26 เม.ย. 2022 เวลา 10:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ 101
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ 101
ในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์เราคงคุ้นเคยกับการเรียนพัฒนาของแบบจำลองอะตอม ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณจนถึงศตวรรที่ 20 ยุคแห่งฟิสิกส์ควอนตัม แล้วเรื่องอื่นๆหล่ะ! ทำไมเราจึงได้ศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เพียงเท่านี้ หรือมันไม่สำคัญ?
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ (History of science) เป็นเรื่องราวการค้นพบต่างๆทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่สมัยโบราณถึงปัจจุบัน แม้ขึ้นต้นด้วยวิทยาศาสตร์แต่จริงๆแล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์มีมิติหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา ภาษา ปรัชญา ศาสนาและการเมือง
การศึกษาประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์จึงต้องใช้องค์ประกอบจากมุมมองที่หลากหลายมาก สำหรับคนที่สนใจจริงและต้องการศึกษาเพื่อวิเคราะห์วิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์ก็คงเหนื่อยอ่านในหลายมิติ แต่สำหรับคนที่มีเวลาเพียง 10 นาที ผมขอย่อยองค์ความรู้ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์โดยสังเขป (หากต้องการศึกษาอย่างละเอียดสามารถฟังในช่องยูทูป The Projectile ได้) โดยหวังว่าจะเป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์เพื่อตกตะกอนแนวคิดได้
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์เริ่มต้นเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญาญาเกิดขึ้นมาพร้อมกับอารยธรรมของมนุษชาติตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Prehistoric times) เมื่อมนุษย์เริ่มมีการใช้ไฟก็ดูเหมือนว่าวิทยาศาสตร์ก็เริ่มต้นดังประกายไฟที่จุดติด เรามีการตั้งหลักปักฐาน สร้างอารยธรรมที่เป็นหลักแหล่ง มีการพัฒนาอาวุธในการล่าสัตว์ การทำที่นาเพื่อการเกษตร การสร้างบ้าน
สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ในการคำนวณวันเวลาเพื่อดูฤดูการใช้เพาะปลูก คณิตศาสตร์ที่ใช้ในคำนวณที่นาและการแลกเปลี่ยนซื้อขาย การสร้างบ้านและจัดสรรระบบชลประทาน การศึกษาร่างกายและยาสมุนไพร แนวคิดเหล่านี้เจริญรุ่งเรื่องในอารยธรรมอียิปต์โบราณ (Ancient Egypt), เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia), บาบิโลเนีย (Babylonia) และอื่นๆทั่วทั้งโลก
จารึกดินเหนียวภาษา Proto-cuneiform ช่วง 3400–3100 BC,
ในสมัยต่อมาที่เกิดอารยธรรมกรีกและโรมัน (Greco-Roman civilization) แนวคิดเชิงปรัชญา (Philosophy) สร้างกระบวนการคิดและตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว นี่เหมือนเป็นหน่อของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน การพัฒนาทางด้านอภิปรัญชา (Metaphysics), การแพทย์ (Medicine), ดาราศาสตร์ (Astronom ), คณิตศาสตร์ (Mathematics) รุ่งเรืองถึงขีดสุด เมื่ออารยธรรมกรีกโรมันล่มสลาย
Hipparchus แห่ง Nicaea
ความรู้เหล่านี้ได้แพร่เข้าไปในยุโรปและตะวันออกกลาง น่าเสียดายที่อิทธิพลทางศาสนาและการเมืองในยุโรปนั้นดุเดือด สงครามและการแย่งอำนาจคงไม่เหมาะกับการเติมโตของวิทยาศาสตร์ ยุโรปเข้าสู่ยุคมืด (Dark age) วิทยาศาสตร์จึงไปเติบโตหยั่งรากในอารยธรรมโลกอิสลามแทนจนถือว่าเป็นยุคทอง (Isalamic Golden Age) คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์และการแพทย์ยุคกรีกได้รับการพัฒนาโดยนักปราชญ์โลกอาหรับและเปอร์เซีย สร้างสถาบันบัยตุลฮิกมะฮ์ (House of Wisdom) ณ กรุงแบกแดด
ตัดมาในตะวันออกบริเวณลุ่มแม่นำ้สินธุ (Indus Valley civilization) ก็เกิดการพัฒนาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชิ้นสำคัญจากชาวอินเดีย ผลงานสำคัญอย่างการประดิษฐ์เลขฮินดูคงเป็นหลักฐานชั้นสำคัญที่บ่งบอกความยิ่งใหญ่ ถัดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ อารยธรรมจีนมีการพัฒนาคณิตศาสตร์และระบบการชั่งตวงวัด การก่อสร้างและดาราศาสตร์ อาวุธยุทโธปกรณ์ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
แต่แล้วอารยธรรมของมุสลิมก็ล่มหลาย พร้อมๆกับวิทยาศาสตร์ในตะวันออกที่เริ่มคงที่ ยุโรปเหมือนได้โชคก่อนใหญ่ หลังจบยุคมืดไปก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า การเกิดใหม่ ยุโรปย้อนกลับไปเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศิลปะในยุคกรีกกลับมาอีกครั้ง สร้างก้าวที่สำคัญให้วิทยาศาสตร์ แต่เหมือนวิทยาศาสตร์จะไปขัดใจผู้มีอำนาจ เมื่อศาสนาจักรเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการขจัดความเห็นต่างทางการเมือง วิทยาศาสตร์ก็พลอยโดนไปด้วย
เรอเนสซองส์ในนครรัฐวาติกัน
การปฏิรูปศาสนา (Reformation) เกิดขึ้นไม่นานก่อนการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific revolution) แยกวิทยาศาสตร์ออกจากศาสนจักรโดยสิ้นเชิง เป็นแรงผลักสำคัญให้วิทยาศาสตร์ได้เจริญงอกงามพร้อมรับแสงสว่างแห่งปัญญาในยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) วิทยาศาสตร์เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเหมือนทุกวันนี้ เกิดสาขาฟิสิกส์ (ในสมัยนั้นเรียกว่าปรัชญาธรรมชาติ Natural philosophy) เคมี (พัฒนามาจากการเล่นแร่แปรธาตุ หรือ Alchemy) และชีววิทยา (ในสมัยนั้นเรียกว่าประวัติศาสตร์ธรรมชาติ Natural history) ที่ศึกษาธรรมชาติ การพัฒนาด้านการแพทย์ ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยาและสังคมศาสตร์
วิทยาศาสตร์ดำเนินจนออกดอกในช่วงศตวรรษที่ 19 ยุคที่เราเข้าใจการทำงานของแม่เหล็กไฟฟ้าและสามารถแปรสภาพออกมาเป็นนวัตกรรม สร้างความก้าวหน้าให้ชีวิตประจำวัน จากการคืนอันมืดมิดดูเหมือนจะมีแสงสว่าง และแล้วแสงสว่างก็มาถึงพร้อมกับเครื่องจักรไอนำ้ที่นำพาเราไปสู่การปฏิวัติอุสาหกรม (Industrial Revolution) ทำให้โลกทั้งใบเหมือนเชื่อมกันด้วยรางแห่งล้อเทคโนโลยี การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร การผลิตต่างๆเกิดขึ้นรวดเร็วพร้อมนำพาเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 20
การค้นพบทางอวกาศ ทฤษฎีทางจักรวาลวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ควอนตัม จิตวิทยา สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเกิดขึ้นมาจากวิทยาศาสตร์ น่าเสียดายที่เกิดสงครามใหญ่ขึ้นถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน รู้จักในขื่อสงครามโลก (World War I & II) มนุษย์ได้บอบช้ำจากการทำร้ายกันด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นี่ถึงเวลาที่เราต้องวางระเบียบแบบแผนใหม่ให้วิทยาศาสตร์ การผลักดันสิทธิมนุษยชนและจริยธรรมในการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากความเลวร้ายที่มีการทดลองมนุษย์ในค่ายกักกัน และการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการสงคราม
การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ
เราฟื้นฟู เรียนรู้บาดแผลและพร้อมก้าวต่อไป วิทยาศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 21 ผลิดอกงดงาม เทคโนโลยีที่เกิดจากความรู้ที่สั่งสมมาปรากฏต่อเรา ความก้าวล้ำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากยุคแอนาล็อก สู่ดิจิตอล ก้าวสู่โลดอินเทอร์เน็ตที่ทุกเข้าถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น โลกจำลองมาผสานกับโลกจริง (Metaverse) การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence aka. AI) ช่วยขับเคลื่อนโลกสู่ศตวรรษที่ 22
ภาวะปัญหาโรคระบาดและวิฤตอาการเปลี่ยนแปลง (climate change) เนื่องมาจากภาวะโลกร้อน (global warming) เป็นเหมือนต่อมสงสัยว่าเราใช้งานธรรมชาติมากเกินไปหรือไม่ เราควรหันกลับมาสนใจโลกหรือจะพัฒนาวิทยาศาสตร์ต่อไปโดนไม่สนใจโลกใบนี้
วิกฤตสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน
ที่เล่ามาคือประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์แบบสั้นมากกก ผมหวังว่าจะให้ความรู้หรือแนวคิดอะไร เพื่อต่อยอดข้อมูลและสังเคราะห์อะไรบางอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ไม่มากก็น้อย ส่วนคำถามตอนต้นนั้นที่ว่า ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์สำคัญหรือไม่ คุณผู้อ่านคงต้องตอบตัวเองหรือแสดงความคิดเห็นใต้คอมเม้นต์ด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
โฆษณา