3 ส.ค. 2022 เวลา 06:00 • ดนตรี เพลง
[33 ปี Topline โคตรสตอรี] ไอ้หนุ่มเทอร์โบมาแรง “แดง จิตกร” ผู้ชายธรรมดาที่ใครๆ ก็หลงรัก
เมื่อปี พ.ศ. 2543 หรือปี ค.ศ. 2000 ปีที่ประเทศไทยและทั่วโลกเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ที่ทุกสรรพสิ่งบนโลกจะอยู่ด้วยกันอย่างไร้พรหมแดน ในช่วงนั้นก็มีผู้ชายมาดเซอร์ ผู้มีพลังอำนาจทางดนตรีท่านหนึ่ง ที่พึ่งจะผ่านบททดสอบความเป็นศิลปินมาหลายปี เดินเข้ามาสู่ชายคาย่านพระโขนง ด้วยการฝากผลงานเพลงที่เขาตั้งใจสื่อสารออกมาด้วยพลังของความรัก และผลงานเหล่านั้น ที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นผลงานที่พลิกชีวิตเขาไปตลอดกาล นี่คือเรื่องราวของ ไอ้หนุ่มเทอร์โบมาแรง ผู้ที่เชื่อในพลังแห่งความรัก
“แดง จิตกร” หลายๆ คนคงจะรู้จักชื่อนี้ ทั้งผลงานเพลง และความสามารถทางดนตรีของเขา แม้ว่าภายหลังความนิยมจะสู้ศิลปินรุ่นใหม่ไม่ได้ก็ตาม แต่ความเฉิดฉายผ่านผลงานเพลงต่างๆ ของเขา ที่ต่อให้อีกสิบกว่าปี ทุกคนก็ยังถูกพูดถึงเขาอยู่เสมอ น่าเสียดายที่ ณ ปัจจุบันนี้ ตัวเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เหลือไว้เป็นมรดกแห่งวงการเพลงคือ ผลงานที่เขาขับกล่อมและรังสรรค์ทุกๆ สิ่งไว้ด้วยพลังของความรัก ที่ไม่ต้องปรุงแต่งเพิ่มเต็มใดๆ
แต่กว่าจะมาเป็นศิลปินเพลงมาดความสามารถคนนี้ ความจริงนั้น เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่หลงไหลในเสียงดนตรีเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้โลดแล่นในวงการเพลงจริงๆ เสียที แต่ทว่า สิ่งที่คิดไว้กลายเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเหตุใดที่ทำให้เขาคนนี้ กลายเป็นคนดังในชั่วพริบตา
“สมจิตร เกตุภูเขียว” เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2513 เขาเป็นคนขอนแก่นโดยกำเนิด เป็นลูกชายคนกลางๆ ในบรรดาครอบครัวที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นชาวไร่ ชาวนา หาเงินเลี้ยงชีพให้ครอบครัว ช่วงเริ่มต้นของชีวิตแดงนั้น เกิดมาพบโลกไม่ทันไรก็เจอปัญหาที่วุ่นวาย เนื่องจากความขัดแย้งที่ทำให้ทั้งครอบครัวต้องแยกทางกัน สุดท้ายแล้วเหลือแค่เขากับคุณยายที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันบนความยากลำบาก แต่ความลำบากนั้น กลับทำให้เขาได้พบเจอกับสิ่งหนึ่งที่ช่วยซ่อมแซมจิตใจให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง นั่นคือ ความรัก และ เสียงดนตรี
ก่อนที่เขาจะเข้าสู่วงการเพลงอย่างเต็มตัว ด้วยความชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เขาจึงเรียนรู้ความเป็นศิลปิน ด้วยการเรียนร้องเพลง และฝึกเล่นดนตรี มาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้น เขาก็เริ่มซึมซับการเป็นคนเพลง จนกลายเป็นงานอดิเรกของเขา แต่อาชีพหลักของเขาจริงๆ คืออาชีพรับจ้างทั่วไป ตั้งแต่ทำไร่ ทำนา ตกปลา เลี้ยงสัตว์ ขับรถ ส่งของ ไปจนถึง เป็นคอนวอย จัดเวที ทดสอบเครื่องเสียง เขาก็ทำมาหมดแล้ว
