22 เม.ย. 2022 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
ปี 2024 เยอรมนีตั้งเป้าเลิกพึ่งพิงนำเข้าแก๊สจากรัสเซีย
แก๊สธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas, LNG) ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญตามแผนของนาย Robert Habeck (สังกัดพรรค Bündnis 90/Die Grünen หรือพรรคยุค 90 พันธมิตรสี เขียว) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ และอนุรักษ์สภาวะอากาศที่จะทำให้เยอรมนีก้าวข้าม และประกาศอิสรภาพจากการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติจากรัสเซียได้ โดยนาย Habeck เปิดเผยว่า “ขณะนี้รัฐบาลได้ให้บริษัทเอกชน 2 แห่ง ได้แก่ RWE และ Uniper เข้าไปเตรียมการสร้างสถานีลอยน้ำถึง 3 แห่ง เพื่อใช้สำรอง LNG” ในขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้พาเหรดกันออกมาแสดงความกังวลใจว่า “การเตรียมการเพื่อสร้างสถานีสำรอง LNG 3 แห่งนี้
จะทำได้จริงหรือไม่ และคาดการณ์กันว่าอย่างเก่งรัฐบาลก็น่าจะหาพื้นที่สร้างสถานีสำรอง LNG ได้แค่ 2 แห่ง เท่านั้น เพราะปัจจุบันสถานีสำรอง LNG ลอยน้ำ (หรือ Floating Storage and Regasification : FSRU) กลายเป็นสิ่งที่มีความต้องการสูงมากในท้องตลาด โดยทั่วโลกมี FSRU เพียงแค่ 48 แห่งเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ยังติดสัญญาอยู่” นอกจากนี้ ยังมีข่าวจากวงในว่า “อย่างเก่งเยอรมนีน่าจะหาเรือเพื่อทำเป็น FSRU ได้เพียง 2 ลำเท่านั้น หรือไม่อย่างนั้น รัฐบาลก็ต้องเร่งไปซื้อเรือ FSRU ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ ๆ มาใช้แทน”
ด้าน RWE ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้หาสถานีสำรอง LNG ได้ออกเปิดเผยว่า “ขณะนี้ RWE กำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ของ FSRU บางแห่งอยู่สำหรับ Uniper ซึ่งเป็นเอกชนอีกหนึ่งรายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ดำเนินการในเรื่องนี้ RWE ก็ขอไม่ให้ข้อมูลใดๆ เพราะไม่อยากก้าวก่ายการทำงานของ Uniper” แต่จากข้อมูลวงในพบว่า ขณะนี้ยังไม่มีบริษัทเอกชนรายใดสามารถลงนามในสัญญาได้เลย
ในทันทีที่เยอรมนีมีสถานีสำรอง LNG เป็นของตัวเอง เยอรมนีก็จะสามารถบริหารจัดการนโยบายภาครัฐเศรษฐกิจการลงทุน แนวโน้มตลาดรายงานสินค้าและบริการอื่นๆ LNG ได้ดีขึ้น แต่โชคไม่ดีที่ขณะนี้เยอรมนียังไม่มี สถานีสำรองแก๊สดังกล่าวแม้แต่เพียงแห่งเดียว ที่ สำคัญยังต้องใช้สถานีสำรองแก๊สของเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ต่อไป โดยแก๊สที่จ่ายจากสถานี ดังกล่าวจะถูกลำเลียงผ่านท่อแก๊สเครือข่ายของ ยุโรปเข้าไปในเยอรมนีอีกทอดหนึ่ง อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์กันว่า ในอนาคตจะมีการสร้างสถานี LNG ที่เมือง Wilhelmshaven, Stade หรือที่เมือง Brunsbüttel ซึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่า ที่ใดเหมาะมากกว่ากัน ก็คือ ความพร้อมด้านเครือข่าย ท่อแก๊สที่จะสามารถลำเลียงแก๊สเข้าเยอรมนีได้ต่อไป
ด้านนาย Olaf Lies รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของรัฐ Niedersachen ในสังกัดพรรค สังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD - Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ได้ออก มาเรียกร้องให้นาย Habeck พิจารณาเลือกเมือง Wilhelmshaven สำหรับสร้างสถานีสำรอง LNG เนื่องจาก “เมือง Wilhelmshaven มีความพร้อมที่จะติดตั้งเรือสถานี FSRU ได้อย่างรวดเร็ว และ สามารถบริหารจัดการแก๊สเข้าสู่ระบบท่อเครือข่ายได้ดีอีกด้วย” ซึ่งหากทำได้จริง ก็จะทำให้ภายในปี 2023 เยอรมนีจะสามารถนำเข้า LNG ได้ถึง 20 พันล้านลูกบาศก์เมตร (Bank Cubic Metre : BCM) นาย Lies ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า “หากทุกฝ่ายเร่งมือเรื่องนี้อย่างจริงจัง เยอรมนีก็จะสามารถเริ่ม ใช้งานสถานีนี้ได้ในช่วงปลายปี 2022”
ในขณะที่บริษัท RWE ออกมาเปิดเผยว่า “ขณะนี้มีเรือหนึ่งลำที่ น่าจะเริ่มส่งแก๊สเหลวได้ในช่วงฤดูหนาวนี้” และในปีที่ผ่านมาพบมีการส่งแก๊สผ่านท่อ Nord Stream-1 จากรัสเซียมายังเยอรมนีแล้วจำนวน 60 BCM ซึ่งในอนาคตหากเยอรมนีสร้างสถานี LNG แล้วเสร็จ ก็จะ สามารถนำเข้าแก๊สจากสหรัฐอเมริกาได้โดยตรง ทางสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาประกาศว่า สหรัฐฯ จะส่ง LNG ให้แก่สหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 15 BCM ด้านนาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการ EU เปิดเผยว่า “LNG ของสหรัฐฯ ที่ส่งมาให้เยอรมนีน่าจะพอใช้ทดแทน LNG ที่นำเข้าจากรัสเซียได้ใน ช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งจนถึงปี 2030 EU ก็น่าจะมีความมั่นคงด้านพลังงานหรือแก๊ส LNG มากขึ้น เพราะมี การนำเข้า US-LNG แทน”
นาย Habeck ออกมาประกาศว่า นับเป็นก้าวแรกที่เยอรมนีจะเป็นอิสระจากการนำเข้าแก๊สของรัสเซีย ซึ่งเยอรมนีจะสามารถลดการพึ่งพิงการนำเข้าพลังงานชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยในอีกไม่กี่สัปดาห์ ข้างหน้านี้ เยอรมนีจะสามารถนำเข้าถ่านหินจากรัสเซียลดลง จากเดิมที่ในสัดส่วนสูงถึง 50% ของการนำเข้าจากทั่วโลก เหลือเพียง 25% เท่านั้น ซึ่งนาย Habeck คาดการณ์ว่า นับตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนจนถึงฤดู ใบไม้ล่วงของปีนี้ โรงงานไฟฟ้าในเยอรมนีน่าจะไม่จำเป็นต้องใช้ถ่านหินจากประเทศรัสเซียเลย สำหรับน้ำมันนั้น นาย Habeck กล่าวว่า ขณะนี้เยอรมนีได้ลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียจากเดิม สัดส่วน 35% ของการนำเข้าโดยรวม ลดลงเหลือ 25% และจนถึงช่วงกลางปีของปี 2565 เยอรมนีน่าจะลดการนำเข้านำมันจากรัสเซียได้ถึงครึ่งหนึ่ง
สำหรับโจทย์ที่ยากที่สุดของนาย Habeck ก็คือ การลดการนำเข้าแก๊ส โดยในปี 2021 แก๊สกว่า 55% ที่เยอรมนีใช้ในประเทศเป็นแก๊สที่นำเข้าจากรัสเซียผ่านท่อส่งแก๊ส และคาดการณ์กันว่า “เยอรมนีน่าจะไม่ต้องพึ่งพิงแก๊สของรัสเซียแล้ว อย่างช้าที่สุดก็คงเป็นช่วงฤดูร้อนปี 2024” อย่างไรก็ดี นาย Habeck ได้ออกมาให้ความเพิ่มเติมอีกว่า “การคว่ำบาตรการนำเข้าแก๊สจากรัสเซียอย่างกะทันหัน จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของเยอรมนีอย่างมาก และจะส่งผลใน ระดับสังคมต่อไป”
นาง Yvonne Henke ทนายจากสำนักงานทนายความ Ritter Gent ได้เปิดเผยว่า “ภาค อุตสาหกรรมหนักที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ต่างก็แสดงความกังวล ว่าอาจจะไม่มีแก๊สพอใช้ในกระบวนการผลิตได้” และหาก EU ตัดสินใจคว่ำบาตรการนำเข้าแก๊สจากรัสเซียแบบกะทันหัน กลุ่มผู้ ผลิตเหล็ก ผู้ผลิตแก้ว ผู้ผลิตสินค้าบริโภค และผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานค่อนข้างสูงก็ อาจต้องหยุดกระบวนการผลิตในทันที เพราะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป
นาง Henke ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า “กรณีที่อุตสาหกรรมต้นน้ำจำพวกเหล็กและแก้วหยุดการ ผลิตขึ้นมา อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปยังผู้ผลิตปลายน้ำอื่นๆ ในสายอุปทานได้ ซึ่งหากเป็น เช่นนี้ ก็จะมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายและการประกาศล้มละลายทางธุรกิจกันขนานใหญ่ในเยอรมนี ได้” ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทเอกชนหลายรายได้เข้ามาปรึกษากับสำนักงานฯ แล้วว่า หากเกิดเหตุการณ์ดัง กล่าวขึ้นจริง ภาคเอกชนก็อยากรู้ว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับผลกระทบที่ EU ใช้มาตรการคว่ำบาตร การนำเข้าแก๊สจากรัสเซีย
ถึงตอนนี้ คงต้องขบคิดกันแล้วว่า ระหว่างผู้ส่งแก๊สกับลูกค้าผู้ซื้อแก๊ส ใครจะสามารถใช้ ประโยชน์จากคำว่า “Force Majeure” (คำใน ภาษาฝรั่งเศสและมีความหมายทางกฎหมายว่า “เหตุสุดวิสัย” นั่นเอง) ในข้อสัญญาทางกฎหมาย หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจนทำให้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใดไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาทางธุรกิจต่อ ไปได้ ด้านผู้จำหน่ายแก๊สจำนวนมากกำลังทำการ ตรวจสอบข้อสัญญาที่เคยทำไว้กับลูกค้าว่า มี ความผูกพันมากน้อยขนาดไหน ในขณะที่ ด้าน ลูกค้าผู้ซื้อแก๊สโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ก็เริ่มกังวลใจและทำการตรวจสอบข้อสัญญาทางธุรกิจของตัวเองเช่นกัน เพราะแน่นอนว่า หากมีการคว่ำบาตรการนำเข้าแก๊สจากรัสเซียเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีใครที่ต้องการจะเป็นผู้เสียผล ประโยชน์ทางการค้านั่นเอง
นอกจากนี้ มีบริษัทเอกชนจำนวนมากต่างก็วิ่งเข้าไปขอคำปรึกษาจากนาย Jochen Multhauf ผู้บริหารบริษัท MSM บริษัทให้คำปรึกษาด้านการลงทุนแก่ธุรกิจ SMEs ได้ออกมาเปิดเผยว่า “ขณะนี้บริษัทฯ มีลูกค้าจำนวนมากเข้ามาสอบถามว่า กรณีที่ราคาแก๊สสูงขึ้นมากจนต้นทุน การสูงมากจนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ จะสามารถใช้อนุประโยค Force Majeure ในแง่กฎหมาย ได้หรือไม่” ซึ่งขณะนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้อนุประโยค Force Majeure มากขึ้น
แต่ในสัญญาจำเป็นต้องระบุว่า “เหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นนั้น ต้องเป็นเหตุที่ไม่คาดคิดหรือเกินความคาดหมายจริง ๆ จึงจะสามารถเป็นอิสระจากสัญญาได้” โดยนาย Multhauf ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “การระบุข้อความดัง กล่าวนี้ มักเป็นสัญญาทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่บริษัทเล็ก ๆ จะไม่ค่อยมีการ ระบุข้อความนี้ไว้ในสัญญาแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามที่ระบุในสัญญาต่อ ไป”
สำหรับอุตสาหกรรมเคมีน่าจะอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการ Boybott มากที่สุด เพราะกว่า 44% ของพลังงานที่ภาค อุตสาหกรรมเคมีใช้ในการผลิตมาจากแก๊ส โดย แก๊สจัดเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตสินค้าหรือ มีสัดส่วนต้นทุนสูงถึง 16% ของต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งหมด และโดยปรกติแล้วในอุตสาหกรรมเคมีจะมีการระบุอนุประโยค Force Majeure ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือสงครามไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สำนักทนาย CMS Hasche Sigle ได้กล่าวว่า “ในสัญญาฉบับเก่า ๆ นั้น มักจะไม่ได้มีการ ระบุว่า การขาดแคลนแก๊สเป็นหนึ่งในเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด” แม้ว่าในปีที่ผ่านมาบริษัท จำนวนมากจะปรับปรุงสัญญา โดยเพิ่มเติมประเด็นของการการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเข้าไปแล้วก็ตาม
โฆษณา