9 เม.ย. 2022 เวลา 15:24 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 13: Recap x Reflect ชีวิตวัยทำงานไตรมาสแรก - สับสนอยู่ แต่ก็ลุย ๆ มันส์ ๆ อยู่เหมือนกันนะ!
ห่างหายกันไปนานหลังจากช่วงเดือนมกราคมนะคะ แฮ่ แต่ตอนนี้ดิฉันกลับมามีแรงและมีเวลาบันทึกเรื่องราวชีวิตของตัวเองแล้วค่ะ งั้นขอไม่เสียเวลา เริ่มเลยแล้วกัน!
หลัก ๆ ของการบันทึกครั้งนี้เลยก็คือดิฉันอยากมา ‘Recap’ และ ‘Reflect’ ถึงชีวิตการทำงานตลอดเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา (ซึ่งก็ย่างเข้าเดือนที่ 4 แล้วด้วยล่ะ!) ว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี่มันตอบโจทย์ความต้องการของเราหรือไม่ และมันช่วยทำให้เราเห็นภาพตัวเองมากขึ้นบ้างไหม เพื่อจะได้ตัดสินใจกับอนาคตข้างหน้าของเราต่อไปเกี่ยวกับการทำงานนี้
ย้อนความกันสักนิด หลังจากในช่วงปลายเดือนธันวาปีที่แล้วมาจนถึงช่วงต้นเดือนมกราที่ดิฉันนั่งวุ่นอยู่กับการหางานอย่างบ้าบิ่น สุดท้ายแล้วดิฉันก็ได้งานเป็นนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาของสถาบันแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่ทราบผลประกาศ ไม่กี่วันหลังจากนั้นดิฉันก็ได้เริ่มเข้าทำงานแบบไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว
ชีวิตการทำงานในช่วงเดือนแรกของดิฉันดูไม่ค่อยเหมือนการทำงานสักเท่าไหร่ เพราะมันเป็นช่วงอบรมก่อนที่จะเริ่มเข้าทำงานจริง พี่ ๆ ในสายอาชีพที่ทำงานอยู่ในสถาบันของเราได้มาช่วย brush up ความรู้จิตวิทยาด้านการปรึกษา รวมถึงมีการให้สกิลและความรู้ใหม่ต่าง ๆ ที่หาไม่ได้ในห้องเรียนเพิ่มเติมด้วย ความรู้สึกในช่วงเดือนแรกเลยเหมือนคล้าย ๆ ไปโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่มาเจอพี่ ๆ บรรยายให้ความรู้ มีเบื่อ ๆ บ้าง มีสนุกเฮฮาบ้าง พี่ ๆ ทุกคนใจดีและเปิดกว้างมาก รวมถึงเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ ที่ดิฉันได้พบเจอก็น่ารักมาก ๆ เช่นกัน ดิฉันก็เลยรู้สึกดีเหมือนกันที่ได้มาทำงานที่นี่ เพราะทุกคนไม่ได้กดดันกัน ไม่ได้มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นอะไร แต่ก็อาจเป็นตัวเนื้องานที่มันชิงดีชิงเด่นอะไรได้ไม่มากอยู่แล้วเพราะมันเป็นการทำงานระหว่างจิตใจมนุษย์ด้วยส่วนหนึ่ง
การอยู่เป็นกำลังใจให้กันมันเลยช่วยฮีลทั้งเราทั้งเค้าให้สามารถทำงานต่อไปได้ และกลายเป็นส่วนสำคัญมากต่อการทำงานในสายงานนี้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกแตกต่างจากการเรียนปกตินิดนึงก็คือดิฉันสังเกตว่าตัวเองกล้าถามเยอะขึ้น (จากปกติก็เป็นคนกล้าถามอยู่แล้วประมาณหนึ่ง) อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเพื่อนใหม่ที่เข้ามาทำงานด้วยกันล้วนเป็นคนกล้าแสดงความคิดเห็นหมดเลย บวกกับสังคมการเรียนรู้ที่นี่เน้นการถกถามอยู่แล้ว บรรยากาศมันเลยเต็มไปด้วยการเคารพซึ่งกันและกันและพร้อมเรียนรู้และแลกเปลี่ยน กับอีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกที่ว่าเราไม่เคยรู้เรื่องตรงนี้มาก่อน แล้วมันจำเป็นกับการใช้ทำงานที่นี่ ส่วนตัวเลยถามค่อนข้างเยอะแบบไร้ความเกรงใจเพื่อทำให้ตนเองได้เข้าใจในเรื่องนั้นจริง ๆ ก่อนที่จะนำไปแนะนำหรือบอก Client ต่อในกระบวนการการปรึกษา
ชีวิตในช่วงแรกของการทำงานสำหรับดิฉันเลยค่อนข้างชิว ตื่นมาประมาณ 9 โมงเช้ามาเรียนจนถึง 4 โมงเย็นทุกวัน มันเลยเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่ได้รู้สึกกดดันมาก แต่ก็ยอมรับว่าพอใกล้จะจบช่วงอบรมก็มีความรู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะแม้ว่าจะอบรมมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเอง proficient ขนาดนั้น ซึ่งพี่ ๆ ก็บอกว่ามันเป็นปกติที่จะรู้สึกแบบนี้ได้ เพราะสายงานนี้มันก็ต้องอาศัยการพบเจอกับประสบการณ์จริงนั่นแหละถึงจะทำให้เก่งและชำนาญขึ้น
พอมาช่วงหลัง ๆ พี่ ๆ ก็เลยลองให้เราทำงานจริงดูบ้าง ซึ่งบอกเลยว่าตั้งแต่เจอเคสแรก ดิฉันก็ถึงกับทรุดไปเลยเพราะว่าต้องคุยกับเคสกำลังจะ suicide อยู่ ยอมรับเลยว่าก็ตกใจเพราะก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอเลย แต่ก็พยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุดในตอนนั้นและทำการปรึกษาต่อไป ซึ่งหลังจากทำการปรึกษาและการได้รับ feedback จากเพื่อน ๆ พี่ ๆ แล้ว แม้ดิฉันจะยังรู้สึกว่ามันอาจยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ดิฉันก็ภูมิใจในตัวเองเหมือนกันเพราะมันก็ดูเป็นก้าวแรกที่ดี และเป็นก้าวแรกที่เดินมาถูกทาง
พอมาช่วงปลายเดือนกุมภาดิฉันก็ได้เริ่มปฏิบัติงานจริง ซึ่งบอกเลยว่าตื่นเต้นและกลัวมาก ยอมรับเลยว่าความรู้สึกช่วงเปลี่ยนผ่านจากการลองทำงานมาสู่การทำงานจริงมันค่อนข้างหนักเหมือนกันสำหรับดิฉัน จำได้เลยว่าคืนก่อนจะเริ่มทำงานจริงวันแรกดิฉันนอนไม่หลับเลย เหมือนสมองและจิตใจมันถูกกระตุ้นตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ดินคาเฟอีนอะไรที่เข้มข้นหรือรุนแรง ซึ่งก็ยอมรับว่ามันอาจเป็นความเครียดที่มาจากความไม่มั่นใจในศักยภาพของตนเองที่สั่งสมมานานจนทำให้มันออกอาการมาทางร่างกายที่ดิฉันพยายามปัด ๆ ไม่คิดถึงมันและก็พยายามคิดบวกให้กำลังใจตัวเองกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเหมือนกัน แต่ก็ยอมรับว่ามันเป็นความรู้สึกขุ่นมัวที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่จางหายไปสักที จนพอมันมาถึงจุดที่มันต้องก้าวเดินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ มันก็เลยเครียดมาก บวกกับดิฉันไม่กล้าบอกหรือปรึกษาใครด้วยในตอนนั้นมันก็เลยอาจยิ่งทวีความรุนแรงไปกันใหญ่