ซึ่งทุกอย่างที่เขาทำมา ก็เพื่อนำรายได้ไปเลี้ยงดูคุณยายที่นับวันอายุก็เพิ่มมากขึ้น และร่างกายที่เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ถึงขนาดที่เมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ป.4 เขาต้องขอพักการเรียน เพื่อไปดูแลคุณยายอย่างเต็มที่ เท่าที่เขาจะทำได้
การเริ่มต้นเส้นทางอาชีพทางดนตรี เกิดขึ้นหลังจากการที่เขาได้ไปทำงานอาชีพคอนวอยให้กับคณะหมอลำ “ชุมแพคอมพิวเตอร์” มาสักระยะหนึ่ง จู่ๆ นักร้องประจำคณะขอถอนตัว เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทีมงานในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาใครมาทำหน้าที่แทน วินาทีนั้น หารู้ไม่ว่า มีชายหนุ่มคนเบื้องหลังที่มีความสามารถเฉพาะด้าน อยู่ในคณะนี้ ด้วยความบังเอิญ
และความตะลึงในความสามารถที่ถูกค้นพบมา ทำให้งานอดิเรกในวัยเด็กของเขาตอนนั้น กลับกลายเป็นงานจริงๆ จังๆ ในที่สุด โดยเขาได้รับหน้าที่เป็นทั้งนักร้องและนักแสดงลำเรื่องต่อกลอน เนื่องจากเป็นคณะหมอลำที่ได้รับความนิยมในภูมิภาค ออกแสดงตามแต่ละจังหวัดทางภาคอีสาน จนโด่งดังได้ออกเทปและออกรายการทางโทรทัศน์ท้องถิ่นมาแล้ว
ต่อมาในปี 2537 แดง จิตกร ก็เริ่มเข้าสู่วงการเพลงอย่างเป็นทางการ จากการชักชวนของคุณ “สุทัศน์ เอี่ยมชโลธร” หนึ่งในทีมผู้บริหารของบริษัทนิธิทัศน์โปรโมชั่น ที่ในขณะนั้น คุณสุทัศน์ ต้องการหานักร้องแนวหมอลำที่มีความสามารถ นั่นจึงทำให้อัลบั้มแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แม้ว่าชุดนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากกระแสของแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ร็อก ที่เริ่มเป็นที่นิยมกว่าแนวเพลงอื่นๆ และตัวศิลปินเองก็ยังเป็นแค่น้องใหม่ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก
แต่หลังจากนั้นแดงเองก็ไม่ย่อท้อต่อกระแสนิยมที่เปลี่ยนไป เขายังคงออกผลงานอัลบั้มเพลงต่อไป เพราะเขารู้สึกว่า การทำงานในวงการเพลงคือความสุขที่เขาให้มาจากความรักและความหลงใหลที่เขาชื่นชอบนั่นเอง
จนกระทั่งปี 2542 ช่วงหนึ่งที่เขาได้ไปทำงานกับค่ายเพลงใน จ.สกลนคร อัลบั้มชุดที่ 6 “ลืมใจไว้อีสาน” ก็กลายเป็นอัลบั้มที่ได้รับความนิยมและน่าจับตามองที่สุด จากบทเพลง น้ำตาผ่าเหล้า จนเกิดปรากฏการณ์การตลาดเพลงแบบตีป่าล้อมเมือง สิ่งนั้นทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของคนฟังเพิ่มขึ้น และในตอนนั้น ความหล่อเหลาและทรงผมบ็อบแสกกลางมาดเซอร์ในมิวสิกวีดิโอ และบนหน้าปกของอัลบั้มนี้ ก็ทำให้สาวๆ ต่างตกหลุมรักไม่แพ้เสียงร้องอันมีเสน่ห์ของเขา
นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นก่อนที่เขาจะมาอยู่กับค่ายท็อปไลน์ ซึ่งก่อนหน้าจะมาอยู่ที่นี้ เขาก็เคยทำอัลบั้มออกจำหน่ายให้บริษัทผู้จัดจำหน่ายในเครือ นั้นคือ ไดมอนด์ สตูดิโอ แต่ก็อย่างที่กล่าวมาในตอนแรกคือชุดนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมาก จนกระทั่งเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ปี 2543 เขาได้ออกอัลบั้มกับค่ายนี้เป็นครั้งแรกในชุด “ผ่าเหล้าผ่ารัก” และต่อด้วยอัลบั้มที่มีเพลงเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เพิ่งย้ายค่ายมา
“อัลบั้ม หัวใจคึดฮอด” ที่เจ้าตัวลงมือแต่งเพลงเอง ร้องเพลงเอง และยังได้ “ครูสลา คุณวุฒิ” นักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดัง มาช่วยเสริมทัพ ก็พาให้ชุดนี้ได้รับความนิยม และช่วยปลุกกระแสตู้โทรศัพท์สาธารณะให้เป็นที่นิยมอีกครั้ง ในยุคที่การสื่อสารทางโทรศัพท์ยังเป็นที่นิยมใช้อยู่ของผู้คนในขณะนั้น และในขณะเดียวกัน ชื่อ แดง จิตกร ก็กลายเป็นศิลปินที่แฟนเพลงต่างตกหลุมรักในความสามารถและผลงานเพลงที่เขาถ่ายทอด จนกลายเป็นขวัญใจของบรรดาแฟนเพลงทุกเพศ ทุกวัย
หลังจากประสบความสำเร็จจาก 2 อัลบั้มแรก และอีก 2 อัลบั้มต่อมา ในปี 2545 “อัลบั้ม บอกอ้ายได้บ่” กลายเป็นอัลบั้มที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จสูงที่สุดในชีวิตของเขา การันตีจากการได้รับรางวัลมาลัยทอง สาขา นักร้องชายยอดนิยม และ เพลงยอดนิยม ประจำปี 2546 จากความสำเร็จในช่วง 3 ปีแรกที่ได้มาอยู่กับท็อปไลน์ ผลงานของเขาถือว่าประสบความสำเร็จ และทำให้อัลบั้มชุดนี้ติดอยู่ในอันดับชาร์ตเพลงและยอดขายอัลบั้มสูงสุดในยุคนั้น
อีกทั้งการถ่ายทอดผ่านเสียงร้องของเขา ก็ทำให้นักวิจารณ์เพลงและคนในวงการต่างลงความเห็นว่า เป็นวิธีการร้องที่ถ่ายทอดจากอารมณ์และความรู้สึก ที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ดีที่สุด และยากที่จะหาใครมาทดแทนผู้ชายคนนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นสูตรสำเร็จของการเป็นศิลปินชายคนนี้ นอกจากเทคนิคการร้อง และการนำเสนอที่ไม่เหมือนใครแล้ว เรื่องราวที่นำเสนอผ่านบทเพลงส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปในทางของความรัก และสังคมการใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ ผ่านมุมมองการแต่งเพลงของเขาและเพลงที่ถูกแต่งโดยนักประพันธ์มืออาชีพ
โดยเฉพาะบทเพลงที่ “ครูสลา คุณวุฒิ” แต่งให้แต่ละบทเพลง ด้วยความที่เป็นนักแต่งเพลงมือทองของวงการลูกทุ่งอยู่แล้ว จึงไม่แปลกเลยที่จะมาแต่งเพลงให้กับแดง จนได้รับความนิยม บางส่วนของแต่ละเพลง ก็สะท้อนวิถีชีวิตและสังคม ทั้งคนทำงาน คนต่างถิ่น ชีวิตชนบท ชีวิตคนเมือง
และที่ไม่ลืมเลยคือ อารมณ์และความรู้สึกของชีวิตคน เช่น ความรัก ความคิดถึง ความสุข ความทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง ห่วงใย ให้กำลังใจ ฯลฯ ซึ่งภาครวมทั้งหมด ยิ่งเพิ่มเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของแดงเข้าไป เวลาฟังเหมือนได้อินและฟินไปกับบทเพลงที่เขารังสรรค์มาในแบบฉบับผู้ชายธรรมดา แต่ถ่ายทอดพลังเสียงได้อย่างมีเสน่ห์ที่สุด
ยกตัวอย่างบทเพลงของแดง จิตกร ที่ประสบความสำเร็จ จนกลายเป็นเพลงประจำตัวของเขา อย่างเพลง “มนต์รัก ตจว.” แค่ขึ้นประโยคแรก “มื้อแลงว่างบ่ อ้ายขอพ้อหน้าจักหน่อย” ก็รู้เลยว่าแดงกำลังจะไปทำอะไรกัน เพราะเพลงนี้สื่อถึงการชวนไปเดทด้วยกัน แต่เป็นการเดทที่ไม่ต้องหรูหราอลังการ ไม่ต้องใช้ความโรแมนติกจ๋าๆ ให้มาก ขอให้ได้เจอกัน อยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ก็ถือว่ามีความสุขแล้ว ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดอารมณ์และการสื่อสารถึงคนฟังได้อย่างดี ประนึงเหมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหายด้วยกันประมาณแบบนั้น
อีกหนึ่งเพลงที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กันคือ “หัวใจคึดฮอด” เพลงจากอัลบั้มชุดที่ 8 ที่หยิบเรื่องราวของ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ มาใช้กับความรักในมุมมองของความคิดถึง และความห่วงใย
เช่นเดียวกับเพลงจากชุดที่ 12 “ขอเป็นอะไหล่รัก” ที่มีแนวทางเกี่ยวข้องเดียวกัน แต่เป็นมุมมองของคนที่เคยผิดหวังจากความรักครั้งก่อน การนำอะไหล่ มาอยู่ในเนื้อหาเพลงรักเชิงเปรียบเทียบที่ว่า ความรัก บางครั้งมักผิดพลาดเสมอ แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถซ่อมแซมแก้ไขให้กลับมาดีขึ้นได้ด้วยความรัก และความห่วงใย แค่อ่านชื่อเพลงแล้วอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร แต่ถ้าได้ลองฟังไปเรื่อยๆ จนจบ ก็จะเข้าใจในสิ่งที่อธิบายของเพลงนี้ได้อย่างดี
อีกหนึ่งบทเพลงที่ช่วงหนึ่งกระแสความนิยมของแดงเริ่มอิ่มตัวมาสักระยะ และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปี 2550 ด้วยเพลง “สักวาหน้าหนาว” จากการประพันธ์ของ ศิริ มงคล ที่เล่าเรื่องราววิถีชีวิตชนบทในช่วงฤดูหนาว โดยใช้โครงกลอนสักวาในการนำเสนอ และเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องของความผิดหวังจากความรักแต่ไม่ถึงขั้นรันทด เจ็บปวด มากมาย เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ถูกใจคนอีสานทั้งประเทศ ฟังแล้วรู้สึกคิดถึงบรรยากาศธรรมชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่เคยรัก
เช่นเดียวกับเพลง “คึดฮอดบ้านเฮาเนาะ” ในอัลบั้มชุดที่ 13 ปี 2547 ที่เพลงนี้อาจไม่ใช่เพลงรักหรือเพลงเศร้าแต่อย่างไร เพราะเป็นเพลงที่สื่อถึงความคิดถึงบ้านโดยตรง บรรยายถึงความทรงจำอันหอมหวานในบ้านของเรา ที่สักวันหนึ่งจะต้องกลับมาที่นี่ให้ได้
แดง จิตกร มีผลงานสตูดิโออัลบั้มกับค่ายท็อปไลน์มาแล้วถึง 13 อัลบั้ม รวมไปถึงอัลบั้มพิเศษอีก 1 ชุด ซึ่งเป็นการนำเพลงลูกทุ่งหมอลำของแดงมา Remaster ใหม่ โดยเฉพาะเพลง “ฟ้าไกลดิน” ที่เป็นเพลงชูโรงของอัลบั้มพิเศษนี้ ซึ่งในเวลาต่อมา เพลงนี้กลายเป็นที่พูดถึงประจำวงดนตรีและคณะหมอลำ และในโปรเจกต์พิเศษของทางค่ายนี้ ก็ได้คุณ “เป้ ภาณุชัย” มาถ่ายทอดเพลงนี้ในแบบฉบับหนุ่มหมอลำซิ่งขนานแท้
ถ้านับเส้นทางของแดง ในค่ายท็อปไลน์ทั้งหมด รวมระยะเวลาการทำงานตั้งแต่ปี 2543 - 2558 รวมทั้งสิ้น 14 ปี นับว่าเป็นหนึ่งศิลปินที่อยู่กับค่ายนี้มานานเช่นเดียวกับศิลปินในค่ายในยุคนั้นๆ และแต่ละเพลงของแดง ล้วนเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความสามารถของเขา ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นคนเพลงที่แท้จริง
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อเขาได้พบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็ง เมื่อปี 2558 เขาพยายามต่อสู้และรักษาตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ โดยมีกำลังใจจากภรรยาผู้เป็นหวานใจ และแฟนเพลงที่ยังรักและศรัทธาในตัวของเขา
จนกระทั่งวันที่ 30 เมษายน 2559 ที่สุดแล้ว แดง จิตกร ก็ได้จากลาโลกนี้ไปด้วยอายุ 46 ปี ปิดตำนานนักร้องสายหวานแห่งวงการเพลง สมฉายา “ไอ้หนุ่มเทอร์โบมาแรง” ที่เปรียบเสมือนผลงานของเขาที่มาแรงเหมือนพลังเทอร์โบบูสต์ที่เสริมความกล้าคิด กล้าแสดงออกเข้าไปในตัวของเขาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
สำหรับเราแล้ว ทุกบทเพลงที่แดง จิตกรได้ขับร้อง มันคือเรื่องรสชาติของชีวิต ที่ผสมผสานในตัวตนของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ละเพลงนี้แดงถ่ายทอด ล้วนมาจากความรัก ความผูกพัน และความทรงจำ ทั้งจากชีวิตตัวเขาเอง และสิ่งที่เขาพบเจอมา ด้วยเทคนิค น้ำเสียง และการขับร้องที่ถ่ายทอดจากความรู้สึก มันทำให้คนฟังถูกสะกดให้เคลิ้มและอินไปตามเพลงของเขา
บางเพลงมีการสะท้อนชีวิตและสังคมระดับสามัญชนคนธรรมดา ทำให้ยิ่งฟังยิ่งฉุดคิดในหลากหลายมุม ซึ่งเขาก็ถ่ายทอดเรื่องนี้ไว้อย่างดี นอกจากนี้ ความเป็นผู้ชายธรรมดาที่ไม่ปรุงแต่งเพิ่มเติมอะไรมาก แต่ทำให้รู้สึกโรแมนติกได้ ผ่านบทเพลงและบทบาทที่เด่นชัด นี่คือเสน่ห์และเป็นบรรทัดฐานของบรรดาชายในอุดมคติของใครหลายๆคน
ทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แดง จิตกร เป็นศิลปินคนเพลงที่หลายๆคน ยังตกหลุมรักและชื่นชอบเขาอยู่เสมอ และจะยังคงเป็น “พี่แดงคนเดิม” ของทุกๆ คนต่อไป แม้ว่าตัวเขาจะไม่อยู่ในโลกนี้ และแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
ข้อมูลจาก Wikipeadia
ติดตาม #ยามเฝ้าเพลง ได้ที่เฟซบุ๊ก
และทุกช่องทางการติดตาม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา