที่แสวงหาโอกาสจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นชนชั้นนำในสังคมได้...
2
บทบาทของชาวยิวในเวลาต่อมาถึงแม้จะน้อยลง แต่พวกเขาไม่ได้สูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ซะทีเดียว...
5
กลับกลายเป็นว่าในหลายเหตุการณ์ที่สำคัญนั้น พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องและมีอิทธิพลอยู่ฉากหลัง...
1
และถึงแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังมีชาวยิวจำนวนไม่น้อย รอวันที่จะกลับไปยังดินแดนคานาอันอีกครั้ง...
1
ดินแดนซึ่งเชื่อว่าจะทำให้พวกเขากลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ตามพันธสัญญาที่พระเจ้าเคยให้เอาไว้...
ภาพจาก Wallpaper Cave
โปรดรอติดตามต่อได้ใน “ไซออนิสต์ (Zionist)” อุดมการณ์สร้างชาติอิสราเอล
1
References
1
Ben Sasson, H.H. A History of the Jewish People. Cambridge, MA : Harvard University Press, 1976.
Christian Art Publishers. The Holy Bible. Ogden : Christian Art Publishers , 2020.
Hirsch, Ellen. Facts about Israel. Jerusalem, Israel : Ahva, 1999.
Merz, Annette. The Historical Jesus : A Comprehensive Guide. Minneapolis : Fortress Press, 1998.
Schama, Simon. The Story of the Jews: Finding the Words 1000 BC-1492 AD. New York : Ecco, 2014.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา