30 เม.ย. 2022 เวลา 12:05 • ประวัติศาสตร์
“ไซออนิสต์ (Zionist)” อุดมการณ์สร้างชาติอิสราเอล
7
"ลึกที่สุดในใจนานเท่านาน
จิตวิญญาณผองยิวปรารถนามุ่งหน้าไป
สู่แดนไกลบูรพาพร้อมสายตามองผู้สร้าง
ความหวังผองเราไม่เคยมลาย
ยังคงกลิ่นอายนับสองพันปี
อิสระเสรีในแดนดินถิ่นนี้
สถานที่แห่งพระเจ้าและเยรูซาเล็ม"
(Hatikva : Jewish poem and National Anthem of Israel)
5
อุดมการณ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ สภาวะแวดล้อม และความทรงจำ
1
สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมกลายเป็นอุดมคติที่จูงใจให้มนุษย์พยายามบรรลุเป้าหมายที่คิดไว้
3
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ประสบการณ์ สภาวะแวดล้อม และความทรงจำได้หล่อหลอมให้เกิดอุดมการณ์แก่ชนชาติหนึ่ง
ชนชาติผู้ที่อารยธรรมของตัวเองได้พ่ายแพ้ต่อเหล่ามหาอำนาจ...
ความพ่ายแพ้นำมาซึ่งการอพยพและกระจัดกระจายเข้าสู่ดินแดนใหม่...
น่าสนใจว่า ดินแดนต่างๆ เหล่านั้นไม่สามารถลบอัตลักษณ์อันแรงกล้าของชนชาตินี้ได้เลย...
5
อัตลักษณ์อันมาจากความเชื่ออันยาวนานนับสองพันปี ได้คงอยู่ในใจของชนชาตินี้อย่างไม่เสื่อมคลาย...
จนก่อเกิดเป็นอุดมการณ์ที่ผลักดันให้พวกเขาเหล่านี้พยายามสร้างชาติของตนเองขึ้นมา...
ยิว...
พันธสัญญา...
บาปจากการค้า...
1
โอกาสและการแทรกซึม...
ตระกูลรอทส์ไชลด์...
1
กระแสชาตินิยม...
ปาเลสไตน์...
และนี่ คือเรื่องราวอุดมการณ์สร้างชาติอิสราเอล พร้อมการกำเนิดองค์กรอันทรงอิทธิพลของโลกนามว่า "ไซออนิสต์ (Zionist)"
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
จากเรื่องราวในตอนที่แล้ว ผมได้เล่าถึงต้นกำเนิดของชนชาติที่ชื่อว่ายิว...
ยิวเป็นชนชาติกลุ่มเซมิติก ที่เร่ร่อนในแถบตะวันออกกลาง แต่มีความเชื่อคือนับถือพระเจ้าองค์เดียวนามว่า "ยาห์เวห์ (Yahweh)"
6
ความเชื่อนี้ได้ผลักดันให้ยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนคานาอันและสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา ซึ่งมีจุดพีคในช่วงกษัตริย์เดวิดและโซโลมอน
แต่หลังจากนั้น ก็ได้มีมหาอำนาจต่างๆ เข้ามาตีและผลัดกันครอบครองอาณาจักรของยิว ทั้งเคลเดีย เปอร์เซีย กรีก และโรมัน
2
อีกทั้งยังเกิดจุดแตกหักทางความเชื่อ จากการมาของชายชาวยิวนามว่า "เยซู (Jesus)" เผยแพร่หลักคำสอนที่แตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมของยิว
3
กลุ่มคนจำนวนมากเริ่มนิยมและเลื่อมใสอย่างรวดเร็วในตัวของเยซู ทำให้เหล่ายิวที่มีความคิดดั้งเดิมหาวิธีกำจัดชายคนนี้ จนนำไปสู่การตรึงกางเขน
เหล่าสาวกของเยซู ต่างยกย่องให้ชายคนนี้เป็นพระคริสต์ที่มาไถ่บาปให้มนุษย์พร้อมแยกความเชื่อของพระคริสต์ออกจากความเชื่อของยิว ก่อเกิดเป็น "ศาสนาคริสต์"
2
ยิวในเวลาต่อมานั้น ก็มีการขัดขืนและพยายามก่อกบฏต่อมหาอำนาจที่ปกครองอย่างโรมันหลายครั้ง ทำให้โรมันจัดการเข้าถล่มเมืองหลวงอย่างเยรูซาเล็ม เผาทำลายและสังหารหมู่ชาวยิวอย่างดุเดือด
จนชาวยิวต้องอพยพเข้าสู่ยุโรปและไม่สามารถกลับมาที่ดินแดนแห่งนี้นานนับพันปี
แต่ทว่า การอพยพครั้งนี้ดันไม่ใช่จุดจบของชนชาติยิว แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิวจะสร้างอิทธิพลของตนเองจนสามารถครอบคลุมโลกทั้งใบได้...
