17 เม.ย. 2022 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
ชาวอินเดียสนใจรถยนต์อเนกประสงค์เพิ่มขึ้น
คาดส่วนแบ่งตลาดขยายตัวจาก 39% เป็น 51-53% ในปี 2569
CRISIL สถาบันวิจัยและจัดอันดับของอินเดียเปิดเผยผลการวิจัยว่าตลาดรถยนต์ในประเทศเป็นตลาดรถขนาดเล็กกำลังให้ความสนใจรถยนต์อเนกประสงค์ (utility vehicles: UVs) เพิ่มขึ้น โดยส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์อเนกประสงค์ในตลาดรถยนต์โดยสารในประเทศทั้งหมดเพิ่มขึ้นจาก 15% เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็น 48% ในปลายปี 2564 และคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่ารถยนต์ประเภทอื่นในตลาด คือเฉลี่ยปีละ 14-18% ระหว่างปีงบประมาณ 2563-69 จนมีส่วนแบ่งตลาดถึง 51-53% ในปีงบประมาณ 2569 จากราว 39% ในปีงบประมาณ 2564 ส่วนรถยนต์ขนาดเล็กคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4-6% และรถตู้และรถยนต์ขนาดใหญ่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 3-5% ในช่วงเดียวกัน
ผลการวิจัยยังพบว่าส่วนแบ่งรถยนต์ขนาดเล็กลดลงจาก 65% ในปีงบประมาณ 2555 เหลือ 45% ในปีงบประมาณ 2565 และระหว่างปีงบประมาณ 2552-62 รถยนต์ขนาดเล็กเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% และรถยนต์อเนกประสงค์เติบโตเฉลี่ยปีละ 16% อัตราการเติบโตของรถยนต์อเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมากกว่ารถยนต์ขนาดเล็กอาจจะเป็นเพราะฐานตัวเลขต่ำ (low base effect) แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะมีผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจรถยนต์อเนกประสงค์มากกว่าเดิม
ความหลากหลายของรุ่นรถยนต์มีบทบาทสำคัญในการทำให้ชาวอินเดียหันมาใช้รถยนต์อเนกประสงค์มากขึ้น ย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อินเดียมีผู้เล่นในตลาดรถยนต์อเนกประสงค์เพียง 6 รายและรถยนต์เพียง 11 รุ่นเท่านั้น ซึ่งได้แก่บริษัท Maruti Suzuki (รุ่น Gypsy), Mahindra & Mahindra (รุ่น Bolero และ Scorpio), Toyota (รุ่น Qualis, Innova และ Prado), Tata Motors (รุ่น Sumo และ Safari), Force Motors (รุ่น Trax) และ Hindustan Motors (รุ่น Pajero และ Trekker) แต่ในปี 2563 จำนวนรุ่นรถยนต์อเนกประสงค์รวมถึงรถตู้มีมากกว่า 68 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 70-80% ของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์และรถตู้ทั้งหมด ได้แก่ Brezza, Creta, Ertiga, Nexon, XUV300, Seltos, Venue, Triber, Sonet, Magnite และ Kiger
นอกจากนี้ รายงานการวิจัยยังพบว่าผู้บริโภคอินเดียสนใจรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ (sports utility vehicle: SUV) ขนาดเล็กก่อนที่จะอัปเกรดเป็น SUV ขนาดใหญ่ขึ้น เพราะมองว่าเป็นรถยนต์ที่ให้ทัศนวิสัยขณะขับขี่ดีกว่า และมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและยืดหยุ่นมากกว่า นอกจากนี้ COVID-19 ก็มีผลทำให้ผู้คนเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมากกว่ารถโดยสารสาธารณะมากขึ้น จึงเลือกรถยนต์อเนกประสงค์มากกว่ารถเก๋งหรือรถแฮทช์แบ็ก เพราะเหมาะกับการเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลและถนนขรุขระมากกว่า
อุตสาหกรรมยานยนต์อินเดียมีมูลค่า 118 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตถึง 300 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2569 โดยในปีงบประมาณ 2564 อินเดียผลิตยานยนต์ได้ 22.7 ล้านคัน และส่งออกราว 4.1 ล้านคัน ส่วนในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อินเดียผลิตยานยนต์แล้ว 13 ล้านคัน โดยยานยนต์สองล้อและรถยนต์ส่วนบุคคลมีส่วนแบ่งตลาด 81.2% และ 14.6% ของยานยนต์ในประเทศทั้งหมด ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของอินเดียก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีมูลค่า 45.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2564 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 3.28% จนมีมูลค่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2569
ตลาดรถยนต์ส่วนบุคคลของอินเดียยังถือว่าเป็นตลาดที่มีการเข้าถึงต่ำเมื่อพิจารณาสัดส่วนจำนวนรถยนต์ 24 คันต่อจำนวนประชากร 1,000 คน หรือ 2.4% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ชนชั้นกลางและรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นทำให้อินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตยานยนต์ ซึ่งทำให้มีการก่อตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนหรือ OEMs ในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยหลายปีที่ผ่านมาตลาดจะเน้นไปที่รถยนต์ขนาดเล็กที่มีความยาวระหว่าง 3.2–4 เมตร แต่ในช่วงหลังผู้บริโภคอินเดียโดยเฉพาะในเขตเมืองเริ่มหันมาสนใจรถยนต์อเนกประสงค์มากขึ้น ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีความยาวระหว่าง 3.8–5.1 เมตร ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ เหมาะกับถนนแบบออฟโรด
ความนิยมในรถยนต์ส่วนตัวในกลุ่มผู้บริโภคอินเดียถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่ผู้ประกอบการไทยด้านอุตสาหกรรมยานยนต์มิอาจมองข้าม และจากนโยบายภาครัฐของอินเดียที่สนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศมากขึ้น (Make in India) ทำให้โอกาสสำหรับไทยในการเป็นผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ต่างๆ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปยังอินเดีย โดยในปี 2564 ไทยส่งออกไปยังอินเดียกว่า 386.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 4.53% ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังอินเดีย และขยายตัวจากปี 2563 ถึง 54.44% ส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ ไทยส่งออกไปอินเดีย 349.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564 ขยายตัวจากปี 2563 ราว 64%
โฆษณา