วันแรกในการทำงานของดิฉันก็เลยเป็นความรู้สึกซีดเซียว เข้าใจเลยว่าการนอนหลับไม่เต็มอิ่มมันรู้สึกอย่างไรจริง ๆ ดิฉันรู้เลยว่าสมองตอนนี้ไม่ได้มีพลังเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ความรู้สึกมันเหมือนกาหยาบกำลังทำงานจริง ๆ แต่จิตใจและความรู้สึกว่าเรากำลังสถิตย์อยู่ในร่างมันแทบหายไปเกือบหมดเลย แถมเปิดมาวันแรกก็ดันเจอเคสหนักอีก ดิฉันก็เลยรู้สึกวีน ๆ เหวี่ยง ๆ หน่อย แต่สุดท้ายก็ผ่านวันนั้นมาได้ด้วยดี และก็รู้สึกทึ่งกับตัวเองเล็ก ๆ เหมือนกันที่สามารถผ่านมาได้แม้จะมีแต่กาหยาบก็ตาม
จำได้เลยว่าหลังจากทำงานดิฉันก็ตัดสินใจออกไปเดินซุปเปอร์กับเจ้าคุณแม่เปลี่ยนบรรยากาศเพื่อฮีลความรู้สึกหลังจากทำงานเสร็จ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเป็นซอมบี้เลยค่ะ เดินไปก็ตาจะปิดไป บ่นกับเจ้าคุณแม่ตลอดว่าง่วงเหลือเกิน สักพักก็เริ่มหงุดหงิดจนออกมาทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัด มันทรมานจริง ๆ ค่ะ มันเหมือนร่างกายคอยบอกกับเราตลอดเวลาว่านอนเถอะและพร้อมนอนแล้ว ซึ่งมันควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนวานแต่มันไม่เกิดขึ้น T0T สุดท้ายดิฉันก็เลยจบวันด้วยการนอนตั้งแต่ 6 โมงเย็นยาวมาจนถึงเช้าของอีกวัน ซึ่งบอกเลยว่าแม้จะไม่ได้รู้สึกสดใสมากเหมือนที่คิดไว้ แต่รู้สึกได้เลยว่าพลังงานของตนเองกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง พร้อมลุยงานค่ะ!
ถึงแม้ว่าดิฉันจะไม่มีปัญหาการนอนในช่วงการทำงานหลังจากนี้แล้ว แต่ก็ยังยอมรับว่าความรู้สึกไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองมันก็ยังคงทำงานอยู่ระหว่างการทำงานในช่วงเดือนแรกมาจนถึงตอนนี้จริง ๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่บอกเลยว่ามันทำงานหนักมาก ๆ ซึ่งบอกเลยว่ามันส่งผลต่อสภาพจิตใจของดิฉันมากเหมือนกัน เพราะความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองนี้มันพาลทำให้ดิฉันรู้สึกไม่อยากทำงานนี้ไปด้วย
ทุก ๆ วันในช่วงนั้นดิฉันตื่นมาพร้อมกับความรู้สึก ‘ต้องทำงานอีกแล้วเหรอ’ แทบทุกวัน ซึ่งมันเป็นพลังงานลบที่ทำให้ดิฉันเลือกที่จะเริ่มงานช้ากว่าคนอื่นนิดหน่อยพอถึงเวลาทำงาน พยายามลุกไปเข้าห้องน้ำ (บ่อยมาก) พยายามหากิจกรรมอะไรเล็ก ๆ ทำก่อนลงมือทำงานเพื่อเป็นการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ๆ ให้ตัวเองสักหน่อยก่อนเริ่มทำงาน และมันไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึก ‘ดี’ เลยยยยย แต่เนื่องจากความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นกับดิฉันจริง ๆ และมันก็คงปฏิเสธได้ยากว่ามันไม่เกิดขึ้น ดิฉันก็เลยเลือกที่จะ discover ถึงความรู้สึกนั้นว่ามันมาได้อย่างไรแทน เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าหาเจอได้สักนิดสักหน่อย มันอาจทำให้สามารถแก้ไขความรู้สึกนี้ให้กลับมาดีขึ้นอย่างถาวรได้จริง ๆ
ช่วงนี้ดิฉันก็เลยค่อนข้างสับสนกับตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ‘เราชอบทำงานด้านนี้จริง ๆ หรือเปล่า’ เพราะก็บอกตามตรงว่าหลังจากนั่งขบคิดกับตัวเองมานานก็ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจนว่ามันมาจากอะไรกันแน่อย่างชัดเจน แต่จากที่ลองทบทวนดูเหมือนว่ามันจะมาจากอะไรหลาย ๆ อย่างมาขยำรวมกัน อาจมาจาก
ค่านิยมที่คนชอบมองว่าการทำงานเป็นเรื่องหนักหนากับชีวิต (อันนี้เป็นการรับรู้ของเราจากการเสพย์สื่อที่เห็นนะ ไม่แน่ใจมีใครคิดแบบนี้เหมือนกันหรือมั้ย) มาจากการที่เรายังไม่มีประสบการณ์มากพอจนพูดไม่ได้อย่างเต็มปากว่าชอบหรือไม่ชอบ มาจากปัจจัยทางด้านการทำงานที่บางทีอาจเจอเคสหนักมาจนทำให้รู้สึกท้อ มาจากการที่เห็นตัวเองว่าเริ่มชินชากับคำขอบคุณที่มาจากใจจริงของเคส หรือมาจากการที่ตัวเองเริ่มรู้สึกเบื่อระหว่างการทำงานจากการที่ต้อง ‘นั่งฟัง’ อย่างเดียว เพราะในใจลึก ๆ มันก็มีความรู้สึกอยากสรรสร้างสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน
แต่จากที่ลองคิดกลับไปกลับมาสุดท้ายดิฉันก็มาได้แนวทางหนึ่งกับตัวเองว่าต้องลองทำดูไปก่อนแหละ เพราะนี่ก็เพิ่งผ่านการทำงานจริงมาแค่เดือนกว่า ๆ เอง ความรู้สึกดังกล่าวอาจเป็นความรู้สึกที่เรายังไม่สามารถปรับตัวกับการเข้าสู่วัยทำงานก็ได้ (มันมีความคาบเกี่ยวกับหลาย ๆ ส่วนน่ะ) และอาจด้วยต่อจากนี้จะได้มีโอกาสทำงานอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันสนใจอยู่เหมือนกัน อาจลองทำงานนั้นไปก่อนแล้วเอามาผนวกกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้เพื่อตัดสินใจอีกทีหนึ่งเหมือนกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งดิฉันก็มองว่าอาจให้เวลาตัวเองจนถึงจบสัญญานี้แหละว่าจะยังไงต่อไปดี
นอกจากนี้ดิฉันก็คิดว่าอาจเรียนหรือเริ่มทำกิจกรรมที่ตัวเองรู้สึกว่าเข้ากับตัวเองประกอบกันไปด้วยแหละ อาจเป็นลงเรียนพวกดนตรีหรือกราฟฟิกเพิ่ม ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีแรงทำมั้ย 55555 แต่ถ้ามีก็จะได้ประหยัดเวลาไปอีกหน่อย แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงจะไม่ฝืนแหละ 55555
ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ชัดเจนประมาณหนึ่งนะ เก่งมากตัวเอง!
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จากการทำงานในช่วงไตรมาสแรกนี้เลยก็คือ แม้ว่าเราจะต้องทำงานอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นใจ ลังเลใจ กังวลใจ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้อง….. JUST DO IT ว่ะ!
ใช่ค่ะ เจ้าสโลแกนของรองเท้า Nike เนี่ยแหละที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ซึ่งก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะมีประโยชน์กับชีวิตตัวเอง แต่พอมันมาอยู่ในสถานการณ์นี้รู้สึกว่าความคิดนี้มันเป็น coping ที่ดีมากของตัวเองเหมือนกันนะ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปจากสถานการณ์ที่มันกำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือทำเต็มที่ที่สุดตามศักยภาพที่เรามีนั่นแหละ ก็ทำไปเท่าที่ทำได้ บวกกับตราบใดที่เรารู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่เราทำไปใน session กับ Client มันมาจากความบริสุทธิ์ใจที่เราอยากช่วยเขาจริง ๆ แล้วเรารู้จักลิมิตและศักยภาพของตัวเองแล้วเราทำเต็มที่แล้ว มันคือ โอเคและดีมากแล้วจริง ๆ และการลงมือทำนี่แหละมันจะช่วยทำให้เรา improve ตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันทำให้เรารู้ว่าเราขาดอะไร เราจะได้ระวังหรือไปเติมข้อมูลตรงนั้นมาใช้กับ session ถัดไป
แม้ว่าการทำงานมันจะหนักหนาสาหัสสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้เข้าสู่ช่วงวัยทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งเลยที่ดิฉันรู้สึกได้คือดิฉันเริ่ม appreciate กับวันหยุดมากขึ้น 55555555 คือพอเราเข้าใจ feeling ว่า thank god it’s holiday or friday มันเป็นยังไง มันทำให้เรากล้าพักเต็มที่มากขึ้น แล้วกลายเป็นว่าในช่วงเวลาพักนั้นเราไม่มีความรู้สึก doubt หรือรู้สึกผิดเลยเพราะเรารู้สึกว่าเรา deserve มันจริง ๆ 55555
ดิฉันเริ่มกล้านอนอืด ๆ ไม่ทำอะไรที่บ้านมากขึ้น รวมถึงกล้าออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าที่บ้านจะชวนไปทำอะไรก็ไปหมดหากมีโอกาส หรือบางทีเราก็พยายามสรรสหากิจกรรมใหม่ ๆ ทำร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ เพื่อเป็นการสร้างพลังบวกให้ตัวเอง ซึ่งบอกเลยว่ามันช่วยฮีลดิฉันได้มากกกกกกกก อย่างล่าสุดดิฉันเพิ่งได้หยุดไปแบบ 6 วันเต็ม ๆ เพื่อไปเที่ยวอุทยานและพักผ่อนที่หาดหัวหิน บอกเลยว่า refreshing มากกกก คือมันเป็นสิ่งที่ดิฉันโหยหามานานจริง ๆ มันเลยทำให้เราเอนจอยกับโมเม้นต์ตรงนั้นมาก ๆ ซึ่งแม้ว่ามันจะมีความรู้สึกข้างในเหมือนกันว่าอยากอยู่แบบนี้ตลอดไปจนไม่อยากกลับไปทำงาน แต่พอมันมาถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานจริง ๆ มันก็ยังรู้สึกโอเคกว่าตอนไม่ได้พักมาก ๆ เพราะมันเหมือนเรามีพลังงานบวกที่ช่วยคอยจัดการพลังงานลบที่เกิดขึ้นทำให้เราไม่ได้รู้สึกอะไรมากแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่งมาสังเกตเห็นตัวเองในช่วงเร็ว ๆ นี้หลังจากไปเที่ยวมาแล้วก็คือ แม้ว่าเราจะมีความรู้สึกชินชากับคำขอบคุณมากมายจากเคสที่เราสัมผัสได้ว่ามันเป็นคำขอบคุณที่ทรงพลังและมาจากใจจริง แต่พอมาย้อนมองจริง ๆ ดิฉันเห็นว่าดิฉันใส่ใจ รับฟัง ร่วมรู้สึก และอยู่เป็นเพื่อนเคสตลอดกระบวนการปรึกษาแทบทุกครั้งที่ผ่านมาจริง ๆ และนั่นเป็นช่วงเวลาที่ก็กล้าพูดได้ประมาณ 80% เหมือนกันว่าดิฉันแฮปปี้นะ ไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร บางทีอาจเป็นมาจากที่เราอินกับการเล่าเรื่องของเคสและมันเป็น deep conversation ด้วยมั้ง มันเลยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันยังคงสามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะในทุกมเม้นต์ระหว่างการทำการปรึกษา มันไม่เคยมีความรู้สึก ‘ไม่อยากทำงานนี้’ เข้ามาผสมอยู่ระหว่างการทำงานเลย ซึ่งก็เป็นพ๊อยท์ที่น่าสนใจ ต้องรอสังเกตการณ์กันต่อไปค่ะ!
โอเคนัมเบ้อวัน! ก็พอสมควรแล้วเนอะสำหรับการ Recap x Reflect ช่วงชีวิตของดิฉันตอนนี้ อาจยาวสักหน่อยนะคะ 5555555 และหากต่อจากนี้มีเวลาและมีแรงกายแรงใจหรือมีเรื่องอะไรน่าเขียนก็จะมาลงบ่อยขึ้นนะคะะ อิอิ :-)
โฆษณา