3
ภาพจาก WIRED (ชุมชนชาวยิวในยุโรปยุคกลาง)
คราวนี้ผมขอเล่าถึงสภาพแวดล้อมของยุโรปในยุคสมัยนั้นว่ามีความเป็นมายังไงบ้าง เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น...
1
แน่นอนว่า มหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลและครอบคลุมยุโรปในตอนแรกนั้นคือโรมัน แต่โรมันนั้นมีอาณาเขตใหญ่มาก ทำให้ต้องแบ่งศูนย์กลางอำนาจเป็น 2 ส่วน คือ...
1
โรมันตะวันตก มีศูนย์กลางคือโรม คุมแถบยุโรป
โรมันตะวันออก มีศูนย์กลางคือคอนสแตนติโนเปิล คุมแถบเอเชีย
ด้วยสเกลของจักรวรรดิที่ใหญ่เว่อวัง ทำให้ผู้คนมีความหลากหลายสูงมากเป็นธรรมดา จักรพรรดิที่ชื่อว่าคอนสแตนตินจึงอยากผสานความเชื่อของคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยนำความเชื่อที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวเข้ามาเป็นความเชื่อหลักของโรมัน และสิ่งที่คอนสแตนตินได้เลือกคือ "คริสต์ศาสนา"
2
จากอิทธิพลของโรมัน ทำให้จากศาสนาโนเนมที่นับถือกันแค่ในวงแคบๆ กลายเป็นศาสนาหลักของตะวันตกอย่างรวดเร็ว
3
แต่แล้วในเวลาต่อมา ศูนย์อำนาจที่คุมทางตะวันตกอย่างโรมเริ่มอ่อนแอลง ถูกเหล่าคนเถื่อนในยุโรปเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำจนล่มสลายลงไปในที่สุด
1
อีกทั้ง เหล่าคนเถื่อนต่างรับเอาความเชื่อของโรมอย่างคริสต์ศาสนามาเป็นความเชื่อของตนเอง
2
ทำให้ในเวลาต่อมาที่แม้คนเถื่อนเหล่านี้จะสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว แต่คริสต์ศาสนาก็ยังคงเป็นความเชื่อหลัก และมากกว่านั้นมีการเติบโตอย่างรวดเร็วจนครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรป เกิดเป็นสมัยที่เรียกว่า "ยุคกลาง (Middle Ages)" นั่นเอง
3
และเหล่าชาวยิว ก็ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อของยิวแบบสุดๆ...
ภาพจาก World History Encyclopedia (พื้นที่อำนาจของจักรวรรดิโรมัน)
ภาพจาก Britannica (คอนสแตนติน)
คริสต์ศาสนามีอิทธิพลครอบคลุมชีวิตของคนยุโรปในยุคกลางแทบทุกมิติ โบสถ์คริสต์กลายเป็นศูนย์กลางของการทำกิจกรรมต่างๆ ศาสนจักรกับสันตะปาปามีอำนาจในการควบคุมบงการกษัตริย์และขุนนางได้เลยทีเดียว
1
การใช้ชีวิตของชาวยิวในช่วงนี้ที่เฉพาะความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์และภาษาก็แปลกแยกพออยู่แล้ว แต่มีเรื่องของความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้ยิ่งโดนต่อต้านและเกลียดชังหนักเข้าไปอีก
1
ในบางพื้นที่มีการพิพากษายิวว่าเป็นภัยต่อศาสนาคริสต์...
1
ในบางพื้นที่มีการริบทรัพย์สินทั้งหมดของยิวมาเป็นของรัฐ...
1
ในบางพื้นที่มีการสร้าง "เกตโต (Ghetto)" เป็นเขตกักบริเวณชาวยิว...
2
มีทั้งการออกกฎหมายห้ามยิวครอบครองที่ดินและห้ามสร้างวัด...
1
ชาวยิวโดยส่วนใหญ่จะถูกตีตราโดยให้ติดรูปดาวสีเหลืองที่แขนเสื้อเพื่อบ่งบอกให้สังคมรู้ว่าคนๆ นี้คือยิว...
ลามไปถึงมีการฆ่าล้างยิวในหลายพื้นที่ เพราะความเชื่ออันแรงกล้าว่ายิวเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระคริสต์ถูกตรึงกางเขน...
4
และหนักที่สุดคือในช่วงศตวรรษที่ 14 เกิด Black Death ที่กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ในยุโรป ทำให้คนตายไปถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด!
1
ยิวต่างก็ถูกประนามว่าเป็นต้นเหตุของ Black Death ความโกรธแค้นอันรุนแรงทำให้เกิดการล้างบางยิวครั้งใหญ่ เกือบ 200 ชุมชนถูกเผาจนเรียบ ชาวยิวในหลักหมื่นคนถูกฆ่าฟันและเผาทั้งเป็นอย่างบ้าคลั่ง...
2
เรียกได้ว่า ยิวโดยส่วนใหญ่นั้นต่างถูกเกลียดชังและใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก
1
แต่ก็มียิวจำนวนไม่น้อย ที่ได้ไขว่คว้าโอกาสจากสภาพสังคมในยุโรป จนสามารถสร้างความมั่งคั่งของตัวเองได้
3
โอกาสที่ว่าคือการควบคุมการค้าและการเงินนั่นเองครับ...
1
ภาพจาก History (Black Death)
ภาพจาก Jewish Women’ Archive (การต่อต้านยิวในยุคกลาง)
ในยุคกลางที่คริสต์ศาสนามีอิทธิพล รวมถึงมีการใช้ระบบฟิวดัลแบ่งชนชั้นการปกครอง ได้แก่ กษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน ชาวนา และทาส ที่เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนระบบสังคมและเศรษฐกิจในยุคกลาง
แต่หากทุกท่านลองสังเกตนั้น มีชนชั้นที่ไม่ถูกจัดอยู่ในระบบ แต่มีความสำคัญไม่แพ้กันนั่นคือพ่อค้า เพราะในช่วงเวลานั้นคนยุโรปมีความเชื่อว่า "การทำธุรกิจการค้าและธนาคารเป็นบาปอันรุนแรงที่จะทำให้ตกนรกได้!"
1
คราวนี้แหละครับ จากความเชื่อนี้ เลยทำให้คนยุโรปปิดกั้นตัวเองจากการค้า เกิดเป็นช่องทางให้ยิวที่ไม่ได้มีความเชื่อเรื่องบาปแบบคริสต์เข้ามาคว้าโอกาสทองนี้
2
ยิวสามารถสร้างตัวจากการค้าได้อย่างรวดเร็ว และในช่วงที่เกิดสงครามครูเสดระหว่างคริสต์กับอิสลาม ยิ่งทำให้สถานะของยิวพุ่งพรวดพราดขึ้นไปอีก เพราะการทำสงครามต้องใช้เงินมหาศาล ยิวจึงเป็นเหมือนถังเงินของยุโรปในช่วงนั้นเลยทีเดียว
2
อีกทั้งสงครามครูเสดยังเป็นการเปิดช่องทางการค้าระหว่างยิวกับโลกตะวันออก เพิ่มโอกาสและความมั่งคั่งให้กับยิวไปอีกเท่าตัว
1
ถึงแม้ว่ายิวส่วนใหญ่นั้นจะเป็นชนชั้นต่ำของสังคม แต่ยิวส่วนน้อยที่ร่ำรวยขึ้นมาก็มีอำนาจมากพอที่ขับเคลื่อนการเงินและเศรษฐกิจของยุโรปอยู่เบื้องหลังได้เช่นเดียวกัน...
2
ซึ่งยิวรวยนี่แหละ ก็เริ่มสร้างองค์กรและสมาคมตามเมืองต่างๆ เพื่อเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงชาวยิวทั้งยุโรป
2
แต่ในเวลาต่อมาชาวยุโรปเริ่มตั้งคำถามกับศาสนาและเริ่มเชื่อมั่นในตัวของมนุษย์ จนเกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการและการปฏิรูปศาสนา ทำให้คนยุโรปหันหน้าเข้าสู่การค้ามากขึ้น ไม่ได้มองการค้าเป็นเรื่องของบาปเหมือนแต่ก่อน
แน่นอนว่า บทบาทของยิวในเรื่องการค้าและการเงินต้องลดน้อยลง แต่ยิวเหล่านี้ก็ปรับตัวไปอยู่เบื้องหลังมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด อีกทั้งความร่ำรวยที่สร้างเอาไว้ก็ไม่ได้สูญหายไป
1
จนเข้าสู่ช่วงการแสวงหาดินแดนและการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ทำให้ชาติต่างๆ ในยุโรปเริ่มตามล่าหาอาณานิคม
ทำให้ยิวเริ่มเห็นช่องทางในการสร้างความมั่งคั่งอีกครั้ง โดยการเข้ามาลงทุนร่วมกับชาติมหาอำนาจต่างๆ ในเรื่องอุตสาหกรรมและการล่าอาณานิคม
ซึ่งกลุ่มที่โดดเด่นและมีอิทธิพลที่สุดนั้นคือกลุ่มเจ้าของกิจการธนาคารในเมืองฮันโนเวอร์ของเยอรมัน
โดยเรารู้จักพวกเขาในชื่อ "ตระกูลรอทส์ไชลด์ (Rothschild Family)"
1
ภาพจาก Donald Watkins (ตระกูลรอทส์ไชลด์)
จุดเริ่มต้นมาจากชายที่ชื่อว่า "ไมเยอร์ รอทส์ไชลด์ (Mayer Rothschild)" ที่มีลูกชายอยู่ 5 คน ได้แก่
2
1) อัมสเชล (Amschel)
2) โซโลมอน (Solomon)
3) นาธาน (Nathan)
4) คาร์ล (Karl)
5) เจมส์ (James)
จากอุตสาหกรรมที่เริ่มเติบโต ทำให้ไมเยอร์เริ่มสร้างเครือข่ายธนาคารของตัวเองทั่วยุโรปโดยให้ลูกแต่ละคนไปดูแล
โดยให้อัมสเชลดูแลศูนย์ใหญ่ที่ฮันโนเวอร์ โซโลมอนไปเปิดสาขาที่เวียนนา นาธานไปเปิดสาขาที่ลอนดอน คาร์ลไปเปิดสาขาที่เนเปิลส์ และเจมส์ไปเปิดสาขาที่ปารีส
ซึ่งที่โดดเด่นที่สุดคือนาธานที่ได้แต่งงานกับลูกสาวชนชั้นสูงของอังกฤษ ทำให้นาธานได้ใกล้ชิดกับชนชั้นสูงจนสามารถสร้างคอนเนกชั่นกับราชสำนักอังกฤษได้
ด้วยความสามารถด้านการเงินที่อยู่ในสายเลือด ทำให้นาธานเข้าควบคุมระบบการเงินของจักรวรรดิและสร้างธนาคารแห่งชาติอังกฤษขึ้นมาได้สำเร็จ ทำให้ตระกูลมีการย้ายศูนย์กลางธนาคารของตัวเองจากฮันโนเวอร์มาที่ลอนดอน
1
อีกทั้งนาธานยังได้เข้าไปร่วมลงทุนสร้างบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) เพื่อเข้าควบคุมผลประโยชน์ของอาณานิคมอังกฤษในเอเชีย
4
ตระกูลรอทส์ไชลด์ยังมีส่วนสำคัญที่ใช้เครือข่ายในยุโรปติดต่อกับชาวยิว รวมถึงให้ทุนสนับสนุนการอพยพเข้าไปตั้งรกรากในทวีปอเมริกา เพราะตระกลูรอทส์ไชลด์ ได้ขยายอิทธิพลทางการเงินต่อเนื่องไปที่สหรัฐอเมริกา จนสามารถตั้งธนาคารแห่งสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จเช่นเดียวกัน...
2
ในเวลาแค่ช่วงอายุคนๆ เดียว รอทส์ไชลด์ก็ได้กลายเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรปและสหรัฐอเมริกา...
1
เรียกได้ว่า ยิวส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จนั้นก็มีอำนาจแทบล้นฟ้า อีกด้านหนึ่งยิวส่วนใหญ่ก็ยังโดนเหยียด ต่อต้าน และถูกฆ่าล้างอย่างดุเดือด
พร้อมกับการก่อเกิดกระแสที่เรียกว่าชาตินิยม ที่เริ่มมีการแบ่งเชื้อชาติและเขตแดนของประเทศอย่างชัดเจน
5
เหล่ายิวที่ถูกกดขี่ในยุโรปมานานกว่าพันปี เริ่มคิดถึงและหวนหาดินแดนที่จะเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง จนมีการรวมตัวกันเป็น "สมาคมผู้รักไซออน (Hovevei Zion)"
ซึ่งสมาคมนี้เป็นการเชื่อมโยงยิวทั่วยุโรปเข้าด้วยกันภายใต้อุดมการณ์ที่จะโยกย้ายชาวยิวไปในดินแดนต่างๆ โดยได้ทุนจากกลุ่มยิวที่ร่ำรวย...
สมาคมผู้รักไซออน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็ได้มีการพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยชายที่ชื่อว่า "เธโอดอร์ เฮอร์เซิล (Theodor Herzl)" จนกลายเป็นองค์กรทางการเมืองที่ชื่อว่า "ไซออนิสต์ (Zionist)" ที่ไม่ได้เพียงแค่อพยพชาวยิวไปยังดินแดนต่างๆ อีกแล้ว
2
แต่ไซออนิสต์มีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่านั้น คือการสร้างชาติและรัฐที่เป็นของยิวขึ้นมา เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเหล่าชาวยิวแบบจริงๆ จังๆ นั่นเอง...
ภาพจาก Wikipedia (นาธาน รอทส์ไชลด์)
ภาพจาก Kindle Books (เธโอดอร์ เฮอเซิล)
ภาพจาก Wikipedia (การประชุมครั้งแรกของไซออนิสต์)
ไซออนิสต์มีการประชุมกันครั้งแรกที่บาเซล สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอนอย่างการโฆษณาและระดมทุนเพื่อสร้างประเทศ
หลังจากนั้นเฮอเซิลก็ได้ร่วมพูดคุยกับตระกูลรอทส์ไชลด์ และรัฐมนตรีอังกฤษ 2 คน คือ โจเซฟ เชมเบอร์เลน กับลอร์ดแลนส์ดาวน์ ซึ่งอังกฤษได้เสนอที่ดินเปล่าในอูกันดาให้ชาวยิวไปสร้างประเทศตัวเอง
3
แต่พอเฮอเซิลนำข้อเสนอของอังกฤษเข้าที่ประชุมของไซออนิสต์ เสียงส่วนมากดันไม่เห็นด้วย และยึดมั่นว่า "เราต้องสร้างชาติของเราในปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นแผ่นดินแห่งพันธสัญญาสิถึงจะถูก!"
2
เฮอเซิลที่เห็นด้วยกับอังกฤษเพราะปาเลสไตน์เป็นดินแดนของจักรวรรดิออตโตมัน หากบุ่มบ่ามเข้าไปจะเกิดปัญหาชวนปวดหัวไม่จบสิ้นแน่นอน จึงพยายามหาทางประนีประนอมเกลี้ยกล่อมให้สมาชิกไซออนิสต์ยอมรับข้อเสนออังกฤษ
แต่เฮอเซิลอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิตลงใน ค.ศ.1904 ทำให้อุดมการณ์สร้างชาติของยิวในปาเลสไตน์ถูกยกมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในที่สุด!
ไซออนิสต์จึงขอเงินบริจาคจากตระกูลรอทส์ไชลด์ แล้วเข้าไปเปิดธนาคารแองโกล - เลเวนไทน์ (Anglo - Levantine Banking) ในออตโตมัน เพื่อเป็นฐานการเงินที่จะอพยพชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์
และโอกาสของไซออนิสต์ก็มาถึง เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น โดยออตโตมันอยู่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง ส่วนอังกฤษอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร
ซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิออตโตมันก็ล่มสลายลงเพราะเป็นผู้แพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส ต่างพากันทำสัญญา "ไซเกสปิโกท์ (Sykes - Picot Agreement)" เพื่อแบ่งเค้กดินแดนในตะวันออกกลางเป็นส่วนๆ
3
โดยฝรั่งเศสได้ซีเรียและเลบานอน...
อังกฤษได้อิรัก...
ส่วนดินแดนปาเลสไตน์ในตอนแรกนั้นเป็นของนานาชาติ แต่ในภายหลังอยู่ภายใต้อังกฤษ
2
คราวนี้แหละครับ อังกฤษก็ได้หนุนนโยบายของไซออนิสต์แบบเต็มที่ อพยพชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์กว่า 108,000 คน โดยไซออนิสต์ก็ได้กว้านซื้อที่ดินในปาเลสไตน์เพื่อรองรับการเข้ามาของชาวยิว
2
อีกทั้งยังให้เงินทุนกับยิวอพยพเข้าไปสร้างตัวในเมืองต่างๆ เช่น ไฮฟา เทลอาวีฟ และเยรูซาเล็ม
การอพยพอีกระลอกได้เกิดขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวยิวหนีนโยบายการต่อต้านและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีเยอรมันในยุโรป ซึ่งจำนวนในคราวนี้แตะถึงระดับ 165,000 คน
3
ด้วยรากฐานการเงินที่ไซออนิสต์ได้วางเอาไว้อย่างเป็นระบบ ทำให้ชาวยิวที่อพยพเข้ามา สามารถสร้างรูปแบบการปกครองและสังคมที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงวางระบบการศึกษาแบบจริงจังโดยสร้างมหาวิทยาลัยฮีบรูในเยรูซาเล็ม
2
แต่ดินแดนปาเลสไตน์ที่ว่านี้ มีกลุ่มคนชาวปาเลสติเนียนเป็นผู้อยู่อาศัยเดิมในช่วงที่ออตโตมันปกครอง การเข้ามาอย่างรวดเร็วของยิวที่มีความแตกต่างทั้งชาติพันธุ์ ภาษา และความเชื่อ ย่อมสร้างความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นแน่นอน จนชาวปาเลสติเนียนได้ก่อจราจลต่อต้านยิวขึ้นมา...
อังกฤษที่ต้องการประนีประนอมเพื่อให้ทั้งสองสามารถอยู่ร่วมกันได้ ก็เสนอให้ตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นมาปกครอง โดยมีคนของอังกฤษ 10 คน ปาเลสติเนียน 8 คน ยิว 2 คน และคนที่นับถือคริสต์ 2 คน
3
แต่ชาวปาเลสติเนียนในระดับชนชั้นสูงไม่ต้องการปกครองร่วมกับยิว จึงต่อต้านข้อเสนอของอังกฤษอย่างหนักหน่วง!
1
แต่ไซออนิสต์ก็ไม่ได้สนใจความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ยังคงเดินหน้าสร้างชาติของยิวในดินแดนปาเลสไตน์ให้สำเร็จ แม้ผลที่ตามมาจากการสร้างชาตินั้นจะเป็นสงครามก็ตาม...
5
ภาพจาก Britannica (ไซเกสต์ปิโกท์)
ภาพจาก Al Jazeera (จำนวนการอพยพของชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์ตั้งแต่ปี 1920 -1946)
ความตึงเครียดที่เริ่มดุเดือด ทำให้อังกฤษวางแผนที่จะแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนหนึ่งให้เป็นของยิวและอีกส่วนให้เป็นของชาวปาเลสติเนียน
ว่าแล้ว ในค.ศ. 1937 อังกฤษก็ได้จำกัดโควต้าการอพยพของชาวยิวให้เหลือแค่ 8,000 คนต่อปี พร้อมให้ผู้แทนจากอังกฤษ ปาเลสติเนียน และยิวมาประชุมกันที่ลอนดอน
แต่การประชุมดันพังไม่เป็นท่า เพราะฝ่ายปาเลสติเนียนไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะเจรจากับยิวโดยเด็ดขาด! อังกฤษจึงต้องจัดประชุมแยกห้องกัน...
3
ฝ่ายยิวก็บอกกับอังกฤษว่า "ให้มีการอพยพของยิวต่อไป และแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ให้ยิวสร้างประเทศ!"
ฝ่ายปาเลสติเนียนก็ยังยืนยันกับอังกฤษว่า "ต้องยุติการอพยพของยิว และให้ปาเลสติเนียนก่อตั้งประเทศขึ้นมาเพียงผู้เดียว"
1
ผลของการประชุมนั้น อังกฤษที่ต้องการประนีประนอมให้ได้มากที่สุด จึงตัดสินใจออกสมุดปกขาวใน ค.ศ.1939 เสนอ "ให้สร้างประเทศที่มีทั้งปาเลสติเนียนและยิวปกครองร่วมกัน รวมถึงการกำหนดโควต้าการอพยพของยิวในเวลา 5 ปี ให้อพยพได้แค่ 75,000 คน เท่านั้น และหลังจาก 5 ปี การอพยพของยิวให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชาวปาเลสติเนียน!"
2
เรียกได้ว่า สมุดปกขาวนี้เอาใจฝ่ายปาเลสติเนียนพอสมควรเลยล่ะครับ ทำให้เหล่าชาวยิวจึงเริ่มเดือดขึ้นมา พากันประท้วงต่อต้านสมุดปกขาวอย่างเต็มที่!
แต่ปัญหาเรื่องยิวกับชาวปาเลสติเนียนนั้นต้องพับไปก่อน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ระเบิดขึ้น ทำให้อังกฤษต้องหันไปโฟกัสการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ...
โดยในระหว่างนั้น ไซออนิสต์และชาวยิวในปาเลสไตน์ก็ได้สร้างองค์กรใต้ดินเพื่อลักลอบอพยพชาวยิวเข้าสู่ปาเลสไตน์...
2
ส่วนชาวปาเลสติเนียนก็ได้ติดต่อกับชาติอาหรับอื่นๆ เพื่อร่วมมือกันต่อต้านไซออนิสต์ จนมีการก่อตั้ง "สันนิบาตอาหรับ (Arab League)" ขึ้น โดยประกอบด้วย ปาเลสไตน์ อิรัก ซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย จอร์แดน อียิปต์ และเลบานอน...
3
ภาพจาก Center of Israel of Education (การประท้วงสมุดปกขาวของชาวยิว)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น อังกฤษก็ได้เข้ามาจัดการปัญหาที่ยังไม่จบ และยังคงยืนยันจะทำตามสมุดปกขาว
ทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นจนกองกำลังใต้ดินของยิวเข้าระเบิดกองกำลังของอังกฤษที่โรงแรมคิงเดวิดใน ค.ศ.1946 การปะทะกันอย่างดุเดือดทำให้ทหารอังกฤษตายไปร่วมร้อยคน และมีชาวปาเลสติเนียนที่บาดเจ็บอีกกว่า 50 คน!
เหตุการณ์นี้จึงนำไปสู่การปะทะที่รุนแรงขึ้น ทำให้อังกฤษต้องดึงสหรัฐอเมริกาให้เข้ามาช่วยเคลียร์อีกฝ่ายหนึ่ง...
1
สหรัฐจึงเสนอว่า "ให้แบ่งเป็นจังหวัดของยิวและจังหวัดของปาเลสติเนียน"
แต่ทั้งฝ่ายยิวและปาเลสติเนียนที่มาถึงจุดแตกหักก็ตอกกลับว่า "เราต้องการสร้างประเทศของเราเองเท่านั้น!"
1
สันนิบาตอาหรับก็เข้ามาผสมโรงเสนออังกฤษและสหรัฐอเมริกาว่า "ให้ปาเลสไตน์รวมกับซีเรีย โดยมีอังกฤษและสหรัฐอารักขา โดยเราจะปฏิเสธการก่อตั้งประเทศของยิวอย่างเด็ดขาด!"
แต่ด้วยอิทธิพลของไซออนิสต์รวมถึงเครือข่ายยิวที่อยู่ในอังกฤษและสหรัฐ ทำให้ข้อเสนอของสันนิบาตอาหรับเหมือนเป็นสายลมที่พัดผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ
แต่ปัญหาอีรุงตุงนังที่แก้ไม่ตก ทำให้อังกฤษเริ่มทนไม่ไหว ตัดสินใจโยนงานนี้ไปให้สหประชาชาติจัดการในที่สุด...
2
สหประชาชาติจึงเสนอว่า "ให้แบ่งดินแดนออกเป็น 7 ส่วน ของยิว 3 ส่วน ของปาเลสติเนียน 3 ส่วน และเป็นของนานาชาติ 1 ส่วน (รวมเยรูซาเล็ม)"
ชาวปาเลสติเนียนและสันนิบาตอาหรับก็ต่างลุกขึ้นมาต่อต้านข้อเสนอของสหประชาชาติ เพราะยังคงยืนยันว่า "จะไม่มีการแบ่งแยกดินแดนในปาเลสไตน์!"
ส่วนชาวยิวและไซออนิสต์ก็เริ่มพอใจในข้อเสนอนี้ แต่อังกฤษที่เจอปัญหาของชนชาติทั้งสองมาอย่างยาวนานก็เตือนว่า "ข้อเสนอนี้จะยิ่งสร้างความขัดแย้งไม่รู้จบ"
และแล้ว สหประชาชาติก็ได้ยึดมติที่จะแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ ฝ่ายอังกฤษที่เริ่มได้กลิ่นของสงครามก็จัดการถอนทหารของตัวเองออกจากปาเลสไตน์ใน ค.ศ.1948 และขอยุติบทบาทตัวเองในการปกครองดินแดนนี้อย่างถาวร...
ภาพจาก History Collection (การระเบิดที่โรงแรมคิงเดวิดใน ค.ศ.1946)
ภาพจาก Wikimedia Commons (การแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ตามมติของสหประชาชาติ)
หลังการแบ่งแยกดินแดน ชาวยิวและชาวปาเลสติเนียนก็ไม่ได้ยึดตามมติของสหประชาชาติ แต่กลับช่วงชิงดินแดนในปาเลสไตน์ให้มากที่สุดแทน
ไซออนิสต์ก็เริ่มส่งเงินทุนและอาวุธเข้าไปให้กองกำลังใต้ดิน...
สันนิบาตอาหรับก็เตรียมเข้าช่วยเหลือชาวปาเลสติเนียน...
และในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1948 ที่อังกฤษได้พ้นสภาพจากการเป็นผู้ปกครองปาเลสไตน์...
เหล่าไซออนิสต์และสภาแห่งชาติยิว ก็ประกาศจัดตั้งประเทศของตัวเองในชื่อ "อิสราเอล (Israel)" โดยมีมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตให้การรับรองอย่างเป็นทางการ...
4
ทำให้ประเทศของชนชาติยิวได้บังเกิดขึ้นในดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นพันธสัญญาของพระเจ้า...
การขับเคลื่อนอุดมการณ์สร้างชาติของไซออนิสต์ประสบผลสำเร็จในที่สุด...
แต่ทว่า ความเป็นชาติของอิสราเอลได้กลายเป็นชนวนจุดไฟสงครามที่กำลังจะโหมกระพือขึ้นในไม่ช้า...
และไฟที่โหมกระพืออย่างรุนแรงนั้น ก็พร้อมที่จะเผาทำลายประเทศและภูมิภาคนี้อย่างไร้ที่สิ้นสุด...
ภาพจาก USA Today
References
Ben Sasson, H.H. A History of the Jewish People. Cambridge, MA : Harvard University Press, 1976.
Christian Art Publishers. The Holy Bible. Ogden : Christian Art Publishers , 2020.
Hirsch, Ellen. Facts about Israel. Jerusalem, Israel : Ahva, 1999.
Laqueur, Walter. A History of Zionism: From the French Revolution to the Establishment of the State of Israel. Tel Aviv : Schocken, 2003.
Sanai, Anne and Robert I. Sanai. Israel & Arabs : Prelude to the Jewish State. New York : Fact on Fire, 1972.
Schama, Simon. The Story of the Jews: Finding the Words 1000 BC-1492 AD. New York : Ecco, 2014.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา